“โจ แจ็คสัน” บอกว่า เขาไม่เคยเสียใจที่เข้มงวดจนเข้าข่ายโหดร้ายกับลูกๆ เพราะการเลี้ยงดูแบบนั้นทำให้ “ไมเคิล”, “เจเน็ต” และลูกๆ อีกหลายคน กลายเป็นศิลปินระดับโลก แม้สุดท้ายจะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับลูกหลายๆ คนเลวร้ายก็ตาม
โจ แจ็คสัน เป็นที่รู้จักในวงการเพลงในฐานะผู้เข้มงวดจนสามารถผลักดันให้ลูกๆ หลายคนประสบความสำเร็จในวงการเพลงได้ เขาคืออดีตคนงานโรงงานเหล็กในแกรี อินเดียน่า ที่ส่งเสริมให้ลูกๆ รวมกลุ่มกันเพื่อออกผลงานเพลงภายใต้ชื่อ Jackson 5 จนกลายเป็นกลุ่มศิลปินผิวสีกลุ่มแรกๆ ที่เอาชนะใจคนขาวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Jackson 5 นำเสนอเพลงแนวเต้นรำ อาร์แอนด์บี และสไตล์โมทาวน์ พวกเขามีเพลงขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ต Billboard Hot 100 ถึง 4 เพลง และยังทำให้ ไมเคิล แจ็คสัน สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดกลายเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงขึ้นอันดับ 1 ตอนที่เขาร้องเพลง I Want You Back ในปี 1969 ตอนที่ ไมเคิล อายุแค่ 11 ปีเท่านั้น
พ่อของ 2 ศิลปินซูเปอร์สตาร์ และอีก 1 กลุ่มวงดนตรีระดับตำนาน
แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ ไมเคิล เคยเปิดเผยว่า เขาต้องเติบโตมาด้วยความหวาดกลัวพ่ออย่างรุนแรง โจ มักจะตี ไมเคิล ด้วยเข้มขัด โดยราชาเพลงป็อป เคยเล่าเรื่องนี้ให้กับ โอปรา วินฟรีย์ ฟังในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1993 และเห็นได้ชัดว่า ไมเคิล ยังคงรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเล่าเรื่องด้วยน้ำตาซึมออกมา เมื่อพูดถึงความเข้มงวดของพ่อ โดยต่อมา ไมเคิล ยังตัดชื่อของพ่อออกจากพินัยกรรมของเขาด้วย
ส่วน เจเน็ต แจ็คสัน เป็นลูกสาวคนสุดท้องของโจ และโด่งดังรองจากไมเคิล โดยเจเน็ต บอกว่า พ่อยืนยันว่า เธอต้องเรียกเขาว่า โจเซฟ อย่างเคารพ และการเลือกดูอย่างเข้มงวดยังทำให้เธอมีปัญหาความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเธอเห็นการปฏิบัติของผู้เป็นพ่อคนอื่นๆ ที่ดูแตกต่างจากพ่อของตัวเองโดยสิ้นเชิง
ภาพพจน์ของโจ ย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อไมเคิล เสียชีวิตจากผลของโรคซึมเศร้า และอาการวิตกกังวล แต่ผู้เป็นพ่ออย่างโจ กลับใช้โอกาสที่ข่าวการเสียชีวิตของลูกชายกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก มาประชาสัมพันธ์บริษัทผลิตผลงานเพลงของตัวเอง
ไม่เคยรู้สึกผิดที่เฆี่ยนตีลูกด้วยเข็มขัด
แม้จะถูกตั้งคำถามถึงวิธีการเลี้ยงลูกมาตลอด แต่โจ แจ็คสัน ก็ยืนยันว่า เขาตัดสินใจและทำอย่างถูกต้องแล้ว ในการให้สัมภาษณ์กับ โอปรา เมื่อปี 2010 โจ บอกว่า เขาลงโทษลูกอย่างรุนแรงทางร่างกาย ก็เพื่อประโยชน์ของลูกๆ เอง “ผมพยายามทำให้พวกเขาห่างจากคุก พยายามทำให้ไปให้ทุกทาง”
ส่วนตอนที่เขาให้สัมภาษณ์กับ CNN โจ ก็บอกว่า “ดีแล้วที่ผมเข้มงวด ลองดูผลที่ออกมาซิ ลูกๆ ของผมเป็นที่รักของคนทั้งโลก ผมเลี้ยงดูเข้ามาอย่างถูกวิธีแล้ว ...ผมเฆี่ยนเขา (ไมเคิล) ด้วยไม้เรียว กับเข็มขัด ไม่เคยเคยทำร้ายเขา จะทำร้ายกัน มันต้องใช้ไม้อะไรแบบนั้น”
