“โจอี้ บาซู” ชูสองนิ้ว ดีใจได้กลับบ้าน แพทย์เผยอาการฟื้นตัวเร็วมาก ไร้แทรกซ้อน บอกยังติดขัดเรื่องการพูด เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองที่เสียหาย จะส่งทีมแพทย์ลงพื้นที่ดูแลถึงบ้าน ไม่ฟันธงหายขาด 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ความสามารถในการดูแลของครอบครัวและการฟื้นฟูคนไข้ ด้านเพื่อนสนิทคาดได้เงินจากการเล่นคอนเสิร์ตช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 4 แสน แบ่งจ่ายทุกเดือนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย มั่นใจอีกฝ่ายเลิกยุ่งเกี่ยวยาเสพติด
เมื่อเวลา 11.05 น. คณะแพทย์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งนำโดย “พลอากาศตรี นายแพทย์สันติ ศรีเสริมโภค” ผู้ช่วยเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ฯ พร้อมทีมแพทย์ผู้รักษา “นายแพทย์เกรียงไกร ถวิลไพร” แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ และ “แพทย์หญิงธนิศรา เรืองพัฒนาวิวัฒน์” แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ได้แถลงอาการล่าสุด “โจอี้ บาซู” หรือ “ศุรเฎฒฌ์ กรณ์งูเหลือมโชต” ยังหอประชุมโรงเรียนนักอัลตราซาวด์การแพทย์ อาคารศูนย์การแพทย์จุฬาภรณ์ เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ หลังอดีตนักร้องถูกหามส่งรพ. ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองตีบ สมองบวม ส่งผลให้ซีกตัวด้านขวาขยับไม่ได้ ซีกซ้ายอ่อนแรง มีอาการคล้ายคนเป็นอัมพาต ซึ่งครั้งนี้โจอี้ บาซูมาร่วมแถลงด้วยในสภาพนั่งรถเข็น ทันทีที่เจอสื่อมวลชนก็เผยรอยยิ้ม พร้อมชูสองนิ้ว แพทย์เผยอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจ และในวันนี้ (24 พ.ค.) แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้
นายแพทย์สันติ : “วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ ทางโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณโจอี้ บาซู หลังจากที่เคยให้ข่าวไปครั้งแรกแล้วว่ามีอาการเป็นอย่างไร และในวันนี้ก็เป็นวันที่รู้สึกได้ถึงความสดใส รวมถึงความกังวลก็ได้หมดไปแล้ว จากนี้เราก็เหลือแค่แผนการดูแลคนไข้ต่อก็เท่านั้นเอง”
“เรารับคนไข้มาตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน ด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง พูดจาสื่อสารไม่ได้ ปัจจุบันตอนนี้คนไข้ อาการดีขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งการวางแผนการรักษาตอนนี้เราไม่ได้มองแค่จะรักษาอย่างเดียว แต่เรามองถึงการฟื้นฟูในอนาคต ที่เราร่วมมือกับทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพียงแต่ทางเราได้วางแผนในส่วนของตัวเราไว้หมดแล้ว ว่าจะรักษาคนไข้อย่างไร นับตั้งแต่วันที่ให้ออกจากโรงพยาบาล”
“การที่เราออกมาให้ข่าววันนี้ ก็เป็นเหมือนการออกมาบอกว่าเราได้จบการรักษา ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สำหรับอาการทางสมอง ตอนนี้ถือว่าหยุดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอาการแทรกซ้อน มีแต่จะดีขึ้น เหลือแค่รอการฟื้นฟู”
แพทย์หญิงธนิศรา : “เบื้องต้นตอนนี้คนไข้สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองง่ายๆ ในการทำกิจวัตรประจำวัน และในเรื่องของการทานอาหารที่ตอนแรกไม่สามารถทานเองทางปากได้ แต่ตอนนี้สามารถทานได้ตามปกติแล้ว ส่วนเรื่องการสื่อสารเองก็เช่นกัน เพราะคนไข้เข้าใจเกือบทุกอย่างเลย เพียงแต่ว่าการพูดหรือการอธิบายอาจจะไม่เก่งนัก เนื่องจากยังต้องใช้เวลาในการฝึกฝนและฟื้นฟู ขณะที่การช่วยเหลือตัวเอง คนไข้สามารถ ลุกขึ้น นั่ง ยืน หรือย้ายขึ้นลงเก้าอี้ได้ดี เพียงแต่การเดินอาจจะฝึกยากหน่อย เพราะคนไข้เป็นคนตัวใหญ่ ดังนั้นต้องฝึกฝนต่อไป แต่ถามว่าจะสามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติมั้ย โดยแนวโน้มเราต้องรอการฟื้นฟูของกล้ามเนื้อจริงๆ ถ้าหากกล้ามเนื้อมามากขึ้น ก็อาจจะสามารถเดินได้ดีขึ้นค่ะ แค่เรายังไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนได้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่”
