xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจเต็มๆ “พอลลีน งามพริ้ง” จากชายสู่หญิง และสุขกับสิ่งที่เป็น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เก็บเป็นความลับอยู่ในใจมาตลอดกว่า 40 ปีที่ต้องสับสนกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ต้องพบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ และก็ได้คำตอบจากหมอมาว่าแท้จริงแล้วเขามีเพศสภาพเป็นผู้ชายแต่ใจอยากเป็นหญิง

บุคคลที่เรากล่าวถึงก็คือ…อดีตแกนนำกลุ่มเชียร์ไทยพาวเวอร์ที่ครั้งหนึ่งเคยลงสมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอล ‘พินิจ งามพริ้ง’ หรือปัจจุบันใช้ชื่อว่า ‘พอลลีน-พาลินี งามพริ้ง’ ที่มีกระแสข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าเขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและได้เปลี่ยนลุคมาแต่งหญิงอย่างเต็มตัว และวันนี้เขาพร้อมแล้วที่จะเล่าถึงสิ่งที่เขาเป็น เพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “มีความสุขมากขึ้น”

จาก “พินิจ” สู่ “พอลลีน”

ที่เราเปลี่ยนมันไม่ใช่การเปลี่ยนแบบปัจจุบันทันด่วน มันมีพัฒนาการของความรู้สึกมาตลอดแต่ไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร แต่มีความรู้สึกอยากจะเปลี่ยนจริงๆ หลังจากที่เข้าวัยกลางคนแล้ว ประมาณอายุ 40 ปี พี่มีความรู้สึกว่าทำไมไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ครบถ้วน แล้วมันยังมีความฝันอะไรอีกที่อยากจะทำ ซึ่งเมื่อก่อนเรื่องฟุตบอลพี่ว่ามันก็สุดยอดแล้ว แต่พอคิดย้อนไปตอนวัยเด็ก จริงๆ มันมีเรื่องนี้ แล้วความฝันเรื่องนี้มันก็ไม่เคยหายไป เราก็ตกใจกับตัวเองนะว่าทำไมมันไม่หายไปสักที

เรื่องที่บอกทำให้พี่ต้องไปพบจิตแพทย์ พี่ไปเล่าให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็บอกว่าเราเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ว่าจะรับมือยังไง มันก็ขึ้นอยู่ที่เรา ตอนนั้นพี่ก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะทำยังไง ซึ่งก็ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่เราจะเปลี่ยน มันเป็นการสับสนซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง จะเริ่มจากตรงไหนดี จะเริ่มจากบอกใครก่อนดี จะเปลี่ยนไปเลยดีไหม หรือจะหายไปเลยดีกว่า

“หายไปเลย” คือสิ่งแรกที่พี่คิด เพราะพี่คิดว่าคนคงรับไม่ได้ แต่หายไปเลยในที่นี้คือจะหนีไปอยู่คนเดียวโดยไม่บอกใครเลย เหมือนการหายสาบสูญ แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ มามองเห็นทางอื่น ก็คือการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่สุดท้ายจะทำยังไงก็ตามเราก็ไม่สามารถหนีอดีตได้ เราก็ยังต้องการคุยกับเพื่อน คุยกับครอบครัว หรือคนรัก เราต้องติดต่อกับเขาเหล่านี้อยู่

สุดท้ายพี่ก็ลองวิธีต่างๆ ที่เป็นไปได้ แต่ยังไงมันก็ต้องกลับมาสู่การยอมรับอดีตตัวเอง บังเอิญว่าอดีตของพี่มันยาวนานกว่าผู้หญิงข้ามเพศคนอื่นที่เขาอาจจะรู้ตัวตอนอายุยังน้อย ซึ่งหลายคนเขาก็จะรู้ตั้งแต่เด็กๆ อดีตของเขาก็จะมีแค่พ่อกับแม่และก็เพื่อนนิดๆ หน่อยๆ แต่สำหรับพี่อดีตมันนานมากจนอนาคตเหลือน้อยก็เลยยากตรงนั้นแหละ ยังไงเราก็ต้องกลับมาที่ความเป็นจริงอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นที่รับรู้ในสังคมขนาดนี้

