สะเทือนไปทั้งโลก “อุ๊ หฤทัย” ครอบครองภาพวาด “แวนโก๊ะ” มูลค่า 3 พันล้าน พิสูจน์แล้วของจริงล้านเปอร์เซ็นต์ โคตรฟลุคซื้อมาแค่ 1 พัน จากร้านเฟอร์นิเจอร์เก่านำเข้าจากยุโรป เชื่องานวิจัยจะปลดปล่อยวิญญาณ หลังมีคนเห็นวิญญาณแวนโก๊ะตามติด ไม่กล้าครอบครอง อยากให้อยู่ในที่ที่ควรอยู่
กลายเป็นประเด็นฮือฮาทีเดียว สำหรับนักร้องดัง “อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี” หลังจากที่มีการเปิดเผยว่าเจ้าตัวได้ครอบครองภาพวาดต้นไม้ ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็นงานจิตรกรรมของศิลปินเอกของโลกนาม “วินเซนต์ แวนโก๊ะ” โดยได้รับความอนุเคราะห์จากสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติในการตรวจสอบ ซึ่งเป็นงานวิจัยครั้งแรกของเมืองไทย ตอนนี้คอนเฟิร์มแล้วว่าเป็นของจริงล้านเปอร์เซ็นต์ และได้จัดงานแถลงข่าวไปเมื่อวันก่อน โดยระหว่างแถลงข่าว อุ๊ หฤทัย ถึงกับร่ำไห้ ก่อนเผยที่มาภาพวาดที่ซื้อมาในราคาแค่ 1 พันบาท คาดไม่ถึงว่าตนจะได้มีโอกาสครอบครอง
“ที่มาของภาพนี้คืออุ๊ไปเจอที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์เก่านำเข้าจากยุโรป เฟอร์นิเจอร์จะมาเป็นตู้คอนเทรนเนอร์เลย ครั้งแรกที่ไปเห็นมีภาพจำนวนมากเลยเป็นร้อยรูปวางกองอยู่กับพื้นเหมือนกองขยะ วันนั้นเราตั้งใจจะไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ พอเราไปเห็นกองภาพ (น้ำตาไหล) เรารู้สึกสงสารภาพ ในมุมที่เราเป็นคนรักและเรียนศิลปะ เรารู้สึกสงสารภาพ เราเลยซื้อภาพมา ก็คัดมาในราคาเหมาๆ ราคารูปนี้ก็ 1,000 บาท ก็ซื้อมาหลายภาพ เราก็ตระเวนซื้อไปเรื่อยๆ จนได้ภาพสำหรับแต่งบ้านเป็นที่น่าพอใจ จนไปได้ภาพของศิลปินชาวเซี่ยงไฮ้ชื่อดัง อุ๊เลยได้ประสานงานติดต่อขอความอนุเคราะห์จาก รศ.ปิยะแสง จันทรวงศ์ไพศาล ไปขอความรู้จากท่านด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ของศิลปินชาวจีนท่านนี้ ท่านก็เลยมาที่บ้านอุ๊ ก่อนที่แกจะมาอุ๊ก็ได้เคลียร์ภาพจนพบว่าในบรรดาร้อยๆ ภาพที่อุ๊มี มีภาพของศิลปินอยู่ถึง 7 ชิ้นด้วยกัน แต่ภาพเหล่านั้นไม่ได้มีมูลค่าแพงเพราะไม่ได้เป็นภาพของศิลปินเอกของโลก”
“วันที่ อ.ปิยะแสง มาที่บ้านท่านก็ค่อยๆ ดูทีละชิ้น จนมาถึงภาพภาพ tree in winter ก็บอกว่าท่านช่วยวิจารณ์ภาพนี้หน่อยเพราะเป็นภาพที่อุ๊ชอบมากเลย เป็นภาพที่มีฝีแปรงเฉียบคมมาก ในฐานะที่อุ๊เรียนศิลปะมาอุ๊เลยทราบว่าฝีแปรงแบบนี้จะต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ ดูเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ แล้วยากมาก จะต้องเป็นงานของศิลปินแน่ๆ และเป็นงานที่ทรงคุณค่าด้วย แต่อุ๊ก็ไม่รู้ว่าภาพนี้เป็นของศิลปินท่านไหน คิดว่าน่าจะเป็นศิลปินที่อยู่ในยุค 60-70 ในช่วงชีวิตของเรา ไม่คิดว่าจะเก่าแก่ขนาดนี้”
“ท่านมองแป๊บหนึ่งแล้วก็บอกว่าผมไม่เคยเห็นใครวาดอะไรแบบนี้นอกจากวินเซนต์ แวนโก๊ะ อุ๊ก็ตกใจมาก อึ้งไปเลย ท่านก็แนะนำว่าปัจจุบันนี้โลกของเรามี art project ผมในฐานะที่เป็นอาจารย์ผมต้องเข้า art project ทุกวัน ซึ่ง art project ทำโดย google ถ่ายภาพของศิลปินเอกของโลกรวมทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของโลก ในนั้นสามารถที่จะซูมเข้าซูมออกภาพได้ถึง 100 เท่าหรือมากกว่านั้น สามารถเห็นรอยแคะ ร่องฝีแปรง ความละเอียด ความลึกซึ้งของชิ้นงาน”