เบื้องต้นไม่มีอะไรน่ากังวล ส่วนจะกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ อยู่ที่ความสามารถในการดูแลของครอบครัวและการฟื้นฟูคนไข้
แพทย์หญิงธนิศรา : “เนื่องจากแผนการรักษาหลังจากนี้ คนไข้จะไปอยู่ในสถานดูแลพักฟื้นทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ดังนั้นก็จะมีทีมที่ดูแลคนไข้ต่อจากนี้เยอะมาก ทั้งทีมกายภาพบำบัดนักฝึกฝนฟื้นฟู และเรื่องของการฝึกพูด ดังนั้นเบื้องต้นจึงไม่มีอะไรน่ากังวล ส่วนทางด้านที่คนไข้จะกลับไปอยู่ที่บ้าน คนไข้ก็อาจจะต้องฝึกฝนทักษะที่ทางโรงพยาบาลได้สอนไป เพื่อให้ไม่มีการถดถอย ดังนั้นถ้าจะถามว่าคนไข้จะดีขึ้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ เราไม่สามารถระบุได้แน่ชัด เพราะขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูแลของทางบ้าน และการฟื้นฟูของคนไข้ ถ้าถามความพึงพอใจ ช่วง 2 สัปดาห์ที่อยู่โรงพยาบาล คนไข้ฟื้นตัวได้เร็วมาก และ ณ ตอนนี้ก็ไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรเลย”
นายแพทย์เกรียงไกร : “ถึงแม้ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลคนไข้จะมีอาการปอดอักเสบ แต่ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ รวมถึงอาการถุงน้ำดีอักเสบ ซึ่งตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วเช่นกัน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง รวมถึงอาการติดเชื้อ แต่อาจจะมีแค่เรื่องของการกินและการกลืนที่ต้องระวัง”
โจอี้ : “คุณหมอบอกว่าตอนนี้ผมเริ่มดีขึ้น ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง มันอธิบายยาก”
แพทย์หญิงธนิศรา : “คนไข้อาจจะยังไม่สามารถอธิบายได้ทุกอย่างตามที่คิดและอยากจะพูดออกมา เพราะเรื่องของการประกอบคำพูดยังไม่เต็มร้อย แต่เรื่องของความเข้าใจคนไข้เข้าใจดี คนไข้เรียนรู้ได้ดี แต่ยังยากที่จะพูด เมื่อกี้เขาบอกว่ามีหลายอย่างที่อยากอธิบาย แต่ยากที่จะพูด เพราะคนไข้ยังมีปัญหาในการเรียบเรียงคำพูด เพราะตอนแรกที่มาเขาพูดไม่ได้เลย และไม่เข้าใจด้วย แต่ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างแต่ยังเรียบเรียงคำพูดยาก เหตุเกิดจากตัวโรคหลอดเลือดสมองที่เสียหายในส่วนการควบคุมเรื่องการพูด”
โจอี้ : “พอรู้ว่าได้กลับบ้าน ผมก็ยินดี ดีใจ ผมเองยังไม่มีแรง”
เตรียมส่งทีมแพทย์เยี่ยมถึงบ้าน
นายแพทย์สันติ : “เราวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะรับช่วงต่อจากเราไป ทุกอย่างวางแผนและเตรียมการไว้แล้ว หลังจากนี้คนไข้ต้องเข้ามาตรวจบ้างเป็นปกติ และจะมีหน่วยเยี่ยมบ้านด้วย ถามว่ากลัวคนไข้เครียดมั้ย ก็บอกเขาว่าต้องหนักแน่น เพราะเมื่อก่อนหนักกว่านี้เยอะ”
โจอี้ : “ตอนนี้ก็ไม่มีอะไร มีแต่จะดีขึ้น เรื่องเพื่อนๆ จะจัดคอนเสิร์ต ผมก็อยากจะขอบคุณทุกคน ทั้งสื่อมวลชนและโรงพยาบาลนี้ ส่วนเรื่องคดีเป็นเรื่องเก่ามันจบไปแล้ว มีแต่จะทำตัวให้ดีขึ้น ทุกอย่างจบ ก็สู้ครับ”
นายแพทย์สันติ : “ค่าใช้จ่ายอยู่ใน 30 บาท ซึ่งโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาส่งมาให้ ก็มีส่วนเกินบ้าง ซึ่งคุณเบน (เพื่อนสนิทโจอี้) รับผิดชอบไปเรียบร้อยครับ”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ “ปีเตอร์ หลุยส์ ไมอ๊อกชิ” เพื่อนดาราของโจอี้ บาซูที่มาในวันนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่า
