“ดิว อริสรา - ซีแนม” เผชิญหน้ากลางศาลไกล่เกลี่ยเรื่องหุ้นส่วนธุรกิจร้านทำเล็บ แต่เอกสารไม่พร้อม นัดไกล่เกลี่ยอีกรอบ 24 ส.ค. ฝ่ายดิวแจงคืนเงินแน่ แต่ติดปัญหาเรื่องฟ้องเจ้าของตึก 2 ล้าน ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน งงถือหุ้นใหญ่สุด 60 เปอร์เซ็นต์ ลงเงิน 3.6 ล้าน คู่กรณีลงแค่ 6 แสน คนเจ็บต้องเป็นตนหรือเปล่า แฉอีกฝ่ายชี้หน้าด่าและขู่ทำลายชื่อเสียงก่อน “หนูนา หนึ่งธิดา” พร้อมแถลงเป็นพยาน ทนไม่ไหวเจอหน้าปุ๊บพุ่งเข้าใส่ตน บอกหวิดปาแก้วกาแฟใส่แล้ว ด้านซีแนมเปิดใจรอเคลียร์ทุกวัน ใช้สิทธิ์เรียกร้องความถูกต้อง
วันนี้ (16 ก.ค.) เมื่อเวลา 08.50 น. “ซีแนม สุนทร” หรือ “ซีแนม เอเอฟ” เดินทางถึงศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พร้อมทนายความ เพื่อเข้าพบศาลไกล่เกลี่ยครั้งที่ 1 โดยเจ้าตัวและเพื่อนอีก 1 คน “นางสาวนิชานันท์ งามสกุลรุ่งโรจน์” เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” กรณีร่วมหุ้นเปิดร้านเล็บแต่ไม่ประสบความสำเร็จและไม่ได้รับเงินคืน โดยในวันนี้ศาลได้ได้นัดไต่สวน ชี้-สืบโจทก์ ซึ่งนางร้ายหน้าสวยได้เดินทางถึงบริเวณศาลในเวลา 09.07 น. สืบเนื่องจากเมื่อกลางเดือน มิย. ที่ผ่านมา “ซีแนม” ได้ออกมาโพสต์ผ่านไอจีถึงกรณีถูก “นางร้ายหน้าสวย” เพิกเฉย และยังไม่ได้รับเงินส่วนที่เหลือคืน หลังจากการยกเลิกกิจการร้านทำเล็บไปเมื่อปลายปี 60 จนยื่นเรื่องส่งฟ้องศาลเพื่อทำการไกล่เกลี่ย
หลังจากนั้นเวลา 10.30 น. “ซีแนม” พร้อมทนาย “นัฐพล สุขบรรจง” ได้เปิดเผยว่าแม้วันนี้จะได้เจอหน้าดิวแล้วก็ตาม แต่ด้านนางร้ายก็ไม่ได้ทัก ไม่ได้พูดคุย ยืนยันว่าส่วนตัวพร้อมไกล่เกลี่ยทุกวัน แต่ถ้าหากวันนี้ไม่พร้อม ก็ยินดีจะรอต่อไป ยืนยันว่าสิ่งที่โพสต์ไม่ได้ต้องการเงินเป็นหลัก แต่ต้องการความถูกต้อง ซึ่งต้องให้ทางศาลเป็นคนวิเคราะห์ ส่วนจะได้เงินคืนหรือไม่ ก็ต้องมีเหตุผล ด้านทนายเผยว่าพร้อมคุยอีกครั้งต่อหน้าศาลในวันที่ 24 ส.ค.
