"อนันดา" ขอโทษ "ณัฐ ณิชชา" ถูกบูลลี่ แต่ยันเป็นธรรมชาติของข่าวเพราะเป็นแฟนของตน ไม่มีประโยชน์เป็นโรคจิตกับสิ่งที่คุมไม่ได้ เปิดใจคบ 2 ปีลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง พิสูจน์แล้วหวานตั้งแต่ต้น มีแต่เพิ่ม ไม่เคยลดลง อยากมีอนาคตที่ดีด้วยกัน แต่ยันคำเดิม การแต่งงานไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด ไม่อยากให้เรียกอีกฝ่ายแม่ของลูก เพราะไม่อยากมีลูก
ได้มีโอกาสร่วมแคปเปญเซอร์เคิล ออฟ ไลฟ์ งานนี้ "อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม" เปิดใจระหว่างมาร่วมงาน Wrangler x Ananda limitless Collection ที่ ลาน Eden3 Central World ว่าตนเองรีเควชให้แต่งหน้าเหมือนถูกไฟคลอกเอง เป็นช่างแต่งหน้าที่เคยทำงานกันมานานกว่า 10 ปี
"เป็นช่างแต่งหน้าที่ร่วมงานมาด้วย 10 กว่าปี จะเรียกว่าเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัวกันไปแล้วก็ว่าได้ เราเคยคุยกับพี่เบสมานานแล้วว่าอยากให้เขาโชว์ทักษะเมกอัพเอฟเฟกต์ อยู่ดีๆ เขาก็มีแคมเปญเซอร์เคิล ออฟ ไลฟ์ เอาคนที่อยู่ใกล้ตัวเขามาแต่งเอฟเฟกต์ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีคอนเซปต์แตกต่างกันไป ผมถ่ายรูปคู่กับพี่เจี๊ยบ ซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ แล้วพี่เจี๊ยบก็เป็นเหมือนพี่สาวของพี่เบสเลยก็ว่าได้ แทนที่จะถ่ายเดี่ยว เขาก็จับผมกับพี่เจี๊ยบมาถ่ายเป็นคอนเซปต์เซอร์เคิล ออฟ ไลฟ์ เป็นความรักที่ไม่ได้เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น นัยยะของภาพวิธีคิดของภาพต้องถามเขาค่ะ เขาลงลึกมาก"
"บรรยากาศการถ่ายทำก็สนุกดีครับ เราก็บอกพี่เบสไป ว่าอย่ามาเกรงใจนะ ตอนแรกเขากลัวว่าต้องแต่งให้ดูดี กลัวว่าเราจะอารมณ์เสียเพราะนั่งแต่งหน้านาน ผมก็บอกว่าช่างเถอะต้องมีอะไรสักอย่าง เป็นคนขอเองให้มาติดชิ้นเนื้อ ติดซิลิโคน แต่งหน้าเหมือนโดนถูกไฟคลอกมา ซึ่งจะมีการนำไปโชว์ในแกลอรี่ประมาณเดือนหน้า ซึ่งเป็นงานการกุศลแต่ว่ารายละเอียดต้องถามพี่เบส เอาจริง ๆ ผมเป็นแค่แบบ ก็ใช้เวลาแต่งไม่นานครับ พี่เบสเขารู้จักดี รู้ว่าผมขี้รำคาญ (หัวเราะ) ใช้เวลาเต็มที่ประมาณ 2 ชั่วโมง"
เผย "ณัฐ ณิชชา ธนาลงกรณ์" หวานใจต้องปรับตัว หลังเปิดตัวว่าเป็นแฟนกัน ด้าน "ณัฐ" ตกใจถูกบูลลี่ ยันเป็นธรรมดาของข่าว เตือนแล้วอย่าไปเสพ อย่าไปอ่านคอมเมนต์
"ก็ปกติครับ ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง คือฝั่งโน้นเขาอาจต้องปรับตัวนิดหน่อย เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผมอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ผมค่อนข้างชิน เขาก็พยายามไม่เสพข่าว เสพคอมเมนต์"
