“ณัฐรัฐ” ขอบคุณสิ่งที่มองไม่เห็น ดลบันดาลช่วยเหลือ บอกต้องใช้เงินรักษาพ่อเป็นมะเร็ง มีพรีเซ็นเตอร์ติดต่อได้เงินเป็นล้าน เจอเหตุการณ์ใจฝ่อคิดว่าไปต่อไม่ไหว จะเอาบ้านเข้าธนาคาร ก็มีงานติดต่อเข้ามา ที่ดินที่เชียงใหม่ ทิ้งขว้าง 20 ปี อยู่ดีๆ ก็มีญาติมาซื้อ เชื่อเป็นผลจากความกตัญญู ยันไม่หนักเกินไป หัวใจสตรองเพราะการปฏิบัติธรรม ยันยังไม่ออกจากวงการ
พระเอกหัวใจกตัญญู “ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง” เผยอาการล่าสุดของคุณพ่อที่ดีวันดีคืน มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากความหวังริบหรี่ ตอนนี้ดีขึ้น แต่ไม่อยากหลงดีใจเกินไป เพราะเคยมีบทเรียนมาก่อน ขอบคุณทุกคนที่ห่วงใย ซึ้งใจมีแฟนคลับเข้ามาทักและซื้อกระเช้าผลไม้ฝากคุณพ่อ
“ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ นะครับ ที่คอยเป็นห่วง บางทีเราก็รู้สึกซึ้งนะ เราไปเดินห้างแล้วคนก็แบบถามว่าพ่อเป็นยังไงบ้าง แล้วก็หายไปกลับมาซื้อผลไม้มาให้ บอกว่าเอาไปให้คุณพ่อกิน เราก็ขอบคุณจริงๆ ตอนนี้คุณพ่อก็ดีขึ้นครับ แต่เราก็ยังต้องระวังเรื่องการกิน พยายามพาไปว่ายน้ำ พาไปออกกำลังกาย ทุกอย่างที่ทำได้ เราก็พยายามทำครับ”
ผ่าตัดสมองและผ่าตัดหัวใจเมื่อปีที่ผ่านมา ทุกอย่างดีขึ้น
“ใช่ครับ ก็ตั้งแต่ปีที่แล้วก็ผ่าตัดหัวใจ 3 ครั้ง แล้วก็ผ่าสมอง 1 ครั้งครับ คือเอาจริงๆ เราก็จะต้องระมัดระวังเรื่องการกิน จากตอนแรกๆ ที่นั่งรถเข็น ก็พยายามให้เดิน จนสักพักกลายเป็นว่ายน้ำได้ พอไปไหนทุกคนก็บอกว่า โห...คุณพ่อดูดีเยอะกว่าคราวที่แล้ว ก็คือจะดีขึ้นกว่าเดิมนิดหนึ่งครับ แล้วเมื่อสัก 2-3 วันที่แล้วก็ไปทำสแกนสมองมา ก็จะไปเช็กอัพอาทิตย์หน้าว่าตกลงสมองดีขึ้นหรือยัง”
โอดยาตีกัน อยู่ในภาวะที่กดดัน ต้องเลือกระหว่างหัวใจและสมอง
“มีแนวโน้มที่ดีครับ คือเอาจริงๆ มันลำบากตรงที่ยามันตีกันไปหมด ยาหัวใจก็ตีกับสมอง ยาสมองก็ตีกับหัวใจ สรุปเราก็เลยเหมือนต้องยอมเลือกอันใดอันหนึ่ง มันก็ยาก เราเลยบอกงั้นเราขอสมอง เซฟสมองดีกว่า ไม่ให้เลือดมันกลับมาไหล แต่หัวใจที่ผ่าไปอาจจะพังก็ได้เพราะว่าเราต้องหยุดยาหัวใจหมด ที่มันละลายลิ่มเลือดแล้วมันไปไหลในสมอง ก็เหมือนเป็นภาวะที่เราต้องเลือก ตอนนี้ก็เลยต้องระวังการกิน ไม่พยายามให้เพิ่มคอเลสเตอรอลหรืออะไรไปอุดหัวใจได้อีกครับ”
“คือพอผ่าหัวใจปุ๊บ หมอก็ให้ยาละลายลิ่มเลือดเยอะ เพราะผ่าแบบบอลลูนมันต้องให้ไม่งั้นมันจะกลับมาตันใหม่ เขาก็บอกว่าแต่ถ้าอยู่ดีๆ มีปัญหากับสมองมันรักษาไม่ได้เลยนะ แม่ก็บอกโอเค ตอนนั้นก็ไม่มีอะไร แล้วอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเลือดไหลในสมองแล้วมันก็ไม่หยุด 3 - 4 เดือน เยอะขึ้นจนพ่อเจ็บ เพราะมันไปกดประสาทจนนอนไม่ได้ จนชัก ก็เลยไปผ่าสมอง พอผ่าสมองไปสักพักก็เริ่มดีขึ้น เลือดก็ยุบลงไป แล้วหมอหัวใจก็บอกว่าต้องกลับไปกินยาหัวใจละลายลิ่มเลือดแล้ว แต่หมอหลายๆ ท่านก็บอกว่าถ้ากลับมากินยาหัวใจ เดี๋ยวเลือดในสมองก็จะกลับมาไหลอีก เราก็เลย อ้าว...