จิตสำนึกและจินตนาการ
ย้ำว่าตัวเองเป็น “ผู้หญิง”

ความฝันที่บอกมันมีทั้งความฝันกึ่งใต้สำนึกและใต้สำนึก ใต้สำนึกจะเกิดขึ้นตอนที่เราหลับ เราจะชอบฝันว่าเราเป็นผู้หญิงเดินไปซื้อเสื้อผ้าผู้หญิง โดยระหว่างทางเดินที่เห็นคนเดินผ่านเราก็จะหลบตามเสาไฟฟ้า มันเหมือนว่าเราต้องแอบๆ ซ่อนๆ กับการที่เราจะเป็นผู้หญิง ในจิตใต้สำนึกเรามันเป็นผู้หญิงแต่เรายังเป็นผู้ชาย เราก็เลยต้องหลบ ในฝันนะที่เป็นแบบนี้

ส่วนจิตกึ่งใต้สำนึกก็คือการจินตนาการว่าตัวเองเป็นผู้หญิง มาทำกิจกรรมแบบผู้หญิง การจินตนาการทำให้เรามีความสุข ถามว่าบังคับตัวเองได้ไหม ถ้ามีงานหรือกิจกรรมอะไรที่ยุ่งๆ เราก็จะลืม เราก็จะไม่ได้จินตนาการ แต่มันก็ไม่ได้หายไปนะ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราผ่อนคลาย ไม่มีเสียงรบกวน แล้วมีเวลากับตัวเอง มันเหมือนฝันกลางวันเลย พี่ก็จะจินตนาการ อย่างเวลาเข้าห้องน้ำก็จะมองหน้าอก มองสรีระตัวเองแล้วจินตนาการว่าเราเป็นผู้หญิง ตรงนี้พี่เลยคิดว่ามันต้องมีการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่พี่ไปถามคุณหมอว่าเราจะเปลี่ยนตรงไหนดี ถ้าเราเปลี่ยนให้จิตใจเลิกคิดที่จะอยากเป็นผู้หญิงได้ไหม คุณหมอก็ตอบมาว่าไม่ได้เพราะการเปลี่ยนที่จิตใจมันอันตราย แล้วมันก็ยากด้วย เนื่องจากในใจมันไม่มีใครเห็นว่าเราคิดอะไร มันไม่มีใครมาตรวจสอบได้ ในเชิงการแพทย์เป็นสิ่งที่อันตรายเพราะว่ามันเท่ากับว่าเราแคร์สังคม แล้วเราต้องกดจิตใต้สำนึกของตัวเองเอาไว้ทำให้หลายคนต้องเดินไปสู่การฆ่าตัวตาย เป็นโรคซึมเศร้า เพราะฉะนั้นคุณหมอเลยบอกมาว่าถ้าจะแก้เราต้องแก้ที่กายแต่ว่าคุณจะแก้ยังไงก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่ว่าเป็นการผลักภาระนะแต่มันเป็นชีวิตของเราที่เราต้องตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องแก้ที่กาย แล้วก็บำบัดให้เรามีความสุขโดยคิดถึงสิ่งแวดล้อม คิดถึงสังคมให้น้อยลง สิ่งนี้พี่คิดว่ามันเป็นการแก้ที่ง่ายที่สุด

หาคุณหมอครั้งแรกพี่ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนนะก็ยังมึนๆ (หัวเราะ) ครั้งสองไปใหม่ก็โอเคก็อยากจะตัดสินใจแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยน ไปครั้งที่สามก็คิดว่ามันก็ไม่มีทางเลือกแต่เราก็ยังพยายามที่จะไม่เปลี่ยน ตอนที่ไปพบหมอพี่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแล้วนะ คิดว่าเป็นแน่ๆ แหละ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเรา แต่ไปหาหมอเพื่อที่จะอยากรู้ในเชิงวิชาการว่ามันเป็นจริงไหม มันลบไปได้ไหม อยากให้คุณหมอคอนเฟิร์ม แล้วรู้ไหมว่าเวลาที่เขาคอนเฟิร์มมาว่าเราเป็น เราดีใจนะ เพราะจะได้ไม่ต้องสงสัยและสับสนอีกต่อไป เราดีใจว่าโอเคเราใช่ จะได้ไปให้มันถูกทาง แต่มันก็เป็นการดีใจปนความกังวล กังวลว่าเราจะทำยังไงต่อไป