ซีแนม : “วันนี้เป็นการได้เจอกันหลังจาก 5 - 6 เดือน ที่เราพยายามตามและไม่เคยได้คุย ได้เจอเลย ก็ได้เจอกันวันนี้ค่ะ คุยรอบนอกก็ไม่มี เพราะอย่างที่บอกเขาไม่เคยคุยอะไรกับเราแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เราอยากคุยด้วยดีๆ มาตลอด จนกลายเป็นต้องขึ้นศาล เขาไม่ทัก ไม่มอง ไม่คุยอะไรเลยค่ะ”
ทนายธนพัฒน์ : “จริงๆ วันนี้เป็นนัดชี้สองสถาน และก็สืบพยานโจทก์ แต่ส่วนของฝั่งจำเลยเองเขาก็ยื่นคำให้การเข้ามา และแจ้งความประสงค์ว่าจะขอไกล่เกลี่ยนะครับ ทางเราก็บอกขอไกล่เกลี่ยคุยกันในวันนี้นะ แต่เรื่องจากทางจำเลยเขาบอกว่ายังไม่ค่อยพร้อม ขอเลื่อนไปวันที่ 24 สิงหาคม ทางเราพร้อมคุยเสมอแหละ 24 ก็ไม่เป็นไร ก็ให้โอกาสกัน เขายื่นคำให้การเข้ามาเป็นคำพูดว่าเขามีติดเงื่อนไขอะไรต่างๆ นานาที่จ่ายไม่ได้ เป็นเพียงการให้การ แต่เอกสารเขายังไม่ได้มีเข้ามา”
เรื่องไกล่เกลี่ยต้องคุยทั้งหมด รับผิดชอบร่วมกัน ลั่นคู่กรณีไม่พร้อมก็รอได้
ทนายธนพัฒน์ : “ต้องคุยทั้งหมดเลย ตั้งแต่ที่ลงหุ้นกันว่าทำอะไรยังไงบ้าง และก็มีค่าเสียหาย ค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ ไปบ้างที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน และมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ ทรัพย์สินที่มีเราจะจัดการกันยังไง หรือจะไปขายแล้วแบ่งกันยังไง นี่คือรายละเอียดที่จะต้องไกล่เกลี่ย”
ซีแนม : “เรื่องถึงศาลในวันนี้ เราตั้งใจและพร้อมทุกวัน เอกสารครบ คือเราพร้อมเจอทุกวัน วันนี้เราก็พร้อม แต่พอมาเจอเขาไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร เรารอได้ (ยิ้ม) เราอยากไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว เราเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าไม่เคยคิดอยากจะฟ้อง จริงๆ แล้ววันนี้ไม่ควรจะต้องมายืนที่ศาลด้วยซ้ำ ควรจะคุยกันตั้งแต่หลายเดือนที่แล้ว แต่ในเมื่อคุยกันไม่ได้มันก็เลยต้องมาที่ศาลเนอะ และในขณะที่มาที่ศาลวันนี้ก็ยังไม่พร้อม 6 เดือนแล้ว เราก็เลยไม่รู้ว่าเตรียมเอกสาร 6 เดือนยังไม่พอเหรอ วันนี้ยังไม่พร้อมอีก ก็โอเคเราก็รอได้ เพราะอย่างที่บอกว่าแนมพร้อมเสมอ ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอเขาอย่างเดียว ในเมื่อเขาพร้อมอะไรเดี๋ยวค่อยรอเขาบอกก็ได้ โอกาสคุยนอกรอบก่อนถึงวันที่ 24 ส.ค. ก็ไม่ทราบค่ะ จริงๆ เราพยายามคุยตลอดนะ”
ทนายธนพัฒน์ : “แนวโน้มคิดว่าคงน้อยนะ ผมว่ารอคุยพร้อมกับศาลท่านไกล่เกลี่ยดีกว่า ผลการไกล่เกลี่ยน่าจะจบง่ายกว่า ในส่วนของเงินผมว่าได้คืนอยู่แล้วแหละ แต่จะได้คืนเท่าไหร่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็ต้องคุยกันและดูเรื่องความเสียหาย เราไม่ได้มองว่าจะต้องเอาเท่านั้นเท่านี้ แต่ดูว่าความเสียหายจริงๆ เป็นยังไง ข้อเท็จจริงเป็นยังไง ให้เขามาคุยกัน และแบ่งกันตามสัดส่วนที่ควรจะคุยกัน”