แต่สุดท้ายในบั้นปลายของชีวิต โจ แจ็คสัน อาจเริ่มรู้สึกถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เขาเคยยอมรับว่า ตอนที่กำลังป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล มีเพียงเจเน็ต แจ็คสัน เท่านั้น ที่มาเยี่ยมดูอาการของเขา
แคทเธอรีน แจ็คสัน ภรรยาของโจ และแม่ของลูกๆ ทั้ง 10 คน บอกว่า การเลี้ยงดูของโจ ที่ตีลูกอย่างรุนแรง เป็นเรื่องปกติของคนผิวสีในช่วงเวลานั้น สำหรับแคทเธอรีน เธอเลี้ยงดูลูกๆ มาด้วยความรักจนทั้ง ไมเคิล และเจเน็ต ได้เขียนยกย่อง และขอบคุณเธอแทบจะในทุกอัลบั้ม
แม้จะไม่ได้หย่าขาดจากกัน แต่โจ และแคทเธอรีน ก็แยกกันอยู่นานแล้ว โดยโจ อาศัยอยู่ที่ลาสเวกัส มาตั้งแต่ช่วงปี 1980s ส่วนแคทเธอรีน ใช้ชีวิตอยู่ที่ลอสแอนเจลิส นอกจากนั้น โจยังมีลูกสาวนอกสมรสจากผู้หญิงคนอื่นอยู่อีกคนด้วย ซึ่งแคทเธอรีน แจ็คสัน เคยยื่นฟ้องหย่าสามีมาแล้ว แต่สุดท้าย เธอก็เปลี่ยนใจ
เริ่มต้นจากกีตาร์สายขาด
โจ แจ็คสัน เกิดที่อาคันซอส์ ในครอบครัวที่รุ่นปู่ของเขาเคยเป็นทาส เขาเองย้ายที่อยู่หลายครั้ง เคยไปอยู่กับพ่อที่โอคแลนด์ ก่อนที่ย้ายไปอยู่กับแม่ที่ลอสแอนเจลิส
ในวัยหนุ่ม โจ แจ็คสัน เคยมีความฝันอยากเป็นนักมวย แต่สุดท้ายมาลงเอยเป็นแรงงานในโรงงานเหล็ก จนสามารถหาเลี้ยงครอบครัวใหญ่ที่มีลูกถึง 10 คนได้
ว่ากันว่าถ้าพ่อโกรธ เหล่าลูกๆ ของโจ จะเข้าไปหลบกันในตู้เสื้อผ้า ซึ่งในครั้งหนึ่ง โจกลับบ้านมาพบว่า กีตาร์ตัวโปรดถูกคนทำสายขาด เขามีโมโหม และสั่งให้ตีโต้ แจ็คสัน ลองเล่นกีตาร์สายขาดให้ฟังว่า กีตาร์ยังเล่นได้อยู่รึเปล่า “พ่อปากค้างเลย ตอนได้ยินเสียงของผม พ่อให้กีตาร์กับผม และบอกว่าให้ฝึกเพลงจากวิทยุไปเรื่อยๆ”
“ผมก็เลยพยายามลองเล่นเพลงของ The Temptations เพลง My Girl อะไรแบบนั้น ส่วน แจ็คกี้, เจอร์มาย แล้วก็ผมจะร้องเพลง และเล่นดนตรีกัน ... ประวัติศาสตร์ต่างๆ เริ่มต้นตรงนั้นเอง” ตีโต้ เล่า
ถูกตัดออกจากกองมรดก
โจ แจ็คสัน เคยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ และดูแลผลประโยชน์ของ Jackson 5 กับ Motown Records ทั้งหมด จนกระทั่งไมเคิล ตัดสินใจแยกตัวออกไปเซ็นสัญญากับ Epic Records และเริ่มต้นสู่เส้นทางการเป็นศิลปินป็อปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลก เคยมีมากับอัลบั้มชุด Off the Wall ในปี 1975
ต่อมา เขายังมีส่วนดูแลผลประโยชน์ของเจเน็ต แจ็คสัน ในช่วงแรกๆ ด้วย แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นบิดาของศิลปินเพลงป็อประดับโลกถึง 2 คน ในระยะหลัง โจก็ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายนัก เพราะเขาถูกไมเคิล แจ็คสัน ตัดออกจากพินัยกรรม และกองมรดกทั้งหมด
ในปี 2012 โจพยายามหารายได้ด้วยการผลิตน้ำหอมที่ใช้แบรนด์ของลูกๆ และออกวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าที่ลาสเวกัส แต่สุดท้าย เขาก็ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย เพราะไม่มีสิทธิในชื่อของไมเคิล แจ็คสัน