ตอนนั้นเลยคิดว่าจะไปบวช จะได้พ้นไปจากเรื่องนี้ แต่คุณแม่ก็คัดค้านเพราะคุณแม่ทราบแล้ว เขาก็บอกมาว่า อย่าไปบวชเลย ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ เถอะ การไปบวชเพื่อหนีปัญหามันก็ไม่จบอีก แม่ก็เลยบอกมาว่าเขาอนุญาตให้เราไปทำในสิ่งที่ตัวเราต้องการ นั่นแหละพี่ก็เลยตัดสินใจว่าจะทำ แล้วก็วางแผนที่จะไปประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลย เพราะทุกอย่างเราต้องทิ้งไว้หมด ก็คือไม่มีอะไร ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

ชีวิตหลังการตัดสินใจ
เริ่มต้นจากศูนย์ที่สหรัฐอเมริกา

พี่ตัดสินใจไปสหรัฐอเมริกา เพราะคิดว่าจะไปเพื่อเปลี่ยนตัวเอง ก็ได้ไปทำงานเกี่ยวกับเรื่องอาหารกะว่าจะยึดเป็นอาชีพหลักของเรา แต่การใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นพี่ก็ยังคุยกับครอบครัว กับเพื่อนๆ ที่เมืองไทยอยู่

ก็ไปอยู่เริ่มจากการไปหางานทำ ตอนแรกเราก็ไปแบบเป็นผู้ชาย ดูทะมัดทะแมง แต่ตอนนั้นพี่เทกฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ด้วย มันก็เลยยากลำบากตรงที่เรี่ยวแรงเราไม่เหมือนผู้ชายเพราะเราใช้ฮอร์โมนผู้หญิงแต่ว่าเราต้องทำงานแบบผู้ชาย หมายความว่าตอนแรกเรายังไม่ได้บอกใคร เราก็จะมีหน้าที่เป็นคนโหลดของ ยกของที่เขามาส่ง บางวันเป็นตันๆ บางทีเรายกคนเดียวเลยก็มี เราก็ต้องทำ ซึ่งมันก็เหนื่อย เพราะคนจะคาดหวังให้เราทำงานแบบผู้ชาย สุดท้ายพอถึงจุดหนึ่งเจอนายจ้างที่เข้าใจก็เลยบอกนายจ้างไป เราก็เลยเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงจริงๆ

ชีวิตที่นู่นก็ลำบากแต่ก็ภูมิใจและมีความสุขดีเพราะไม่มีใครมาตัดสินเรา ไปที่ไหน อย่างไปซื้อของ เขาก็จะเรียกว่าคุณผู้หญิง เขาก็ทักทายในฐานะที่เราเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็จะเปิดประตูให้เราเพราะเห็นเราเป็นผู้หญิง ซึ่งเขาจะรู้หรือไม่รู้ว่าเราเป็นข้ามเพศก็แล้วแต่ แต่เราก็ไม่ต้องไปบอกเขา