ได้เงินคืนหรือไม่ได้คืนไม่ใช่ประเด็น แค่อยากใช้สิทธิ์เรียกร้องความถูกต้องและอยากได้ความชัดเจนเท่านั้น
ซีแนม : “อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า ตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นเรื่องเงิน วันที่แนมโพสต์วันนั้นก็ไม่ใช่ประเด็นเรื่องเงิน แต่แนมอยากบอกให้ประชาชนรู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของทุกคน ที่มีสิทธิ์จะเรียกร้องความถูกต้อง ตัวแนมเองกับตัวน้องหุ้นส่วนทำไมถึงมายื่นในวันนี้กับทนาย เพราะเรากำลังมาแสดงในความถูกต้อง เพราะฉะนั้นหากศาลตัดสินว่าใครถูกต้องก็คือตามนั้น มันได้คืนหรือไม่ได้คืน แนมว่ามันไม่ใช่ประเด็น แต่แนมจะมาบอกว่าไม่เป็นไร โดยที่คิดกันเองก็ไม่ได้ ต้องไม่คืนเพราะอะไร และไม่ได้คืนเพราะอะไร น้องหุ้นส่วนอีกคนก็ต้องได้คำตอบเหมือนกัน”
ทนายธนพัฒน์ : “แต่แนวโน้มโอกาสที่จะตกลงกันได้ ผมก็มองว่ามีสูงนะครับในนัดหน้า วันที่ 24 สิงหาคม มันได้คืนอยู่แล้วเรื่องเงิน มันมีเงินเหลือก็ต้องคืนมั้ย นึกออกมั้ย แต่ว่าจะได้คืนเท่าไหร่ ตอนไหนแค่นั้น ตัวเลขเงินที่รวม 2 ท่านก็ประมาณล้านกว่าครับ”
ซีแนม : “เรื่องเงินเหลือน้อยเราไม่ติดใจ คือจริงๆ ชี้แจงใบเสร็จตั้งนานแล้วด้วย เขาเป็นคนทำกระดาษเอง อันนี้ลองถามเขาดู มันตั้งนานแล้ว แต่ทีนี้จะมีเรื่องอื่นอะไรก็เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่แนมไม่ได้ติดเรื่องตัวเลข ไม่ติดตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ติดเลย น้องหุ้นส่วนอีกคนน่าจะเหมือนแนม เราเข้าใจและเห็นตรงกันว่าเราแค่ต้องการความชัดเจน ความถูกต้อง เท่าไหร่อะไรยังไงก็แค่เคลียร์กันไป แค่นี้เอง มันเป็นเรื่องง่ายๆ นะ แต่วันนี้เขาไม่คุยเลย เขาบอกเขาไม่พร้อม วันนี้ไม่พร้อม”
ไม่กล้ายืนยันเรื่องจะจบในวันไกล่เกลี่ยรอบ 2
ทนายธนพัฒน์ : “มั่นใจมั้ย ผมก็ยังไม่กล้ายืนยันว่า 100 เปอร์เซ็นต์เนอะ ต้องรอดูก่อนว่านัดที่ไกล่เกลี่ยจะเป็นยังไง รอดูเงื่อนไขกับข้อเสนอของเขาว่ามันจะพอจบกันได้มั้ย คือต่างคนต่างต้องปรับเข้าหากันแหละ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาอย่างเดียวและไม่ลดเลย หรือเขาจะมาตึงใส่ คือเราต้องปรับเข้ามากัน”
เผยพยายามมองหน้าอีกฝ่ายว่าอยากจะคุยกับตนมั้ย แต่อีกฝ่ายก็ไม่อยากคุย
ซีแนม : “แนมไม่ได้เป็นคนบอกนะคะว่าเป็นเขา แต่ว่าเขามาเอง ก็ถือว่าแนมไม่ได้พูด อย่างที่บอกเลยว่าวันนี้มายืนก็ยังยืนยันอยู่ว่าอยากน้องมาคุยตั้งแต่วันแรกเสมอ คุยกันมั้ย เคลียร์กันมั้ย เราคนวงการเดียวกัน มันไม่มีความจำเป็นที่เราต้องทะเลาะกัน มันไม่ใช่เรื่องที่ดี จนวันนี้ต่อให้แนมจะเป็นคนพูดแรงแค่ไหน ในใจเราก็ยังอยากคุยอยู่ดี แม้กระทั่งเมื่อสักครู่เราก็พยายามจะมองหน้าน้องว่าจะคุยกับเรามั้ย เขาก็ไม่อยากที่จะคุยกับเรา”