"ส่วนที่บอกว่าเขาถูกบูลลี่ ก็ไม่ได้บูลลี่หรอก ก็เป็นธรรมดาของข่าวที่ได้กระแสมักจะเป็นข่าวไม่ค่อยดี คือสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ นั่นคือการเขียนข่าว พอมีคนมาคอมเมนต์และมีการแชร์คอมเมนต์เหล่านั้น ซึ่งเป็นคอมเมนต์ที่ไม่น่ารักสักเท่าไหร่ ถามว่าให้กำลังใจเขายังไง ถ้าเป็นผม ผมไม่อ่านเลย เรารู้ตัวว่าเป็นใครทำอะไร เขาก็ไม่ได้เสพ อย่างบอกไปว่าสิ่งที่เขาปรับตัว คือ การไม่เสพสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เขาเริ่มเข้าใจ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนมาเขียนถึงเขา ทำไมต้องเขียนครอบครัวเขา แล้วเขาก็ตกใจ คนก็ขยันส่งข่าวให้อยู่นั่นแหละ เขาก็ตกใจ"
"เขาเจอแรงขนาดไหนผมจำไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ใส่ใจเลย เขาไม่ได้มาเล่าให้ฟัง ผมก็เออๆ ตามนั้น ตอนนี้เขาก็เลิกแล้ว เขาก็รู้ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์ที่จะไปโรคจิตกับสิ่งที่เราคุมไม่ได้"
แปลกใจครอบครัวแฟนเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าแฟน
"จริงๆ พูดแบบตรงๆ เลยนะ คือทางครอบครัวเขา แรกๆ เขาเข้าใจมากกว่าคุณแฟนซะอีก ผมว่าทางครอบครัวเขาค่อนข้างเปิดใจกับตรงนี้มาก แล้วก็ใจเย็นกับตรงนี้มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใจนะ แต่ก็ดีมากเลยครับ"
"เขาใช้เวลาไม่นานในการเลิกสนใจข่าว มันคือแค่ตอนแรก ตอนเป็นข่าวแรกๆ แล้วเขาไม่เข้าใจ คือคนที่ไม่เคยเจอ อยู่ดีๆ มาเป็นเป้า เขาก็แบบฉันเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ ไม่ใช่อาชีพฉัน แล้วมาเขียนถึงฉัน แล้วอันที่เขาเซนซิทีปคือเรื่องครอบครัว เขารู้สึกว่าถ้าว่าเขา เขาโอเค แต่ทำไมต้องไปขุดคุ้ยเรื่องครอบครัว เราก็อธิบายกับเขาว่ามันก็เป็นธรรมชาติของข่าว ซึ่งพอเขาเห็นบ่อยๆ เขาก็ชิน และทำใจได้ว่านี่คือส่วนของการที่มีผมเป็นแฟน (หัวเราะ) โทษทีน้า (ยิ้ม)"
"ถามว่ารู้สึกผิดไหม คือก็คบกันเงียบๆ มาตลอด เพียงแต่ว่าเราก็บอกเขามาตลอดตั้งแต่ต้น ว่าสักวันหนึ่งมันก็จะมีข่าว แล้วพอมันมีข่าว เราก็หยุดมันไม่ได้ ตอนแรกเขาก็บอกว่ามันไม่ขนาดนั้นหรอกนะ แล้วพอมันเกิดขึ้นเขาก็ตกใจ แต่ตอนนี้ปรับตัวแล้วเขาก็โอเค เขาก็ไม่ได้มีปัญหากับตรงนี้เลย"
หวานตั้งแต่ต้น มีแต่เพิ่ม ไม่เคยลดลง อยากมีอนาคตที่ดีด้วยกัน
"ถามว่าหวานกันเต็มที่มั้ย ก็หวานกันตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่เคยลด มีแต่เพิ่มขึ้น มันไม่เคยมีแบบพอเป็นข่าวขึ้นมาแล้วระแวง ต้องแยกกันเดิน ส่วนสเต็ปต่อไปคงตามเวลาครับ มันก็มีการคุยกัน ว่าแล้วจะยังไงต่อในอนาคต แต่เรื่องพวกนั้นผมรู้สึกว่ามันอาจจะส่วนตัวไปนิดหนึ่งที่จะมาแชร์ เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวด้วย ผมรู้สึกว่าเมื่อไปถึงจุดนั้น แล้วเรารู้ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไงแน่ ก็ค่อยออกมาพูด"