ที่เราผ่ากันมาทั้งหมด ขอเลือด ก็ต้องเริ่มใหม่หมดเลยสิ แล้วสมองอีกซีกที่ยังไม่ได้ผ่า ผมก็บอกให้ผ่าเลย เขาก็บอกไม่ได้มันไม่ใช่รถยนต์ ต้องค่อยๆ ทีละซีก แต่ก็เห็นมันก็เริ่มยุบลงๆ พ่อก็อาการโอเค แต่เราก็ไม่รู้ว่าหัวใจจะเป็นยังไง แต่เราก็ต้องยอมแบบนี้ เพราะไม่งั้นมันก็จะผ่าวนไปวนมา เดี๋ยวผ่าหัวใจ เดี๋ยวผ่าสมอง คือให้มันผ่าน 1 ปีไป เพราะหลังการผ่าบอลลูนหัวใจต้องใช้เวลาพัก 1 ปีเพื่อฟื้นฟู แล้วถึงจะหยุดยาละลายลิ่มเลือดได้”
“คุณพ่อมีสติรับรู้ทุกอย่าง แต่ก็อาจจะมีผลนิดหนึ่งจากพวกยากันชัก เพราะยากันชักมันจะทำให้ง่วงๆ ซึมๆ เขาก็จะหลับทั้งวัน แต่โดยรวมมันก็คือดีขึ้นกว่าตอนก่อนเยอะ”
จากความหวังริบหรี่ ตอนนี้ดีขึ้น แต่ไม่อยากหลงดีใจเกินไป
“แต่เราก็ยังไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมาย เพราะบางทีเราก็หลงดีใจหลายครั้งว่าโอเคแล้ว แต่ก็กลับไปเข้าโรงพยาบาลอีก เราก็เลยแค่ทำให้มันดีที่สุด ตอนนี้พ่อคุยก็เหมือนปกตินะครับ แต่ก็เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไปเจอหมอก็จะลองถามว่าลดยากันชักได้มั้ย เพราะยามันมีผลข้างเคียงเยอะ”
ยอมรับค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ตนไม่ได้ฟุ่มเฟือย พอมีเงินเก็บไว้ใช้เผื่อฉุกเฉิน
“มันก็สูงแหละ เราเบิกอะไรไม่ได้ด้วย แต่เราก็เป็นคนไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไรอยู่แล้ว เราก็พอจะเก็บเงินไว้เผื่ออะไรฉุกเฉินแบบนี้ไว้อยู่แล้ว สำหรับเราก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้วแหละ จะซื้อรถเบนซ์ป้ายแดง กับรักษาชีวิตพ่อ พ่อก็สำคัญกว่าอยู่แล้ว”
“ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนมันแล้วแต่เดือน จริงๆ ตอนนี้มันก็อยู่ตัวนะถ้าไม่ได้ผ่าตัดมันก็ไม่ได้อะไร อย่างช่วงผ่าตัดบางทีเราก็สลับ ช่วงไหนไหวเราก็ไปเอกชน แต่ถ้าช่วงไหนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปรัฐบาลบ้าง เพราะค่าใช้จ่ายมันก็จะต่างกัน”
ผู้ใหญ่ยื่นมือช่วยเรื่องงานแต่ก็ลำบาก
“มันลำบากตรงที่เขาให้งานแต่เราก็ต้องถอนตัว ตอนนั้นแม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกด้วย พอดูแลพ่อเยอะๆ แม่ก็เครียดอีก มันก็ตลกเหมือนกันนะ ผมไปกองถ่ายพี่ตากล้องก็ถามว่าโอเคมั้ย ถ้าพี่เป็นเราพี่มาทำงานไม่ได้นะ แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้อะไรนะ มันเหมือนอยู่ที่ใจมากกว่า เราต้องเข้มแข็ง”