“เราก็รู้สึกว่าในเมื่อหนึ่งคนอยากคุย อยากไกล่เกลี่ย อยากถาม แล้วเขาไม่คุย มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา เพราะสุดท้ายแล้วลองนึกถึงวันแรกที่เราตกลงทำกันสิ เราตกลงกันด้วยใจ วันที่เราจบ เราควรจบกันด้วยใจ ไม่ใช่จบด้วยเรื่องที่มันไม่ดี เพราะแนมเกิดมาในวงการสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องกับใครเลย จนวันนี้ก็ไม่อยากเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วก็ฝากไปบอกเขาว่าจริงๆ แล้วมันควรจะจบได้ด้วยดี คุยกันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด เพราะแนมคุยได้ทุกเรื่อง”
หลังจากนั้น “ดิว อริสรา” ซึ่งเดินทางมาพร้อมทนาย “สาคร ศิริชัย” เผยถึงความรู้สึกวันนี้ว่าตนเองมาแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อหน้าศาลว่าไม่ได้เป็นคนโกงเงิน แต่เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ได้เคลียร์เงินให้หุ้นส่วนที่เหลือเพราะติดคดีฟ้องร้องเจ้าของตึก จนทำให้ไม่สามารถเปิดกิจการได้ พร้อมยืนยันว่า “หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ” หุ้นส่วนอีกคนไม่ได้ติดใจอะไรในเรื่องนี้ ยอมรับเคยนัดคุยและพร้อมจะโอนเงินคืนแล้ว แต่กลับถูกอีกฝ่ายตอบโต้ด้วยความรุนแรง ชี้หน้าด่าตน ส่วนที่ไม่ออกมาแก้ข่าว เพราะกลัวว่าถ้าพูดอะไรผิดไป อาจจะโดนฟ้องหมิ่นประมาทก็เป็นได้
ดิว : “จริงๆ วันนี้ดิวไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยซ้ำ เพราะนัดครั้งแรกสามารถให้ทนายมาได้ แต่ด้วยหนึ่งดิวก็ต้องให้เกียรติศาล สองคือเพื่อความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากอึดอัดมานานแล้วไม่ได้พูด สาเหตุที่ไม่เคยออกมาพูดใดๆ ทั้งสิ้นเพราะว่าถ้าพูดไปบางทีมันอาจจะมีกรณีโดนฟ้องหมิ่นประมาทได้ เลยให้มันสู่เข้ากระบวนการศาลก่อน แล้วค่อยออกมาพูด ฉะนั้นบอกเลยว่าที่มาวันนี้เพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ส่วนที่ดิวยังไม่ได้คืนเงินเขาเป็นเพราะมันยังมีอีกคดีหนึ่งที่คั่งค้างกันอยู่ ซึ่งจะให้ทนายเป็นคนให้พูดดีกว่าค่ะ”
ทนายสาคร : “คดีนี้เริ่มต้นจากการที่หุ้นส่วนมาทำธุรกิจร่วมกัน 5 คน คุณดิวกับทางหุ้นส่วนที่เป็นคู่กรณีกันได้ไปทำสัญญาเช่าตึก แต่เกิดมีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่คือเจ้าของสถานที่ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ได้ ธุรกิจจึงยังเกิดขึ้นไม่ได้ ในขณะนี้มีกรณีที่ฟ้องร้องกันอยู่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ตอนนี้คุณดิวรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
