"นุสบา" ภูมิใจอวดผ้าไหมไทยต่อผู้นำประเทศจากอาเซียน แห่ซื้อกลับบ้าน สนุกครีเอตสิ่งใหม่ๆ ช่วยฟื้นอาชีพช่างตัดเย็บผ้าไหมไทย ทั้งที่ถอดใจจะเลิกทำกันแล้ว เหตุรายได้ไม่ค่อยดี ยันคิดเอง ออกแบบเองให้ร่วมสมัย ห่วงสามีท้องเสียหนัก ต้องให้ยาฆ่าเชื้อ
ทำเอาคุณภรรยาอย่าง “นุสบา ปุณณกันต์” อดเป็นห่วงสามี “บี พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ไม่ได้ เพราะขนาดป่วยอาหารเป็นพิษ ยังไม่ทันจะหายดีก็ต้องรีบถอดสายน้ำเกลือออกไปทำงานต่อ ซึ่งสาวนุสเผยว่าเหตุเพราะไปทานอาหารทะเลด้วยกัน เลยเกิดทำให้สามีท้องเสียหนัก ถึงขั้นคุณหมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อาการอาจจะหนักเลยทีเดียว
“อาหารเป็นพิษค่ะ พอดีช่วงนั้นเป็นวันเกิดครอบครัวเราก็เลยได้ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และก็มีอาหารทะเลด้วย ซึ่งมันก็คงเป็นอุบัติเหตุนิดหน่อย เพราะอยู่ดีๆ คุณบีเขาก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง เดินเข้าออกห้องน้ำเป็นสิบเที่ยว และเหมือนว่าเขาจะไม่ไหวจริงๆ ก็เลยต้องพาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งคุณหมอบอกเองเลยนะคะว่าถ้าหากมาช้ากว่านี้คงไม่ดีแล้ว เพราะร่างกายเขาเสียน้ำเยอะ หน้าตาก็เริ่มซีด”
“วันนั้นคุณบีต้องนอนโรงพยาบาล 1 คืนค่ะ เพราะคุณหมอต้องให้ยาฆ่าเชื้อ และก็ต้องให้น้ำเกลือด้วย คืออัดยาแบบเต็มที่ ส่วนนุสก็ต้องนั่งเฝ้าเขาทั้งคืนเหมือนกัน เรียกว่าแทบไม่ได้นอน เพราะเขาร้องโอดโอยตลอด ซึ่งโดยปกติแล้วเขาเป็นคนที่อดทนมากนะคะ แต่ครั้งนี้มันเหมือนว่าเขาคงไม่ไหวจริงๆ”
“ตอนแรกคุณหมออยากให้เขานอนต่ออีก 1 คืน เพราะอยากที่จะฆ่าเชื้อให้หมด และให้คุณบีเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ด้วยภารกิจต่างๆ ที่คุณบีเขายังต้องทำยังต้องรับผิดชอบ เขาก็เลยไม่ยอมนอน คุณหมอก็เลยยอมให้กลับ แต่มีข้อแม้ว่าขอให้น้ำเกลือหมดครึ่งถุงก่อนแล้วค่อยไป ซึ่งตอนที่ไปเขาก็ยังไม่หายดีเลยนะคะ ยังเข้าห้องน้ำอยู่เหมือนเดิม แต่มันก็แค่นิดเดียว เพราะหลังจากนั้นเขาก็หายเป็นปกติ เพียงแค่ยังมีอาการเพลียให้เห็นอยู่บ้าง”
เผยห่วงตลอดเรื่องบ้างาน พักผ่อนน้อย ชวนออกกำลังกายจนเบื่อ