ผลกระทบรอบด้าน
แต่ยังดีมีครอบครัวที่เข้าใจ

พอมีข่าวออกมา ตอนแรกพี่ก็ตกใจแป๊บนึงนะแล้วเราก็ต้องคุยกับคนในครอบครัว ซึ่งตัวพี่เป็นนักประชาสัมพันธ์ เป็นสื่อมวลชนมาก่อน เคยสอนคนอื่นมาเยอะในเรื่องการรับมือกับสื่อในภาวะวิกฤต เราจะมาตกม้าตายเองก็ไม่ใช่ ดังนั้นพี่จึงเลือกที่จะเงียบ แต่เป็นการเงียบไปเพื่อตั้งตัว แล้วอีกอย่างพี่ก็ต้องไปทำงาน มีข้อความเข้ามาเต็มไปหมดทั้งแอกเคานต์ของพินิจและพอลลีน แล้วก็มีข่าวตามๆ มา ระหว่างทำงานเราก็คิดนะว่าเราจะเอายังไงต่อไปดี พอหลังเลิกงานเราก็ได้ถามคนนั้น เสร็จแล้วอีกวันหรือสองวันพี่ก็เลยเขียนลงเฟซบุ๊กว่าเราของดตอบคำถามเพราะว่าเรายังไม่อยากรับสายใคร ไม่ใช่ว่าจะหนีหรืออะไร คือเขารู้ก็ดีแล้ว (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้เยอะ คือเราไม่สามารถตอบคำถามได้หมด เราต้องทำงานด้วย เพื่อนพี่เขาเป็นสื่อมวลชนอยู่ด้วยพี่ก็เลยให้เพื่อนให้สัมภาษณ์แทนเพราะเวลาที่ไทยกับที่อเมริกาก็ห่างกัน ก็เลยบอกให้เพื่อนช่วยตอบแทนหน่อย

กำลังใจจากครอบครัวที่ทำให้เรากล้าที่จะเปลี่ยน เป็นเพราะคุณพ่อ คุณแม่ด้วย แต่เริ่มมาจากคุณแม่ก่อน แต่คุณพ่อจะมารู้ตอนที่เราไปประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว คุณแม่ก็บอกให้คุณพ่อรับทราบซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่คุณแม่เป็นคนบอกคุณพ่อว่าให้อนุญาต ซึ่งพ่อกับแม่พี่ไม่ต้องอธิบายเลย มันชัดเจนเพราะลูกใคร ใครก็รัก เรื่องนี้พี่ว่ามันจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับพ่อแม่คนอื่นนะ เพราะอย่างคุณแม่พี่ท่านไม่เคยอ้างสิทธิในการให้กำเนิดเลย แต่แม่จะอ้างสิทธิการให้กำเนิดเพื่อให้ลูกตัดสินใจได้ ให้ลูกไปมีความสุข อันนี้คือสิ่งที่พี่ประทับใจในตัวคุณแม่มากๆ คุณแม่จะไม่เคยบอกว่าฉันให้กำเนิดเธอมา เธอต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเราสับสนมากๆ คุณแม่พูดมาว่า แม่เป็นคนให้กำเนิดให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ คือตอนนั้นเราก็ยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจ มันก็สับสนในตัวเองแล้วเราก็ไม่มีความสุข นั่นแหละ เพราะฉะนั้นถ้าพ่อแม่คนอื่นที่มีปัญหาพี่ก็อยากจะให้มอง ให้รักลูกด้วยจิตใจ สื่อถึงลูกให้เห็นถึงจิตใจของเขาเพราะเขาจะเป็นยังไง เขาก็รักเรา เขาก็ห่วงใยเราอยู่ดี

ลูกชายพี่ตอนนี้เขาอายุ 22 ปีแล้ว ลูกชายพี่รู้เรื่องนี้หลังจากที่พี่ไปสหรัฐอเมริกาแล้ว ซึ่งเราก็แชตเฟซบุ๊กไปบอกเขา ส่งรูปไปให้เขา เขาก็ทราบเรื่องมาเกือบปีแล้ว ส่วนหน้าที่ตอนนี้เราก็คือพ่อ อย่างมีเหตุการณ์หนึ่ง พี่เคยถ่ายรูปกับลูกชายลงเฟซบุ๊ก มีคนมาพูดประมาณว่า ลูกคุณพอลลีนเป็นคนดีมากๆ เลยเพราะไม่ว่าคุณพอลลีนจะเป็นแบบไหนเขาก็ยังรับได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการชมแต่ว่าเขาก็เหยียดเรา ทำไมเขาไม่คิดว่าลูกก็คือลูก พ่อก็คือพ่อ แล้วก็มาถามว่าเราจะเป็นแม่เหรอ พี่ก็จะบอกว่าเราเป็นแม่ไม่ได้ เราเป็นได้แต่พ่อ ก็ทำหน้าที่พ่อต่อไป

