กลายเป็นเรื่องที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยหลังจากที่ทางด้านของนายพินิจ งามพริ้ง ที่บรรดาคนกีฬากีฬาโดยเฉพาะคอฟุตบอลรู้จักกันดีในฐานะของอดีตแกนนำกลุ่มเชียร์ไทยพาวเวอร์ได้ออกมาประกาศตัวถึงรสนิยมทางเพศของตนเองพร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "พอลลีน พาลินี งามพริ้ง"
(อ่าน : เปิดใจเต็มๆ “พอลลีน งามพริ้ง” จากชายสู่หญิง และสุขกับสิ่งที่เป็น)
ทั้งนี้เมื่อที่่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวบอกเล่าถึงความรู้สึกของภรรยาตนเองระหว่างที่ตนตัดสินใจที่จะออกมาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหลังจากแต่งงานและอยู่ด้วยกันมาจนมีลูกโดยระบุว่าอีกฝ่ายนั้นเครียดและต้องเสียน้ำตาไปอย่างมากมาย พร้อมยังบอกด้วยว่าให้ตนเป็นคนเจ้าชู้ติดยาเสียยังดีกว่าไปเป็นกะเทย
"ตลอดเวลาที่ฉันสับสน ต้องการเปลี่ยนจากชายเป็นหญิง คนที่เครียดที่สุดคือผู้หญิงคนนี้ "แม่น้องเพลง" ... เราเสียน้ำตากันเป็นปี๊บ เธอถามด้วยน้ำตานองหน้าว่า ทำไมต้องเป็นเธอด้วย... สามีกลายเป็นกะเทย... ให้เป็นคนเจ้าชู้ ขี้เหล้า ติดยาซะยังจะดีกว่า...."
"ฉันบอกเธอว่า มันไม่มีอะไรดีกว่าอะไรหรอก การเป็นผู้หญิงข้ามเพศ ไม่ใช่คนไม่ดี มันก็เหมือนเกิดเป็นนก เกิดเป็นปลา นั่นแหละ มันเกิดมาเป็น..."
"เธอกังวลเรื่องญาติพี่น้อง และคนรอบข้างของเธอ ที่เธอจะต้องอับอาย ที่มีสามีกลายเป็นกะเทย... เมื่อคนรู้ข่าว ผู้คนรอบข้างพูดกันไปต่างๆ นาๆ ทำให้ความกดดันของเธอมีมากขึ้น ฉันพยายามปลอบใจเธอให้มากที่สุด"
"เราเคยทะเลาะกันขั้นรุนแรง แต่เราก็ใช้ความอดทนพูดคุยกัน..."
"ฉันเคยอ่านความเห็นในโลกโซเชี่ยล ทำนองว่า "สงสารลูกเมีย" ไม่มีใครรู้ว่าเราคุยกันบ่อยแค่ไหน"
เผยผ่านมา 3 ปีแล้วแม้จะไม่มีโอกาสได้อยู่กับอดีตภรรยาแต่อีกฝ่ายก็ยังคงส่งรูปพร้อมข้อความมาหาเกือบทุกวัน..."รู้อะไรมั้ย... ตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้ 3 ปีกว่า แล้ว ที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน... แต่ 3 ปีมาแล้ว ไม่มีสักวันที่เธอไม่ส่งข้อความและรูปที่มีรอยยิ้มหาฉัน... เรารู้เรื่องของกันและกันเกือบทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น โดยที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊ก"
"วันนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่า เราเป็นอะไรกัน...การเป็นเพื่อนอาจจะกลายเป็นคนรักได้... แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนรักจะกลายเป็นเพื่อน... นอกจากจะยังรักกันอยู่"