“อุ๊ก็ยังไม่ค่อยเชื่อ แต่อาจารย์ท่านก็ย้ำแล้วย้ำอีก บอกว่าให้อุ๊ไปใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบภาพนี้ไขความลับว่าภาพนี้มีอายุเก่าแก่นานเท่าไหร่ คุณต้องทราบให้ได้ว่ามีอายุเกิน 100 ปีหรือไม่ ถ้าหากว่าเกิน 100 ปีหรืออยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 จะเป็นผลงานของใครอื่นไปไม่ได้นอกจากแวนโก๊ะ”
บอกกระบวนการพิสูจน์ต้องใช้เงินเยอะ ซึ่งตนก็คงไม่มีปัญญา เดินหน้าหาวิธีศึกษาไปเรื่อยๆ
“คือถ้าจะพิสูจน์อะไรยิ่งใหญ่ขนาดนั้นต้องใช้เงินพอสมควร ซึ่งเราไม่มีปัญญา เราก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มันก็มาเองเรื่อยๆ จากที่เราเดินไปในมหาวิทยาลัยจุฬาฯ ไปถามที่คณะวิทยาศาสตร์ ได้เจอท่านอาจารย์ท่านก็แนะนำให้ไปคุยกับทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชานิวเคลียร์ ถามไปทีละท่าน จนได้มารู้จักกัน ดร.ศศิพันธุ์ คะวีรัตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่สถาบันนิวเคลียร์ ก็ทำการพิสูจน์ด้วยการดึงเส้นผ้าในชิ้นงานไปทำการเข้าห้องแลปที่วิเคราะห์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็พบว่าภาพที่เป็นภาพที่วาดก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็จากการที่เปรียบเทียบฝีแปรงใน art project ภาพที่เรามีมันสามารถเอามาวางรวมกันแล้วสอดคล้องกับภาพดังๆ ของแวนโกะได้อย่างน่าทึ่งมาก แต่ด้วยมันเป็นนวัตกรรมใหม่ มันก็ยังไม่มีการรับรองความน่าเชื่อถือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของโลกในการพิสูจน์ภาพด้วยวิธี art project แล้วใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวนำทาง”
“เราก็ทดลองไปเรื่อยๆ เรามีการทดลองว่าภาพนี้มันเป็นการวาดแบบฉับพลันจริงหรือไม่ด้วยการไปเทียบในแสงฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งทำให้เราทราบว่าภาพนี้สอดคล้องกับผลงานของท่านแวนโก๊ะหลายๆ ชิ้น”
“ตลอด 3 ปีที่ทำการวิจัยเราได้ทราบเรื่องของสีแดงรากไม้ คือปัญหาของภาพนี้ที่เราเห็นมันเป็นสีน้ำตาล ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับรูปแบบการวาดของแวนโก๊ะ คือสีสันไม่สดใส แต่วิทยาศาสตร์ก็ทำให้เราอึ้งเมื่อเราเอาสีน้ำตาลของภาพนี้ไปส่องกล้องสีแสงซิงโครตรอน ผลออกมาคือในสีน้ำตาลนั้นเป็นสีส้ม เหลือง แดง สีแดงรากไม้หายไปทั้งหมดเพราะว่าเป็นสีแดงจากพืช แล้วสีที่อยู่ในภาพทำมาจากดินที่เมืองโรสลอน โพรวองซ์ ตามที่ท่านอาศัยอยู่ นี่จึงเป็นดีเอ็นเอของภาพนี้ ภาพนี้เคยเป็นสีชมพู เป็นสีของบรรยากาศของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เป็นสีสันสดใส สอดคล้องกับในจดหมายของท่านที่เขียนเอาไว้ในวันที่ 26 กันยายน 1888”
คอนเฟิร์มของจริงล้านเปอร์เซ็นต์