ส่วนคนรอบข้างเราก็ต้องใช้เวลาในการอธิบาย ช่วงแรกๆ ทุกคนจะไม่ค่อยมีใครยอม กับเพื่อนโดยเฉพาะชมรมเชียร์ไทยหลายคนก็บอกว่าเราเป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็จะบอกว่าไม่มีแล้วพินิจ เขาก็จะส่งสติกเกอร์ร้องไห้เสียใจที่ไม่มีพินิจมาให้ เขาก็ยังเรียกเราว่าพินิจ ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ใช่ แต่จริงๆ มันก็แค่นามสมมตินะ เพราะยังไงถึงจะพินิจหรือพอลลีนมันก็เป็นตัวตนของเรา เราก็ยังเป็นคนเดิม ตอนนี้พอออกสื่อไปแล้วก็ต้องให้เขาไปคิดเอง เพราะว่าพี่อธิบายได้ไม่หมดหรอก เราก็ได้แต่อธิบายผ่านสื่อนี่แหละ

‘เป็นในแบบที่เป็น’
ถึงความสุขไม่เต็มร้อยแต่ก็ยังสุข

ณ วันนี้พี่มีความสุขมากขึ้นนะ แต่ถามว่าตอนนี้มีความสุขเต็มร้อยไหม มันยังไม่เต็มร้อย เราต้องควบคุมตัวเองต่อไป คือ ณ ขณะนี้มันโอเค มันแฮปปี้ เรายังพูดกับเพื่อนที่อเมริกาเลยว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าอีแจ๋วก้นครัวที่นี่จะกลับไปเป็นเซเลบที่เมืองไทย เราจะไปเป็นเซเลบในแบบที่เราเป็นที่เมืองไทย คือเพื่อนร่วมงานที่นู่นเขาก็ตื่นเต้นกัน

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีความสุข บางคนก็อาจจะบอกว่าเห็นแก่ตัวอยากจะแค่มีความสุข แล้วไม่คิดถึงคนอื่นๆ แต่พี่มองว่ามันไม่ใช่ เพราะการที่เรามีความสุข โลกทั้งโลกก็จะมีความสุขไปเหมือนกันกับเรา ถ้าเรามีความทุกข์ อมทุกข์ ใครมาเจอมาเห็นเราอยากฆ่าตัวตาย มันก็ไม่มีความสุข แล้วเราก็ไม่มีพลังที่จะแบ่งให้ใคร ทำไมคนเราต้องมีความสุขก็เพราะเหตุนี้เราจะได้แบ่งปันและทำสิ่งต่างๆ ให้กับคนอื่นได้ ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูงและในวงกว้างด้วย

ส่วนตัวพี่เมื่อก่อนเวลาเราไปทำกิจกรรมหรือทำงานอะไรไม่ใช่ว่าเรามีความสุข 100 เปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นเฉพาะบางช่วงบางเวลาแต่สุดท้ายมันก็ยังรู้สึกอะไรอยู่ในใจอยู่ เมื่อก่อนจะเป็นคนที่ออกงานหรือไปงานได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะต้องหลบมาอยู่กับตัวเองคนเดียว เป็นคนรักสันโดษ ไม่ชอบเทศกาล ไม่ชอบงาน ไม่ชอบไปเที่ยวต่างจังหวัด เบื่อทุกอย่าง เราเหมือนกับเป็นคนขวางโลกด้วย ซึ่งถ้าลองไปดูคนที่ขวางโลกหลายๆ คน เขาจะเป็นคนที่สับสน หรือว่าคนที่ไปแสดงออกกับความรุนแรง หรือเซ็กซ์จัด พวกเอาผู้หญิงเยอะๆ ชอบเที่ยวซึ่งเราเคยเป็น หรือบางคนอะไรก็วิจารณ์ไปหมด แต่เราไม่ได้เหมาว่าทุกคนจะต้องเป็น คือคนพวกนี้เขาอาจจะมีความคิดที่เขาไม่มีความสุขกับตัวเอง ไม่ค่อยมีความสุขกับสังคม คนพวกนี้ต้องเอามาบำบัดแล้วปัญหาสังคมจะน้อยลง แต่มันต้องเริ่มจากเขาก่อน เขาจะต้องคิดให้ได้ก่อน บางคนตายไปก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเราเคยเป็น เคยประสบมา แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นคนละอย่างเราสามารถที่จะอยู่ในสังคมได้

