xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "เคที่ คทรีน่า กลอส" อดีตนางเอก ตัดใจทิ้งวงการเพื่อลูก ลุยช่วยงานเบื้องหลังสามี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจอดีตนางเอก “เคที่ คทรีน่า กลอส” ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 2 ที่ติดลูก รับคิดถึงงานเบื้องหน้า แต่ขอลุยเบื้องหลังช่วยสามี ยัน The Cave นางนอน ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ Netflix สร้างจากมุมมองของคนที่เข้าไปช่วยเด็กๆ ทีมหมูป่า

เรียกว่าห่างหายจากงานเบื้องหน้าไปนานทีเดียว สำหรับอดีตนางเอกสาว “คทรีน่า กลอส” ที่เคยฝากผลงานทั้งละครและภาพยนตร์เอาไว้หลายเรื่อง แต่พอผันตัวเองไปมีครอบครัว เจ้าตัวก็หายหน้าไปทำหน้าที่แม่ของลูกสาวตัวน้อย 2 คนอย่างเต็มตัว ซึ่งล่าสุดก็ได้เจอสาวคทรีน่า ในงานเปิดฉายรอบกาล่าภาพยนตร์เรื่อง The Cave นางนอน และเจ้าตัวก็รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ร่วมกับสามีคือ “ทอม วอลเลอร์” ที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์

โดยสาวคทรีน่า ก็เผยว่า จริงๆ แล้วตนก็ไม่ได้เรียกว่าหายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงเสียทีเดียว เพราะหันมาจับงานเบื้องหลังมากกว่า และทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ร่วมกับสามีมาเป็นเรื่องที่ 2 แล้ว แต่ก็ยอมรับว่าคิดถึงงานเบื้องหน้าเหมือนกัน แต่ไม่สามารถปลีกตัวไปได้เลย เพราะยอมรับว่าเป็นคุณแม่ที่ติดลูกเอาการทีเดียว

“ถ้าถามว่าหายไปกี่ปีก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็นานมากแล้วค่ะ น่าจะตั้งแต่ตอนมีลูกนี่แหละ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ถึงกับเฟดตัวเองออกมาซะทีเดียวนะคะ แต่คุณทอมเขาก็ทำงานด้านนี้อยู่แล้ว เคที่ก็เลยยังวนเวียนอยู่ เพียงแต่อาจจะอยู่เบื้องหลังซะมากกว่า ก็คิดถึงงานเบื้องหน้านะคะ แต่สุดท้ายแล้วก็จบที่ลูกอยู่ดี เอะอะอะไรก็ลูกก่อน มันก็เลยไปไหนไม่ค่อยได้ แต่ก็มีเวลาไปไหนเจอแฟนๆ ที่ยังจำกันได้ก็ถามถึงว่าเมื่อไหร่จะกลับมา แต่เคที่ว่าคงต้องรอโอกาสแล้วกันค่ะ”

“เราน่ะคิดถึงนะ แต่เราทำอะไรไม่ได้ ก็คงยังบอกไม่ได้ว่าจะได้กลับมาเบื้องหน้าเมื่อไหร่ แต่ก็มีผู้จัดหลายๆ ท่านถามๆ กันมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้คุยกันเป็นกิจลักษณะ เพราะเอาจริงๆ เคที่ไม่มีเวลา เพราะถ้าเราปลีกตัวมาแล้วไม่ได้อยู่กับลูก คนเป็นแม่เนอะ (ยิ้ม) แล้วทอมเองก็ชอบให้เคที่ช่วยงานเขา เพราะเขาจะได้ไม่ต้องไปหาคนอื่นมาช่วย (หัวเราะ) ก็คนใกล้ตัวเนอะ เขาไว้ใจเรา เราก็ต้องทำเต็มที่”

เผยถึงบาทหน้าที่การเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่อง The Cave นางนอน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เรื่องนี้เหนื่อยค่ะ เพราะตอนแรกเราก็ไม่คิดว่ากระแสมันจะเยอะขนาดนี้ คือเราเข้าใจแหละว่าหนังมันมาในแนวกระแส แต่เราไม่คิดว่ามันจะเหนื่อยหนักหน่วงขนาดนี้ แต่คุณทอมเป็นคนทำงานมีระบบ ในหัวเขามีเป็นแผนผังเลย เวลาที่เขาเขียนงานออกมาระบบงานต่างๆ มันจะวางเป๊ะ บางทีเราก็แค่สะกิดเขาว่าเวลาเกินแล้วนะ เขาก็จะคอนโทรลทุกอย่างได้ แต่ก็ยอมรับว่าการทำงานลักษณะนี้มันยากจริงๆ เพราะเราต้องใช้ทั้งสถานที่จริง และฉากที่เราต้องสร้างขึ้นมา สถานที่ที่เราจะต้องไปต่างๆ นานา มันเหนื่อย มันยาก แต่ก็ไม่ได้เกินกำลังของทอม”