“หลักฐานคอนเฟิร์มล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ เพราะวิทยาศาสตร์ที่เราทำงานวิจัยได้แสดงผลมาหมดแล้ว แต่ว่าการที่ภาพจะได้มีการรับรองอยู่ที่แวนโก๊ะมิวเซียม แต่ในส่วนของการพิสูจน์หลักฐานต่างๆ เราได้ทำการพิสูจน์ให้ไปจบแล้ว ภาพนี้มันใช่แวนโก๊ะไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เหลือแค่การออกหนังสือรับรองเท่านั้นเอง ก็รอการยื่นเรื่อง แล้วเขามาตรวจสอบที่ทางสถาบันวิทยาศาสตร์ของเราทำ”
ไม่คิดฝันคนเดินดินธรรมดาไม่ได้ฐานะร่ำรวยจะได้ครอบครองผลงานศิลปินระดับโลกมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
“การได้ครอบครองอุ๊คิดว่าคนที่เขามีสตางค์เขาก็คงครอบครองได้ แต่คนอย่างอุ๊เนี่ย เราก็ไม่คิดฝันเนอะเพราะเราก็เป็นคนเดินดินธรรมดา ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย การที่เราได้ครอบครองภาพซึ่งมันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มันทำให้เรามีความภาคภูมิใจ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยชิ้นแรกของประเทศไทย แล้วมันจะสามารถนำไปต่อยอด นำไปพัฒนาโดยนักวิชาการ หรือคนที่สนใจในการไขความลับ ตอบข้อสงสัยให้กับเรื่องที่เราสนใจ เพราะจริงๆ แล้วยังมีคนที่ครอบครองภาพวาดต้องสงสัยในประเทศไทยอีกหลายชิ้นมากๆ ด้วย งานวิจัยครั้งนี้จะนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้ค่ะ”
“นี่คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 4 ได้เกิดขึ้นแล้วในยุคดิจิตอล มันได้ส่งผลแล้วในวงการศิลปะ วิทยาศาสตร์ในการหาหลักฐานเชื่อมโยง ชาวบ้านก็ทำได้ อยู่มุมไหนของโลกก็ทำได้”
รับมีมูลค่าเกือบ 3 พันล้าน
“อยู่ที่ประมาณ 80-100 ล้านเหรียญ ก็ประมาณ 2800-3000 ล้านบาท ผลงานของท่านเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลกับโลก มันจึงมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์”
เผยเรื่องเหลือเชื่อ “ผีแวนโก๊ะ” ตามติด เชื่องานวิจัยจะทำให้ไปเกิด ปลดปล่อยวิญญาณ
“โดยหลักของพระพุทธศาสนา คนที่จบชีวิตด้วยตัวเองถือว่ายังเป็นผู้ที่อยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ถึงแม้ทางกายภาพจะจบชีวิตแล้ว แต่ว่าทางจิตวิญญาณยังคงไม่ได้ไปเกิด ก็จะมีบ้างที่ท่านมาสื่อ มาบอกผ่านถึงเรา โดยเฉพาะเรื่องสีแดงรากไม้คือท่านมาบอกผ่านคนที่เขานั่งสมาธิ นั่งวิปัสนากับอุ๊ ตอนนั้นอุ๊ไปทำบุญโลงศพที่ จ.น่าน เขาก็ถามว่าอุ๊กำลังทำอะไร เขาเห็นมีฝรั่งเคราทองๆ ตอนนั้นอุ๊ยังไมได้เปิดตัวงานวิจัยเลย ก็พูดคุยโทรศัพท์กับท่านนี้ อุ๊ก็ตกใจ สื่อคุยกันบ้างนานๆ ที แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาโทร.มาหาบอกว่าผู้วาดไปหาบอกว่าภาพนี้ใช้รากไม้วาด ให้ไปดูที่สีน้ำตาลกับสีเขียวมันเปลี่ยนไปแล้ว จริงๆ แล้วภาพนี้มีสีสันสดใส”
“นี่คือสิ่งลี้ลับแต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ลี้ลับเลย พระพุทธเจ้าบอกมีจริง นรก สวรรค์ บุญ กุศลมีจริงมนุษย์เราจะไปเกิดอยู่ในภพชาติไหนอยู่ที่กุศลเป็นตัวกำหนด ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่เราจะไม่พูด เราจะพูดในเรื่องของวิทยาศาสตร์เท่านั้นเพราะมันสามารถพิสูจน์ได้ แต่เราก็หวังและสัญญากับตัวเองว่างานวิจัยในครั้งนี้เราอยากช่วยให้ท่านไปเกิด ปลดปล่อยวิญญาณของท่านให้ไปพบกับที่ที่สันติ เพราะรูปของท่านนั้นมีมากมายทั่วโลก ถ้าเราสามารถใช้วิธีแบบที่เราทำจนได้ประจักษ์ว่าเป็นรูปของท่านกับคนที่เขาครอบครอบอยู่แล้วรอการพิสูจน์ มันจะเหมือนการปลดล็อกท่านทันที นี่คือแสงนำทาง ท่านต้องการให้ภาพของท่านมีการสืบค้นและพิสูจน์ ซึ่งเราเป็นทีมแรกของโลกที่ทำการพิสูจน์เรื่องนี้”