ถึงเราจะมีความสุขแต่เรายังต้องควบคุมตัวเอง เราต้องคอยสำรวจตัวเองว่ามันใช่ไหม มันโอเคหรือเปล่า มันต้องฝืนเราไหม เราต้องรู้ตัวเองตลอดเวลา พี่จะเป็นคนที่ชอบมองตัวเองจากมุมอื่น จะทำให้เราเห็นแล้วมันจะไม่มากไป น้อยไป มันจะไม่หลง มองตัวเองจากมุมอื่น เราจะต้อนรับคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่คำที่ทำให้เราเจ็บใจ ถ้าคนวิจารณ์เราแบบสร้างสรรค์เราโอเค พี่จะเป็นคนชอบอ่านคำวิจารณ์แบบแง่ลบ อย่างตอนมีข่าวมีอะไรพี่จะชอบไปดู มันจะมีโผล่ขึ้นมาหนึ่งหรือสองอันเราก็จะไปให้ความสำคัญตรงนั้นแล้วเราจะคิดตามว่าคนคนนั้นเป็นยังไง คือถ้าเขาไม่มีเหตุผลแสดงว่าเขาต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ซึ่งอันนั้นเป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเขามีเหตุผล เราก็จะมองดูว่าเราจะต้องแก้ยังไง เขาอาจจะไม่รู้ คือเขามีเหตุผลแต่อาจจะไม่รู้ หรือว่ามันอาจจะจริงอย่างที่เขาพูดซึ่งเราก็จะดูว่าเราจะปรับปรุงตัวยังไง ถ้าเราถอดตัวเองจากความเป็นตัวเอง แล้วมองในจุดที่ไกลออกไปก็จะเห็นตัวเองมากขึ้น

สุดท้ายมันอาจจะมีความสุขหรือไม่สุขก็ได้แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป บางอย่างอาจจะเข้ามาหนักๆ ที่ทำให้เราไม่สุข แต่ถ้าภูมิคุ้มกันในการนับถือตัวเอง ชอบตัวเองของเราเข้มแข็ง เราไม่ต้องไปสนใจว่าคนจะมองว่าเราเป็นกะเทยหรือเป็นอะไรเพราะมันก็เป็นแค่คำพูดของคน

เป็นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องง่าย
นี่แหละผู้หญิงแบบฉบับ ‘พอลลีน’

พอเราเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิง ในส่วนของร่างกายพี่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย จะมีแค่เทกฮอร์โมนแต่พี่จะเทกตั้งแต่ตอนอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว แต่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องเสื้อผ้า เปลี่ยนสไตล์ ค้นหาสไตล์ของตัวเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเองมันไม่ใช่แค่เปลี่ยนจากผู้ชายกลายมาเป็นผู้หญิง หลายคนจะสับสนว่าเปลี่ยนจากผู้ชายมาเป็นผู้หญิงจะมีแค่มิติเดียวคือเซ็กซี่ โชว์นม โชว์เต้า แน่นอนว่าผู้ชายที่อยากเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงจะต้องเริ่มมาจากตรงนี้แต่สุดท้ายเราต้องหาตัวเองให้เจอว่าเราจะเป็นผู้หญิงแบบไหน บุคลิกแบบไหนที่เราไม่ฝืนตัวเอง ซึ่งพี่ก็ค้นพบว่าตัวเองเป็นได้หลายสไตล์ เพราะพี่ไม่อยากสุดขั้วไปในเชิงเซ็กซี่ ก็เซ็กซี่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ส่วนในพาร์ตทำงาน เราก็จะมีมุมห้าวออกแนวทอมๆ หน่อย เพราะเสียงเราห้าวจะให้ไปหวานมากก็ไม่ได้ คนอื่นจะได้ไม่ขัดลูกหูลูกตา แล้วตัวเราจะได้สบายใจที่จะดูตัวเอง แต่ความหวานก็ไม่ได้หายไปนะ เราก็ต้องมีบ้างเป็นระยะๆ (ยิ้ม)