“ซึ่งเคที่มองว่าเราโชคดีในหลายๆ อย่าง เริ่มตั้งแต่โครงเรื่องเลย เราคงไม่มีหนังเรื่องนี้ถ้าเราไม่เจอฮีโร่ที่เราชอบ แล้วมันสปาร์กความรู้สึกบางอย่างของทอมขึ้นมา ซึ่งตอนแรกเคที่ยังบอกเขาว่าอย่าทำเลย เพราะว่าข่าวมันดังมาก แล้วถ้ายูทำไม่ได้ดีเท่าหรือทำไม่ถูกใจใคร คือมันจะมีเอฟเฟกต์กลับมาเยอะแน่นอน ก็เลยบอกว่าอย่าทำเลย มันเสี่ยง เอาตัวเองไปเป็นเป้านิ่งทำไม แต่มันมีบางอย่างที่ทอมเขาเห็นว่าทำได้ พอเขาบอกอย่างนั้นก็ทำไป ก็ทำให้เราตื่นตัวขึ้นมาแล้วกัน ซึ่งเราก็เจอเร็วมากภายในระยะเวลา 2 เดือน เขาก็เริ่มเขียนสคริปต์ขึ้นมา แล้วทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้า”

“คนก็เลยจะงงว่าทำไมถึงทำเร็ว แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้ทำเร็วด้วย (หัวเราะ) แต่พอเรามีข้อมูลและเราสามารถถ่ายทำได้แล้วเราจะรออะไรล่ะ ก็ทำเลย เพราะยิ่งนานไปสถานการณ์ สภาพอากาศเปลี่ยน ทุกอย่างมันเปลี่ยนหมด ถ้าเราไม่ทำตอนนั้นเลยก็ไม่ทัน แต่เราก็ไม่คิดว่าจะทำนานขนาดนี้ หนังเรื่องนี้ทำรวมๆ แล้วปีกว่า มันนานตรงตัดต่อค่ะ เพราะคุณทอมเขาใช้กล้อง 2 ตัวถ่ายพร้อมกัน เขาอยากให้รู้สึกว่าเราอยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้นด้วยและกำลังดูเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ดังนั้นแต่ละฉากมันจะมีถึง 6 มุมด้วยกัน ก็คิดดูว่าตัดต่อจะเป็นยังไง เหนื่อยมากจริงๆ ใช้เวลาตัดต่อนานกว่าถ่ายทำอีก”

มั่นใจไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ทาง Netflix แน่นอน เพราะทำงานคนละส่วนกัน
“ในเรื่องของสภาพจิตใจของคนทั้งโลกกับเรื่องนี้ เคที่มองว่าเราเลือกที่จะเล่าจะมุมของคนที่เขาเข้าไปช่วยเหลือ อะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมารวมตัวอยู่ที่เดียวกัน มาช่วยเด็กกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้จักมาก่อนเลย แล้วก็สร้างปรากฎการณ์ใหม่ขึ้นมาเกี่ยวกับการกู้ภัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ไม่มีการแตกแยก ไม่มีการทะเลาะอะไรกันเลย ในส่วนของความรู้สึกต่างๆ นั้น เราคิดว่าเราก็นำเสนอในมุมมองที่ดีมากกว่า”

“ในส่วนของเรื่องลิขสิทธิ์เนี่ย ต้องบอกว่าในมุมของน้องๆ เรามีเพียงข้อมูลสาธารณะที่เรานำมาใช้ เพราะเราเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องราวมันเกิดขึ้นเพราะว่าเขาเข้าไปติดถ้ำ ดังนั้นข้อมูลที่เราเอามาใช้ก็คือข้อมูลทั่วไปที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่เราเลือกที่จะเล่าจากมุมมองข้างนอกเข้าไป เป็นประสบการณ์ตรงของเขา เราก็เลยไม่ได้ไปละเมิดอะไรค่ะ เพราะเล่าจากมุมของคนที่เข้าไปช่วยมากกว่า ดังนั้นมุมของเขามันก็เป็นสิทธิของเขา”










กำลังโหลดความคิดเห็น