เผยเป็นต้นแบบศิลปินที่ล้มเหลว ทั้งชีวิตไม่เคยขายงานได้สักชิ้น มีเพียงชิ้นเดียวที่ซื้อขายในประวัติศาสตร์ แต่ผลงานกลับเขย่าโลก 10 ปีให้หลัง โลกยังต้องสยบ
“ต้องบอกว่าในยุคที่ท่านมีชีวิตอยู่งานของท่านถูกทอดทิ้ง งานของท่านถูกต่อต้าน ถูกปฏิเสธ ไม่มีใครรับอิทธิพลจากท่าน ไม่มีใครลอกเลียนแบบท่าน ไม่มีใครอยากเป็นอย่างท่านเพราะท่านเป็นต้นแบบของศิลปินที่ล้มเหลวในยุคนั้น ทั้งชีวิตไม่เคยขายงานได้สักชิ้นเดียวนอกจากเพื่อนที่ซื้อไปเพียงชิ้นเดียว เป็นเพียงชิ้นเดียวที่มีการซื้อขายกันในประวัติศาสตร์ ท่านมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นศิลปิน แต่ท่านก็พบกับความผิดหวัง ในชีวิตไม่เคยสมหวังในเรื่องของการเป็นศิลปินเลยสักครั้งเดียว คิดตลอดว่าสักวันหนึ่งงานของตัวเองจะขายได้ แต่ก็ไม่เคยขายได้เลยสักชิ้นเดียว เพราะทุกคนไม่เข้าใจรูปแบบการวาด การนำเสนอถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจที่แสดงออกมาเป็นผลงานนั้น คนในยุคสมัยนั้นไม่สามารถเข้าใจได้”
“10 ปีหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป โลกของเราเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงแห่งความเป็นโมเดิร์น มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกก็เปลี่ยน มีลัทธิใหม่ทางศิลปะเกิดขึ้นซึ่งได้รับอิทธิพลจากงานของท่าน งานของท่านเขย่าโลก สะเทือนโลกหลังจากที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว โลกต้องยอมสยบให้กับผลงานของท่าน”
“หลังจากที่เราได้วิจัยว่าภาพที่เรามีมันเชื่อมโยง สอดคล้องกับผลงานจิตรกรรมของแวนโก๊ะ ก็อยากจะให้นำงานวิจัยชิ้นนี้ของเราไปดำเนินการตรวจสอบเพื่อที่จะมาตอบคำถาม ตอบข้อสงสัยว่ามันเป็นเช่นไรในเมื่อเราทำจนจบขนาดนี้แล้ว มันเป็นเรื่องที่เขาควรแสดงความยินดี อุ๊กล้าพูดได้เลยว่าข่าวดีของโลกนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วค่ะ”
อยากให้ภาพอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ บอกเกินฐานะที่จะครอบครอง และหวั่นเรื่องไม่ปลอดภัย
“หลังจากยื่นคำร้องไปที่มิวเซียมแล้วเขาส่งทีมมาพิสูจน์แล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ภาพนี้ก็ควรไปอยู่ในที่ที่สมควรจะอยู่ อุ๊จะไม่ไปแตะต้องเขาอีก ภาพนี้จะได้แสดงนิทรรศการที่มิวเซียมแวนโก๊ะ อุ๊ไม่สามารถเก็บภาพนี้ไว้ส่วนตัวได้ มันยิ่งใหญ่เกินไป แล้วมันก็ไม่ปลอดภัยสำหรับคนที่บ้าน อุ๊ห่วงความปลอดภัยของลูกเพราะฉะนั้นอุ๊จะไม่เก็บไว้ มันเกินฐานะ เกินศักยภาพของเราที่เราจะครอบครองไว้ ความปลอดภัยของภาพ ความปลอดภัยของชีวิตเรา และครอบครัว อุ๊กลัว มันไม่คุ้มค่าเลยที่จะครอบครองภาพภาพหนึ่งแล้วทำให้เราไม่ปลอดภัย มานั่งหวาดระแวง ใครจะเอาไปก็เอาไป”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่https://mgronline.com/entertainment)