ส่วนการใช้ชีวิตก็มีเปลี่ยนไปบ้าง แน่นอนว่าเราตื่นมาก็จะต้องเตรียมเวลาเยอะหน่อย อย่างก่อนออกจากบ้านเราก็ต้องแต่งหน้าถ้าไม่แต่งก็ไม่มั่นใจ ก่อนออกจากบ้านก็ต้องมีกระเป๋าสะพาย อย่างตอนเป็นผู้ชายพี่ก็อยากมีกระเป๋านะแต่พอมีแล้วก็ไม่ถือเพราะตอนนั้นเราก็คิดแบบผู้ชายว่าขี้เกียจถือ แต่ตอนนี้คิดว่าการมีกระเป๋ามันก็ดี ทุกอย่างก็จะอยู่ในนั้น แต่ผู้หญิงทุกคนจะเป็นก็คือเวลาหาอะไรในกระเป๋าก็จะหาไม่เจอ (หัวเราะ)

ก่อนหน้านี้พี่มีความฝันมากที่จะมีตู้เสื้อผ้าของตัวเองที่แบบไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป และตอนอยู่ที่อเมริกาพี่มีโอกาสได้ไปดูเสื้อผ้าผู้หญิงจากเมื่อก่อนที่เราต้องพยายามเดินห่างๆ เพราะว่าเดี๋ยวคนจะสังเกตว่าเราไปแอบดู ไม่กล้าที่จะไปดูเพราะว่ามันจะทำให้เรายิ่งคิดอยากเป็นผู้หญิง แต่ตอนนี้เวลาที่เราเข้าไปร้านขายเสื้อผ้า ไปดูชุดชั้นใน พี่ก็คิดนะว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะสนุกมากกับการได้เข้ามาดู เข้ามาซื้อเสื้อผ้าผู้หญิง บางทีก็ใช่ว่าจะไปซื้ออะไรหรอก ก็แค่ได้ไปเลือก ไปลอง ไปทาบดู ก็มีความสุขแล้ว

อย่างเรื่องอาหารการกินก็เหมือนกัน แต่สิ่งนี้พี่เตรียมการมาตั้งแต่เป็นผู้ชายแล้วนะคือพี่จะกินข้าวมื้อเดียวต่อวัน แต่จะทานครบหมวดหมู่ ไม่ให้ขาดสารอาหาร เพราะว่าเราเป็นผู้ชายอ้วน ผู้หญิงอาจจะชอบ อาจจะโอเคดูดี แต่ว่าผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงที่สูง 175 เซนติเมตรขึ้นไปอย่างพี่แล้วตัวหนาๆ มันก็คงดูไม่ดี

ตอนนี้ก็มีบำรุงผิวพรรณ ดูแลหน้าตา หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น แล้วก็มีสถาบันเสริมความงามที่ช่วยดูแลด้วยหน่อย เพราะเราผ่านการใช้ชีวิตแบบผู้ชายมาเยอะทั้งตากแดดอะไรมาหนักๆ ก็ต้องใช้เวลา ก็อยากจะเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็นผู้หญิง ตอนนี้ฮอร์โมนก็ช่วยทำให้เปลี่ยนได้บ้าง ก็ต้องฉีดตลอดจนกว่าจะรู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว อยากพอแล้วก็จะพอ