“ไม่ใช่ว่าไม่คืนแต่มันมีปัญหาของมันอยู่ นอกจากนี้หุ้นส่วนอย่างคุณหนูนา หนึ่งธิดา ก็ไม่ได้ติดใจเรียกร้องหรือมีปัญหาใดๆ แต่ถามว่าในเรื่องเงินเจตนาของคุณดิวต้องการจะคืนมั้ย ตามที่เป็นข่าวเสมือนหนึ่งว่าทางเราหลบเลี่ยง คือมันมีปัญหามากกว่านั้น เมื่อหุ้นส่วนมีความเข้าใจผิดกันจะเอาเงินคืนอย่างเดียว แล้วก็ปัญหาที่มันเกิดเช่นไปฟ้องร้องกับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นเจ้าของตึก สิ่งเหล่านี้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ มิใช่จะไปยอมให้ภาระตกอยู่กับหุ้นส่วนเพียงคนเดียว”
“ซึ่งคุณดิวเขาสู้ด้วยตัวเองอยู่ขณะนี้ แต่ไม่อยากออกมาพูดตรงนี้ แล้วก็การทวงถามอะไรต่างๆ ถ้าคนที่เป็นหุ้นส่วนร่วมธุรกิจกันควรจะทำด้วยความสุภาพ ไม่ใช่ไปป่าวประกาศผ่านสื่อหรือออนไลน์ต่างๆ ซึ่งต่อให้ทางเราจะไม่ดำเนินคดีอยู่แล้วเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่มันสร้างความรู้สึกที่ไม่ดี สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจระหว่างคนที่เป็นหุ้นส่วน ในขณะนี้เราก็ต้องให้ข่าวด้วยความระมัดระวังเพราะคดีจะมีการไกล่เกลี่ยในวันที่ 24 สิงหาคม 2561 ซึ่งเราจะนำเรื่องอื่นคือคดีที่เราฟ้องร้องเจ้าของตึกซึ่งฟ้องร้องอยู่สองล้านบาท รวมถึงมีการเสียค่าทนายไปเป็นหลักแสนบาทแล้ว อันนี้ก็ต้องมารับผิดชอบร่วมกัน”
เหน็บถือหุ้นแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ของตน 60 เปอร์เซ็นต์ เงินจมเยอะที่สุด คนที่น่าเห็นใจที่สุดคือตนหรือเปล่า
ดิว : “ถามว่าทำไมดิวตัดสินใจฟ้องเจ้าของตึกคนเดียว ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกเรามีการคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าจะฟ้องร้อง สุดท้ายพอเขารู้ว่าเรามีเหตุผลแบบนี้ที่เรายังไม่ได้คืนเงินเขา เขาก็เลยบอกว่าโอเคงั้นเขาไม่ฟ้อง ซึ่งก็ต้องมานั่งคุยกันก่อนว่าหุ้นส่วนเรามีทั้งหมด 5 คนก็จริง แต่หุ้นที่ดิวถือคือ 60 เปอร์เซ็นต์ เงินสองล้านกว่าบาทสำหรับเขา 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ของดิวมันคือล้านกว่าบาทเลยนะคะ”
“ซึ่งเงินของดิวก็ไปจมอยู่ตรงนั้น ถ้าดิวเป็นคนถือหุ้นแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็คงไม่เป็นคนโหวตจะไม่ฟ้องร้องเหมือนกันเพราะไม่อยากมานั่งเสียเวลา แต่ทุกคนก็ต้องเห็นใจดิวด้วยว่าดิวเป็นหุ้นที่เยอะที่สุด และชื่อคนฟ้องร้องก็เป็นชื่อดิวอีกต่างหาก ในขณะเดียวกันสัญญาที่เซ็นไปต้องบอกก่อนว่ามันเป็นสัญญาที่เขาสามารถฟ้องเรากลับได้ด้วยเพราะเราทำผิดสัญญาที่ไม่จ่ายค่าเช่า”