“เป็นห่วงมาตลอดนะคะ เพราะเขาเป็นคนที่บ้างาน เป็นคนที่ทำงานเยอะจริงๆ ขนาดอาหารเช้านุสเตรียมไว้ให้เขาทาน เขาก็ยังไม่ทานเพราะว่าไม่มีเวลา คือเป็นแบบนี้มาตลอด ตัวนุสเองก็ห่วงกลัวว่าเขาจะเป็นโรคกระเพาะ กลัวท้องไส้เขาไม่ค่อยดี แต่ก็ให้เขาตรวจสุขภาพทุกปีค่ะ เพราะทั้งอายุ ทั้งการทำงานของเขามันก็ควรที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ต้องมีการตรวจสุขภาพประจำปี แต่เขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมไปหรอกค่ะ ขนาดนุสบอกให้เขาไปออกกำลังกาย ตื่นนอนตอนเช้าก็ลองขยับแข้งขยับขาสักครึ่งชั่วโมง แถมยังทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างทุกวันด้วยนะ แต่เขาก็ยังไม่มา จนนุสเองก็เริ่มเบื่อ (หัวเราะ) เดี๋ยวถึงเวลานั้นเขาก็คงรู้เองว่าการออกกำลังกายมันดียังไง”
“ลูกๆ ก็ช่วยบอกค่ะ ทุกคนบอกหมด แต่คุณบีเขาคงไม่มีเวลาจริงๆ เพราะถ้าเขามีเวลา นุสก็จะพยายามดึงเขาไปวิ่งไปออกกำลังกายด้วยกันตลอด แต่หลักๆ แล้วนุสคิดว่ามันต้องเริ่มจากการฝึกวินัยเป็นอันดับแรกก่อน เพราะมันยากจริงๆ เนื่องจากงานที่เขาต้องดูแลต้องรับผิดชอบมันมีค่อนข้างเยอะ แถมยังดูแลคนเดียวด้วย ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ก็อยากให้เขาหาคนมาช่วยแบ่งเบางานตรงนั้นดู”
ภูมิใจได้ใส่ชุดผ้าไหมไทยให้แขกบ้านแขกเมืองเห็นและชื่นชอบ
“จริงๆ นุสจะไปแค่เฉพาะงานที่มีหมายออกมา อย่างเช่นงานที่เขาเชิญ ครม. และ ภริยา ซึ่งเป็นงานที่ภริยาทุกคนต้องไปทั้งหมด ตัวนุสเองก็จะต้องไป คนชื่นชมชุดผ้าไหมที่นุสแต่งไปร่วมงาน ก็อาจจะเป็นเพราะผ้าไหมไทยเป็นผ้าที่มีความสวยงามมาก ไม่ว่าใครใส่ก็สวย แต่ด้วยความที่อาจจะมีคนมองว่าการใส่ผ้าไหมนั้นดูเป็นแฟชั่นยุคเก่าหรือดูเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ก็เลยทำให้เผลอมองข้ามความสวยงามของผ้าไป แต่สำหรับนุส นุสมองว่าผ้าไหมไทยมันมีความน่าสนใจ มีความเป็นเอกลักษณ์ มันสามารถนำมาประยุกต์ได้ นุสเลยรู้สึกว่ามันมีความสนุกที่จะนำเสนอ และก็อยากชวนให้คนอื่นๆ รู้สึกเหมือนกัน”
“ซึ่งตอนที่นุสได้ใส่ชุดผ้าไหมไทยไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ตอนแรกนุสก็มองแค่ความเรียบร้อยเป็นหลัก แต่ปรากฏว่าพอผู้ใหญ่ท่านให้ความสนใจขึ้นมา และเดินมาถามเรา มาจับเนื้อผ้า รวมถึงคุยกับเราว่าท่านก็สามารถนำไปตัดเป็นรูปแบบต่างๆ ได้เหมือนกัน จนท้ายที่สุดก็มีท่านอื่นๆ ไปซื้อผ้าไหมไทยกันเต็มไปหมด”
“ตอนนั้นนุสก็รู้สึกดีใจนะคะ เพราะอย่างน้อยๆ หากท่านได้นำผ้าที่ซื้อไป ไปตัดเป็นชุดและใส่ออกทีวีในบ้านเมืองของท่าน คนก็คงจะได้เห็นผ้าไหมไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของสีผ้า เพราะมีหลายท่านเลยค่ะที่เข้ามาถามนุสว่า 'ทำไมผ้าไหมไทยถึงมีหลายเฉดสี' นุสก็อธิบายกับท่านไปว่า มันคือศิลปะของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นฝีมือของชาวบ้านที่เขาคิดสีกันเอง ลองผิดลองถูกกันเอง จนเกิดเป็นเฉดสีหลากหลายอย่างที่ได้เห็นกัน จากนั้นท่านก็ยิ่งสนใจกันมากขึ้นไปอีก ก่อนกลับบ้านก็ซื้อกลับไปกันเป็นพับๆ เลย”