นอกจากนี้พี่ก็ยังได้เข้าใจอีกเรื่องว่าผู้หญิงไม่ได้ต้องการเรื่องทางเพศเป็นหัวใจสำคัญเพราะตอนนี้เรามีฮอร์โมนแล้วเราคิดแบบผู้หญิงเลย เราไม่หมกมุ่นเพราะตอนเป็นผู้ชายเราจะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันจะพลุ่งพล่านถึงแม้เราจะไม่ได้ทำกิจกรรมที่กระตุ้น แต่ผู้ชายโดยเฉพาะหนุ่มๆ เขาจะมีความรู้สึกทางเพศขึ้นมาง่ายมากแต่ผู้หญิงไม่ใช่ ผู้หญิงต้องใช้เวลา ถ้าจะมีอารมณ์ทางเพศต้องเชื่อมโยงอารมณ์กับคนที่เป็นคนรักก่อน สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่ได้เรียนรู้ทำให้เราเปลี่ยนความคิดไป ตอนนี้พี่ก็มีความคิดที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น เข้าใจผู้หญิงมากขึ้น

มุมมองเพศที่สามเมืองไทย
‘เปิดกว้าง’ แต่ ‘ยังจำกัด’

เรื่องเพศที่สามในเมืองไทยพี่ว่ามันเปิดกว้างแต่จำกัด คือเปิดกว้างแต่ความเข้าใจยังน้อย เพราะความหลากหลายทางเพศที่จริงมันมีเยอะมาก มากกว่าที่เราเข้าใจว่ามีกะเทย มีเกย์ มีทอม มีดี้ มีไบเซ็กชวล มีเลสเบี้ยน มันมากกว่านั้น เมืองนอกเขาจะมีคำว่าแพนเซ็กชวล (Pansexual) คือรสนิยมทางเพศหลากหลาย ไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร เรื่องเพศมันมีรายละเอียดเยอะ เพราะฉะนั้นเพศที่สามของเมืองไทยยังไม่เข้าใจความหลากหลายมากนัก

พี่มองว่าความเข้าใจ ความคาดหวังทางสังคมยังจำกัดและมันก็ส่งผลไปถึงการทำงาน ทำให้โอกาสในหน้าที่การงานต่างๆ น้อยลง คนยังมองว่าเขาเป็นตัวประหลาด เป็นตัวตลกอยู่ ซึ่งในสังคมใหญ่ๆ อาจจะไม่เป็น แต่ในสังคมแคบๆ อาจจะยังเป็นอยู่ เพราะแต่ก่อนที่เรายังไม่เป็นแค่แต่งหญิงก็มีบ้าง ทำให้เราไม่กล้า

สำหรับคนที่ไม่กล้าเปิดตัวเอง พี่อยากให้เริ่มจากการไปพบจิตแพทย์ อยากจะให้คุยกับผู้รู้ คนที่เราไว้ใจ คุยกับพ่อแม่หรือถ้ายังไม่กล้าก็อยากให้พบจิตแพทย์หรือถ้ายังเด็กก็ให้คุณพ่อคุณแม่พาไป เราจะได้รู้ และจิตแพทย์จะคุยกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยว่าจะต้องปฏิบัติยังไง จะคุยกับเขายังไง อย่าไปกลัวว่าการพบจิตแพทย์คือคนบ้า แต่เราเป็นคนที่รู้ตัวเองมากกว่า

อนาคตนอกจากพี่อยากทำเกี่ยวกับอาหาร เกี่ยวกับฟุตบอลเพศที่สามแล้ว พี่ยังอยากให้คำปรึกษากับคนที่ยังสับสนก็อยากเป็นกำลังใจ ตอนนี้สามารถปรึกษาได้ในเพจ Pauline Ngampring ซึ่งในอนาคตอาจจะเปิดให้บริการแต่จะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย ไม่ได้เยอะ ก็เป็นการช่วยกัน เพราะเราจะสามารถไกด์เขาได้ทั้งในแง่การปรึกษาเรื่องการสับสน การทดลองแต่งหญิง หรือการพัฒนาบุคลิกภาพต่างๆ อันนี้คือในอนาคตเพราะเมืองไทยยังต้องการความรู้เรื่องนี้อีกเยอะ




เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ และเพจ Pauline Ngarmpring

กำลังโหลดความคิดเห็น