“ฉะนั้นดิวก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองเหมือนกัน ในขณะที่วันแรกเราทำธุรกิจกันแบบครอบครัวพี่น้อง ดิวเพิ่งรู้เหมือนกันค่ะว่าการทำธุรกิจที่ถูกต้องมันคือเราออกเสียงกันตามจำนวนคนใช่มั้ย ไม่ได้ตามจำนวนเงินหรือหุ้นที่ลงเหรอ ความจริงเราทำธุรกิจกันมันต้องออกเสียงกันตามจำนวนหุ้นหรือเปล่า ในจำนวนเงิน 6 ล้านบาท ดิวลงเงินไป 3.6 ล้านนะคะ เขาลงไป 10 เปอร์เซ็นต์ คือแค่ 6 แสนบาทเอง ถ้าจะเจ็บมันต้องเจ็บที่ดิวหรือเปล่า”
ไม่ได้ท้าซีแนม แต่เป็นอีกฝ่ายชี้หน้าด่าตนและขู่ทำลายชื่อเสียง
ดิว : “ซึ่งเรื่องทุกอย่างพวกนี้คุยกันหมดแล้ว จริงๆ ดิวเป็นคนนัดเองด้วยซ้ำว่าจะคืนเงินให้กับทุกคน แต่วันนั้นมันมีปัญหา เขาชี้หน้าด่าและขู่ดิวว่าจะทำลายชื่อเสียง ซึ่งดิวไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นถึงได้มีทนายความพร้อม หลังจากวันนั้นก็ตั้งหลักเพราะเริ่มน่ากลัว เลยไปปรึกษาพี่ไผ่ วันพอยท์”
“เรื่องที่บอกว่าไม่มีการพูดเรื่องคืนเงิน ดิวมั่นใจว่าไม่จริง เรานัดคุยกันวันนั้นแล้วที่สถานที่หนึ่ง แล้วก็มีการชี้หน้าด่าดิวตรงนั้น รวมถึงเขาท้าบางสิ่งบางอย่างที่เป็นไปด้วยอารมณ์ทั้งสิ้น ซึ่งดิวไม่ได้ท้าเขานะ เขาท้าดิวนะ”
ทนายสาคร : “นับตั้งแต่บัดนี้ไปคดีมันขึ้นสู่ศาลว่าคดีนี้โดยภาพรวมแล้วเป็นเพื่อนกันทำธุรกิจ แล้วคดีก็สู่ระบบไกล่เกลี่ย เจตนาเราคือคืนเงินแน่แต่ต้องมาคุยกันให้เข้าใจในระหว่างคนทำหุ้นส่วน จบด้วยกัน รับผิดด้วยกัน กำไรด้วยกัน เมื่อมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ไม่ใช่มาทิ้งภาระให้บุคคลอื่น ทีนี้คดีนี้มันมีทางจบ เรายินดีคือถ้ารับเงื่อนไข 1 2 3 ได้ โดยให้ศาลเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเพราะว่าไปคุยกันเองรู้สึกจะมีปัญหา น่าจะจบ วันที่ 24 สิงหาคม 10.00 น.”
ดิว : “ตอนที่คุย กะว่าคุยเสร็จปุ๊บจะไปโอนคืนทันทีทุกคนเลย วันนั้นเลย แต่วันนั้นคือมีปากเสียงกันไง แล้วเขาก็ขู่ดิวด้วย แล้วอีกกรณีหนึ่งคือ เงินที่ลงทุนไปแล้วบางส่วน เขาบอกให้ดิวรับจบไปเลยคนเดียว หมายความว่าเงินซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ทำไมดิวไม่รับจบไป ใส่ของแพงทำไมไม่รับจบไป ซึ่งอ้าว...ทำไมดิวต้องรับจบ เขาก็บอกว่าก็ดิวมีความฝันอยากทำร้านเล็บอยู่แล้วนี่ ซึ่งเราก็อ้าว...แล้วความฝันของดิวคือยังไง มันเกี่ยวมั้ย บอกมันคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วจริงๆ ดิวก็ไม่ได้เป็นคนระงับอารมณ์ได้ขนาดนั้น คุยไม่รู้เรื่องมันก็ต้องพึ่งทนาย”
ถึงจะใช้เงินเก่งแต่ไม่ได้เอาเงินหุ้นส่วนไปใช้
ดิว : “ดิวก็เป็นคนใช้เงินเก่ง แต่ดิวก็เป็นคนหาเงินมา แล้วทั้งนี้ทั้งนั้นดิวก็ไม่ได้เอาส่วนนั้นไปใช้ ลองคิดกันดูดีๆ ลองคำนวณกันดูดีๆ มันพอมั้ยล่ะ ที่เราใช้ไป มันมองกันง่ายๆ มันไม่ใช่หรอกค่ะ”