“วันนี้ดีใจที่ได้เห็นอาการของโจอี้เพราะเขาดีขึ้นมาก ก่อนหน้านี้พอจะได้เห็นจากรูปที่พี่ๆ คนอื่นมาเยี่ยมและส่งมาให้ดู หลังจากที่มาร่วมแถลงข่าวในวันแรกก็ยังไม่มีโอกาสมาเยี่ยมโจอี้อีกเลยเพราะว่าติดงานตลอด รวมถึงเตรียมงานเรื่องคอนเสิร์ตด้วย เลยเพิ่งมีโอกาสได้มาเจอกันวันนี้ จากที่ลุกขึ้นไม่ได้ ลืมตาได้ข้างเดียว แต่วันนี้สามารถโต้ตอบได้แล้ว พูดได้เป็นคำมากขึ้น ถือว่ามีพัฒนาการที่ดี”
“เรื่องคอนเสิร์ตตอนนี้พี่ๆ ศิลปินมาจนล้นเวลา ต้องขอโทษและขอบคุณหลายๆ ท่านที่แสดงความจำนงอยากมาร่วมทั้งที่ไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับโจอี้ด้วยซ้ำ ต้นต้องขอบคุณพีเอ็มจีกรุ๊ป อาจารย์ปราชญ์ แล้วพี่หล้าที่ให้ห้องซ้อม รวมถึงโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงที่ให้สถานที่ในการจัดคอนเสิร์ต เรื่องของค่าใช้จ่ายไม่มีเลย ค่าบัตรทั้งหมดจะรวบรวมและมอบให้ผู้ที่สามารถดูแลได้”
คาดได้เงินจากการเล่นคอนเสิร์ตไม่ต่ำกว่า 4 แสน บอกไม่ได้มอบเงินให้ทั้งก้อน แต่จะจัดสรรยอดเงินให้ใช้จ่ายทุกเดือนเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ยกหน้าที่ให้เพื่อนสนิทดูแลให้
“รวมถึงจะไม่ได้ให้เงินทั้งก้อนมอบให้เขา แต่จะให้เขาฟื้นฟูตัวเอง สมมุติว่าการขายบัตรครั้งนี้ได้ยอดเงิน 5 แสนบาท ทุกคนก็จะมาดูกันว่าโจอี้ต้องใช้ต่อเดือนเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ในการฟื้นฟูตัวเอง ถ้าเดือนละ 5 หมื่นบาทเท่ากับว่าจะใช้จ่ายไปได้ 10 เดือน ซึ่งเงินตรงนี้จะใช้สำหรับฟื้นฟูตัวเขาโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อไปใช้หนี้หรือลงทุนหรือจ่ายให้ญาติอะไรทั้งนั้น เมื่อเขารักษาตัวหายอย่างดีแล้วค่อยให้ไปจัดการชีวิตของเขาที่เหลือ”
“โดยเงินในส่วนนี้ที่คิดกันไว้ก็จะให้พี่เบน(นวธันย์ ธวัชวงศ์เดชากุล)เป็นคนดูแล เนื่องจากเขาเป็นคนที่ออกตัวช่วยเหลือโจอี้ตั้งแต่ที่ยังไม่มีรายได้และไม่ได้มีการคิดจะจัดงานคอนเสิร์ตช่วยเหลือ ซึ่งตอนนั้นไม่มีเงินมาจากทางไหนทั้งนั้น แต่พี่เบนยินดีที่จะจ่ายค่าโรงพยาบาลให้โจอี้ทั้งหมด ตนเชื่อว่าการดูแลเรื่องการเงินของพี่เบนโอเค แล้วสถานะการเงินของเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรด้วย คร่าวๆ คิดกันเอาไว้ว่าเงินที่จะได้เข้ามาไม่น่าจะต่ำกว่า 4 แสนบาท”
“เท่าที่เห็นตอนนี้คือโจอี้สามารถโต้ตอบได้แล้ว เชื่อว่าเขาสามารถคิดวิเคราะห์ได้ หลังจากงานคอนเสิร์ตคงจะต้องมาคุยและให้เขาเป็นคนตัดสินได้เลยจะจัดการชีวิตยังไง แต่ว่าก็คงจะไม่ได้มอบเงินเป็นก้อนให้เขาไป”
ไม่ยุ่งเรื่องคดีความ เป็นปัญหาส่วนตัวที่อีกฝ่ายต้องแก้ไขเอง เชื่อหลังจากนี้โจอี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด
“อันนี้เป็นเรื่องนอกหัวของเราเลย ไม่ได้ไปสนใจตรงนั้น ตรงนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาจะต้องแก้ไขปัญหา ส่วนที่พวกตนจะช่วยดูแลกันเป็นเรื่องการฟื้นฟูและการดูแลในชีวิตประจำวันของตัวเขา ส่วนเรื่องคดีก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องไปจัดการกันเอง”
“ถามว่ากลัวเรื่องคดีจะมีผลกระทบจิตใจของโจอี้แล้วทำให้ทรุดลงกว่าเดิมมั้ยก็ไม่กลัวเพราะทุกคนพร้อมจะเป็นกำลังใจให้เขา สิ่งหนึ่งที่เข้าใจได้ด้วยตนเองคือเขาเป็นแค่ผู้เสพ เขาเป็นแค่คนไข้ เปรียบเหมือนว่าถ้าเขาไม่ได้เส้นเลือดในสมองตีบ เขาก็เป็นเหมือนคนป่วยที่ติดสารเสพติด แต่เชื่อว่าในช่วงที่รักษาตัวอยู่เขาสามารถฟื้นฟูเรื่องตรงนั้นได้อัตโนมัติ และไม่น่าจะไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก หลังจากนี้ก็จะเป็นกำลังใจให้เขา รวมถึงคงจะมีหลายคนช่วยสอดส่องดูแลให้อีกแรงหนึ่งด้วย”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)