“ตอนนั้นมันอาจจะด้วยปกติเราก็ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิอยู่แล้ว เราไปบวชมาด้วย มันก็เลยทำให้เหมือนเราอยู่เหนือความคิดตัวเอง เราจะสตรองตลอด ไม่ว่าจะเจออะไรก็รับได้หมด ตอนที่แม่เส้นเลือดในสมองแตก ตอนนั้นอยู่ดีๆ แม่ก็แขนสั่น ขาสั่น เราก็งงว่าเป็นอะไร พยาบาลก็นึกว่าอาจจะเป็นพาร์กินสัน หมอก็ดูปรากฏว่าเป็นเส้นเลือดแตกในสมอง คือถ้าใครเป็นผมตอนนั้นมันก็ต้องถอนตัวแหละ แต่บางข่าวที่เขียนกันเกินไปว่าพระเอกกตัญญู ออกจากวงการเพื่อไปดูแลพ่อแม่ เราก็เอ้ย เราไม่ได้ขนาดนั้น(หัวเราะ) เราแค่ถอนตัวจากถ่ายละคร 2 เรื่อง เหลือเรื่องเดียว แล้วพอพ่อเริ่มดี แม่เริ่มโอเคขึ้น เราก็บอกเขาว่าโอเคเรากลับมารับงานแล้วนะ เขาก็หาเรื่องใหม่ให้ เดือนมิถุนายนน่าจะเริ่มถ่าย”
เผยทุกครั้งพอเริ่มแย่จะมีสิ่งที่มองไม่เห็นมาช่วยเสมอ
“ทุกวันนี้เรื่องรายได้มันก็ยังได้อยู่มั้ง ยังโอเคแหละ ผมสังเกตนะตั้งแต่เด็กๆ แล้วมีรอบหนึ่งที่รักษาพ่อเป็นล้านๆ เลย ตอนพ่อเป็นมะเร็ง แล้วผมก็ไปออกรายการ เราก็พูดเรื่องนี้ด้วยนิดหน่อย แล้วพอพ่อเริ่มจะแย่แล้ว ก็มีงานพรีเซ็นเตอร์ติดต่อมา ก็ได้เป็นล้านๆ เลย พอกับที่ผมรักษาพ่อเลย เหมือนแบบพอจะไม่ไหวๆ แล้ว จะเอาบ้านเข้าธนาคารดีมั้ย อยู่ดีๆ ก็มีงาน คราวนี้ก็เหมือนกัน พอรักษาไปรักษามา เราก็พูดกันว่ามีที่ดินที่เชียงใหม่ ไม่ได้ใช้ อยู่มา 20 ปีแล้วก็ทิ้งไว้อย่างนั้น คุยไปคุยมาก็มีญาติมาซื้อเลย ก็เหมือนได้เงินมาช่วย”
“บางทีแม่ก็เครียด เราก็จะบอกแม่เดี๋ยวมันก็มีอะไรมาเองแหละ แม่ก็บอกมันดูเป็นการ์ตูนไปมั้ย แต่บางทีมันก็เป็นจริงๆ เหมือนที่เขาบอกว่าถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือทำอะไรให้พ่อแม่ มันก็จะได้สิ่งดีๆ คืนมา ถามว่าเป็นเพราะความกตัญญูมั้ย มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละผมว่า แต่มันก็ไม่ได้แบบเงินเหลืออะไรนะ มันจะแบบพอดีเลย”
แม่ต้องกินยารักษาโรคไบโพลาร์ เผยพอหยุดยาก็ซึมเศร้า
“พอแม่ขาสั่นจนนอนไม่หลับ ทำอะไรไม่ได้ โรงพยาบาลเขาก็ให้ยาจิตเวชมาสำหรับคนที่เป็นไบโพลาร์หนักๆ มันก็ทำให้ขาหยุดสั่นจริงๆ แต่ว่าพอหยุดยาแม่ก็กลายเป็นซึมเศร้าไปเลย อยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ไม่มีเหตุผล เดินห้างอยู่ดีๆ ก็เศร้า เราก็แบบเอาแล้วไง พอไปดูก็สรุปเป็นผลของการหยุดยา จากแม่เป็นคนที่สติปกติเลยนะ แค่ขาสั่น กลายเป็นแบบนี้ไปอีก แต่ก็เห็นว่าอีกสัก 3-4 เดือนก็คงหายครับ”
ไม่ได้รู้สึกว่าหนัก สตรองเพราะปฏิบัติธรรม
“ถามว่าหนักมั้ย ก็เฉยๆ มันก็ปกติแหละ ไม่รู้นะผมก็งงเหมือนกัน แต่ผมเชื่อว่าเป็นเพราะเราปฏิบัติธรรมนั่นแหละ เพราะจำได้ว่าตอนที่พ่อป่วยครั้งแรก ผมดาวน์มาก ร้องไห้ แต่รอบนี้มันเหมือนแบบพอเราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว มันเป็นประโยชน์มากกว่า บางทีเราก็รู้สึกว่าพอชีวิตมันเรียบง่าย ไม่มีอะไร เราก็รู้สึกเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เหมือนวัยรุ่นนั่งเล่นมือถือ ไม่ออกไปไหน มันดูไร้สาระ แต่อันนี้มันเหมือนเราได้อยู่กับท่าน ทำให้ท่านได้รู้สึกดีขึ้น แล้วเราก็รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ขึ้นมา ก็ตรงนี้แหละมันก็เลยทำให้เรายิ่งมีความสุข แล้วก็โอเค”