เผยชุดส่วนใหญ่ตนก็เป็นคนออกแบบร่วมกับช่างตัดเย็บ เป็นการผสมผสานแฟชั่นกับผ้าไหมไทยเข้าด้วยกัน
“อย่างที่บอกค่ะ ตัวนุสเองก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเราก็ได้เป็นคนที่ช่วยขับเคลื่อนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่มีความหมายสำหรับบางคน แต่สำหรับนุส นุสภูมิใจค่ะที่ได้ทำให้ผู้นำประเทศต่างๆ เห็นความสวยงามที่เกิดขึ้นจากฝีมือคนไทย และนำผ้าไหมไทยไปตัดเย็บบ้างในแบบที่ท่านชื่นชอบ ในแบบที่มันดูเป็นสากลมากขึ้น อีกทั้งชาวบ้านที่เขาทำเขาเองก็มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย”
“ถามว่าตั้งใจจะใส่ผ้าไหมไทยไปร่วมงานตลอดเลยไหม ก็คิดเหมือนกันค่ะ เพราะอย่างที่นุสบอกไว้ว่านุสรู้สึกสนุกที่ได้ครีเอตสิ่งใหม่ๆ แถมยังได้ช่วยเหลือช่างตัดเย็บด้วย เพราะเคยมีช่างคนหนึ่งเขาเล่าให้นุสฟังนะคะว่า ช่างที่ตัดเย็บผ้าไหมไทยได้ เดี๋ยวนี้เขาแทบจะเลิกทำกันแล้ว เขาจะหันไปทำอาชีพอื่นกันแล้วเนื่องจากรายได้มันไม่ค่อยดี ดังนั้นถ้าหากผ้าไหมไทยมันสามารถนำมาผสมผสานกับแฟชั่นหลายๆ แบบได้มันก็น่าจะดี เอาไว้นุสจะใส่ให้ดูนะคะ พูดตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นภาพ”
“ซึ่งชุดส่วนใหญ่ที่นุสใส่ออกงาน นุสจะเป็นคนออกแบบเองค่ะ ก็คิดเอง ซึ่งช่างส่วนใหญ่ก็จะเป็นป้าๆ นี่แหละค่ะ และเขาก็จะทำตามที่เราบอกว่าเพิ่มตรงนั้นนิดเพิ่มตรงนี้หน่อย ส่วนเรื่องผ้าก็จะมีคนคอยให้คำแนะนำช่วยเหลืออยู่เหมือนกัน เป็นคนเก่าแก่บ้าง เป็นเด็กรุ่นใหม่บ้าง ออกไอเดียกันสนุกสนาน”
“ถ้าเป็นชุดสากล คือนุสเป็นคนที่ชอบใส่กระโปรงเข้ารูป กระโปรงทรงกระสอบ นุสก็เลยคุยกับช่างว่า หากข้างล่างเป็นกระโปรงทรงกระสอบ ข้างบนก็ควรจะเป็นเสื้อแจ็คเก็ตไหม จะเป็นแบบลอย หรือแบบเข้ารูป คือส่วนใหญ่นุสจะแค่ให้ไอเดียมากกว่า จากนั้นช่างเขาก็จะเริ่มเขียนแบบขึ้นมา เรียกว่าเป็นการโยนโจทย์ค่ะ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการฟิตติ้ง แก้ ปรับ เพิ่ม ซึ่งโดยปกตินุสเป็นคนที่ชอบอะไรเรียบๆ มากกว่า เพราะนุสอยากให้คนที่เห็นชุดเขารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องใช่แพทเทิร์นอลังการ หรือเน้นราคาแพงๆ เป็นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ค่ะ”