"เราก็รู้สึกว่าคนนี้คือใช่ เราก็ไม่ได้คบด้วยความรู้สึกที่ว่าจะคบผ่านๆ หรือคบแล้วเดี๋ยววันหนึ่งเลิกกัน ไม่ได้คิดอย่างนั้น ออปชั่นที่ดีที่สุดคือเรามีอนาคตด้วยกัน นั่นคือสิ่งที่อยากได้"
ไม่อยากให้ใช้คำว่าแม่ของลูก เพราะไม่ซีเรียสกับเรื่องลูก
"คืออย่าใช้คำว่าแม่ของลูกเลย เพราะว่าเราทั้งคู่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการมีลูก แล้วถ้าให้พูดตรงๆ คือไม่ได้เป็นเป้าหมายของเราทั้งคู่เลย เราคุยกันเรื่องอนาคตอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องครอบครัวไม่มี ก็อย่างว่านะ ผมไม่ได้รู้สึกว่าการที่เราจะอยู่คู่กับใคร เป้าหมายต้องเป็นการมีครอบครัว"
ลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง เพื่อปรับตัว
"คบกันมา 2 ปีกว่า มันต้องลองอยู่ด้วยกัน มันต้องปรับตัวกันอยู่แล้ว ผมว่าการที่มีใครสักคนในชีวิตของเรา เราจะไปกำหนดทุกอย่างด้วยความรู้สึกของเราเอง มันก็ไม่ได้ เราต้องแชร์พื้นที่กับเขา เขาก็ต้องแชร์พื้นที่กับเรา ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนที่เข้าใจง่ายสักเท่าไหร่ มีความเป็นตัวเองสูง ผมต้องคอยสังเกตตัวเองว่าอนันดาเอาอีกแล้ว เริ่มเซอร์ใส่อีกแล้ว (หัวเราะ)"
"ไม่ใช่ลดความเป็นตัวเอง แต่ลดความคิดที่เราเรียกว่าอีโก้ คนเราทุกคนมีอีโก้ และบางทีเราก็ลืมตัว โลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา แต่บางทีมันก็เป็น ผมก็เป็น บางที่รู้สึกว่าภาวะของเรามันยิ่งใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด ทั้งที่จริงเราต้องมองไปที่คนข้างๆ เราด้วยว่าเขารู้สึกยังไง ต่างคนต่างปรับตัว แต่ว่ามันไม่ได้ปรับยาก เพราะว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความรักอยู่แล้ว การปรับตัวไม่ได้เป็นสิ่งที่ฝืนหรือยากสักเท่าไหร่"
พร้อมมากแต่ก็ไม่ได้รีบ เพราะการแต่งงานไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด
"เรื่องแต่งก็เคยคุยกัน อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่เป้าหมายยิ่งใหญ่สุด แล้วเขาก็อายุ 28 เอง ผมรู้สึกว่าเขายังต้องจัดการในเรื่องงานของเขา และมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ถ้าให้พูดถึง ด้วยวัยผม ก็พร้อมแล้ว แต่ผมไม่ได้รีบเร่ง มันไม่ใช่เป้าหมาย รู้สึกว่าเราปรับตัวเข้าหากันเพื่ออนาคตที่ยาวที่สุด อันนั้นสำคัญที่สุด ก็เคยเห็นอยู่หลายคนแต่งงานแล้วก็เลิกกัน เรารู้สึกว่าเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น"