จ่ายไม่ได้เพราะติดคดีฟ้องเจ้าของตึก
ดิว : “ไม่ใช่หรอกเพราะมันมีกรณีอีกคดีนี้อยู่ด้วยไง แล้วเรากับเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง เราก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งหุ้นเรามั้ย หรือจะยังไง คือถ้าคุยกันรู้เรื่องอย่างในกรณีบางคน ยกตัวอย่างน้องหนูนา หนึ่งธิดา หนูนาพร้อมให้พี่ทุกคนไปสัมภาษณ์ได้เลย หนูนาไม่มีปัญหาเลย”
ทนายสาคร : “เดี๋ยวครั้งหน้าเราจะเชิญเขามาด้วย ว่าหุ้นส่วนคนอื่นที่ว่ายังไม่ได้รีบเงินคืน เขามีความรู้สึกยังไง”
“หนูนา” อยากมาแถลงด้วย ไม่อยากให้ตนรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง
ดิว : “แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้อยากไปแถลงมาก หนูนาบอกพี่เดี๋ยวหนูไปด้วย เพราะเราก็บอกว่าหนูนาเอาคืนไปเลย เขาก็บอกไม่เอาพี่ดิว พี่ฟ้องร้องอยู่แบบนี้หนูจะเอาคืนได้ยังไง หนูนาเขาไม่อยากทำให้ดิวรู้สึกว่าเขาทิ้งดิว แต่อย่างอีกกรณีบางคนที่ดิวคืนไป คือหนึ่งเขาเดือดร้อน เขามาคุยกับดิวแบบดีๆ แล้วเราคุยกันเข้าใจ คนเดือดร้อน ดิวไม่ได้อยากเก็บเงินใครไว้สักบาทอยู่แล้ว พอเดือดร้อนปุ๊บดิวก็ให้เขา ดิวไม่ได้อิดออดในการให้เขาเลย และทุกๆเงื่อนไขในด้านคดีความ ดิวเสนอเขาว่างั้นเซ็นเป็นสัญญากู้เงินได้มั้ย เพราะดิวก็กลัวเหมือนกันว่าเดี๋ยวคนที่ไม่ประสงค์ดีจะมาเล่นดิวเรื่องนี้ นึกออกมั้ยคะ ดิวก็บอกงั้นเซ็นเป็นสัญญากู้ยืมเงินได้มั้ย เขาก็ยินดี คือยินดีทุกอย่างเลย อย่างนี้คือคุยรู้เรื่อง”
ดิว : “หุ้นส่วนสองคนเข้าใจ หนูนาเข้าใจเลย ให้เงินยังไม่เอาเลย ส่วนอีกคนอันนั้นเราก็คืนกันส่วนตัว เพราะเขาเดือดร้อน ดิวก็กะว่าโอเคถ้าคุยกันเรื่องธุรกิจไม่ลงตัว ก็กลายเป็นยืมเงินดิวไปละกัน เดี๋ยวดิวเอาเงินดิวมาโปะตรงนี้ก็ได้”
ทนายสาคร : “ถามว่ารอให้คดีเช่าจบก่อนแล้วคืนเงินทุกคนครบหรือเปล่ามั้ย คือไม่ถึงขนาดนั้น คือในนัดหน้าถ้าคุยกันบรรลุข้อตกลง ซึ่งฟ้องนัดคดี 1 ตุลาคม อาจจะได้บรรลุข้อตกลงว่ายอมรับค่าใช้จ่ายที่มันจะเกิดขึ้น แล้วก็ยอมรับเงื่อนไขที่เราเสนอบ้าง ไม่ใช่ฝั่งเขาเสนออย่างเดียว แล้วเราอาจจะให้หนูนามาด้วยในนัดหน้านี้ แล้วก็รอฟังความคืบหน้าในเดือนหน้าแล้วกันนะครับ”
มีไกล่เกลี่ยอะไรบ้างที่อยากยื่นข้อเสนอไปให้เขา
ดิว : “โอ๊ย...ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ เดี๋ยวต้องไปคุยกัน วันนี้จริงๆ อยากมาเพราะอยากให้เกียรติศาลด้วย แล้วก็อยากมาโชว์ความบริสุทธิ์ใจด้วย แล้วดิวรู่ว่าทุกคนรอคำพูดจากดิว ดิวไม่ใช่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย ถ้าดิวพูดอะไรไป เดี๋ยวจะมาฟ้องดิวไง เพราะเขาพูดอะไรไปทุกอย่างครอบคลุม คือคิดมาแล้ว บอกตรงๆ ว่าคิดมาแล้ว ทุกอย่างที่ทำดิวรู้สึกว่าโดนดิสเครดิตอย่างหนักมาก เพราฉะนั้นถ้าดิวออกมาแก้ตัวอะไร หรือออกมาพาดพิงถึงเขา ถ้าดิวพลาดนิดเดียวบางสิ่งบางอย่างจากที่ดิวไม่ผิด จะกลายเป็นดิวผิดไง”
เล่านาทีเผชิญหน้ากัน อีกนิดคู่กรณีจะถึงตัว อีกนิดแก้วกาแฟจะปลิวแล้ว
ดิว : “โอ๊ย...ไม่มีใครมาเจอภาพสุดท้ายที่ดิวเจอเขานี่ คือภาพสุดท้ายที่เจอเขา อีกนิดหนึ่งเขาก็จะถึงตัวดิวอยู่แล้วนะ อีกนิดหนึ่งแก้วกาแฟดิวก็จะไปอยู่แล้วนะ คือตอนนั้นเราโดนห้ามแล้ว เพราะฉะนั้นเราเลยจุดนั้นมาแล้ว”
ทนาย : “เอาล่ะ ให้บรรยากาศมันดีนะ เดี๋ยวรอศาลไกล่เกลี่ย ให้มันมีการไกล่เกลี่ยเกิดขึ้นแล้วเรามาดูความคืบหน้ากัน”
ไม่เคยส่งข้อความข่มขู่ อัดรู้อยู่แก่ใจ
ดิว : “เรื่องส่งข้อความข่มขู่ เรื่องจริงมันไม่มี แล้วดิวก็เห็นเขาออกรายการแล้ว เขาก็บอกว่ามันไม่มี แต่ดิวก็ไม่รู้ว่าเขากำลังใช้สื่อเป็นเครื่องมือหรือมันเกิดอะไรขึ้น แต่ดิวว่าตัวเขารู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นยังไง ดิวไม่ใช่คนโง่นะ”
ทนายสาคร : “ถามว่าอยากบอกอะไรสังคม เราพูดความจริงวันนี้นะครับ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เขาเอาเงินมาให้เรา แล้วเราไม่คืน แต่มันมีคดีอื่นๆ ซึ่งสังคมยังไม่เคยทราบเลย ว่าเราไปฟ้อง เราเสียค่าทนายไปกี่แสน เราฟ้องเจ้าของสถานที่ยังไง เบื้องลึกเบื้องหลังในการทำสัญญาธุรกิจมันเกิดขึ้นไม่ได้เพราะอะไร หนึ่งเพราะสัญญาเช่ามันมีปัญหา สองหุ้นส่วนทะเลาะกัน จะได้อย่างเดียวมันไม่ได้ การลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้มันก็ไปกันไม่ได้ อันนี้คือปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วที่ผ่านมายังไม่ได้พูด ทีนี้คดีมันขึ้นสู่ศาลแล้ว เราก็ยินดีพูดบนศาล เงินคืนได้ แต่ต้องคุยกันให้เข้าใจก่อนนะครับ”
ดิว : “เรื่องลำบากใจก็ไม่หรอกค่ะ ดิวว่าทุกคนต้องเข้าใจอยู่แล้วว่าการทำธุรกิจมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก แล้วมันก็มีดีเทลเยอะ ที่ผ่านมาดิวไม่มีโอกาสมาพูดอะไร เพราะดิวไม่ได้เลือกที่จะพูดเองด้วย วันนี้ก็ลองฟังในมุมนี้ดู แล้วก็ดิวไม่โกรธนะถ้าใครจะว่าดิว หรือว่าอยากจะมาคอมเมนต์อะไร เพราะว่าต่างคนมันบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ก็แล้วแต่”
ขอพักก่อนเพราะเหนื่อย เรียนรู้บางอย่างก็คิดน้อยเกินไป
ดิว : “ขอเรื่องนี้จบก่อน จริงๆ หนูนาบอกพี่ดิวเราทำต่อกันเลยมั้ย แต่ก็บอกว่าพักก่อนเพราะว่าเหนื่อยมากจริงๆ ต้องสารภาพเลยว่าประสบการณ์ครั้งนี้คือทำให้รู้ว่าบางทีดิวคิดน้อยเกินไป หมายความว่าไปเซ็นได้ยังไงคนเดียว ชื่อเราคนเดียว บางทีดิวคงคิดน้อยไปจริงๆ ค่ะ”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)