กลับมาเอาใจแฟนคลับชาวไทยอีกครั้ง สำหรับซูเปอร์สตาร์แดนกิมจิ อย่าง “นิชคุณ หรเวชกุล” ที่มารับบทที่รักสุดน่ารักในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “น้อง.พี่.ที่รัก” ค่ายจีดีเอช งานนี้หนุ่ม “คุณ” ยังได้มาประกบนักแสดงตัวท็อปอย่าง “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” และ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” งานนี้เล่นเอาเจ้าตัวยอมรับว่าตอนแรกที่เล่นรู้สึกเกร็งๆ เหมือนกัน
“ก็เป็นหนังเรื่องแรก เรื่องยาวของผมที่เมืองไทย เพราะเรื่องก่อนหน้านี้เป็นหนังสั้นต่อกัน อันนี้ก็เป็นหนังเรื่องแรกที่ต้องมาโปรโมตคือเป็นครั้งแรกเลยที่ผมต้องมาโปรโมตก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะเท่าที่ผมได้ดูพวกคลิปดูอะไรจากหนังแล้วผมว่าคนดูน่าจะชอบ เพราะว่าตามตัวเนื้อเรื่องของหนังมันดีอยู่แล้ว คือไม่ใช่ว่าพวกเราแสดงได้ดีขนาดไหน แต่คือเราส่งออกมาได้มากขนาดไหนมากกว่า ผมว่าคนดูน่าจะชอบ เพราะมันไม่ใช่หนังที่แบบดูแล้วตลกหัวเราะกลับบ้านมันได้ความคิดหลายๆ อย่าง ได้ความประทับใจมากกว่าที่จะเรียกว่าหนังตลก ผมไม่อยากเรียกว่าเป็นหนังตลก”
ย้อนกลับไปวันแรกที่เราตัดสินใจรับหนังได้อ่านบทแล้วรู้สึกยังไง?
“วันแรกที่โทร.ติดต่อมายังไม่มีบท เป็นแค่เป็นเรื่องซิมเปิลสั้นๆ เลย ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอย่างนี้ๆ นะแล้วก็บอกว่าเป็นหนังของ GDH ผมก็เป็นแฟน GTH อยู่แล้วคอนเฟิร์มทันทีเลยก็น่าสนใจครับดีแล้วเขาก็บอกว่าจะมีพี่ซันนี่กับน้องญาญ่าด้วยยังไม่จำเป็นต้องดูบทก็ได้มั้งรับก่อนเลย ก่อนอื่นเลยก็คือเชื่อใจ GTH แล้วก็ได้พี่ซันนี่กับน้องญาญ่ามาแค่นั้นก็พอแล้วอะ บทหรือว่าสคริปต์อะไรเราไว้ค่อยดูทีหลังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่”
แล้วพอได้มาอ่านสคริปต์แล้วเรามีความรู้สึกว่าชอบตรงไหนของมัน?
“ชอบตรงที่มันไม่เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ มันมีอะไรที่ให้คิดเยอะ แล้วมันมีอะไรที่แบบคนดูคือหนังเนี่ยมันมีหนังอะไรหลายๆ แบบหนังที่ทำให้เรากลัวหนังที่ทำให้เราหัวเราะ เศร้า แต่ว่าหนังส่วนน้อยที่ดูไปแล้วจะรู้สึกตามได้ว่ามันเหมือนกับชีวิตเรานู่นนั่นนี่ เราก็เหมือนกับพี่น้องเรานะ มันโชว์ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวด้วยว่าการที่เรารักคนคนหนึ่งเนี่ยไม่จำเป็นต้องเป็นคนรัก แต่เป็นคนเป็นพี่เป็นน้องเราก็ควรจะรักด้วยความรักหลายอย่าง”
มีคาแรกเตอร์ไหนหรือบทไหนที่คล้ายหรือเหมือนเรา?
“จริงๆ ในหนังเรื่องนี้ผมเล่นเป็นโมจิ งเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ความจริงผมก็ลูกครึ่งจีนอะนะ ก็เหมือนนิดนึงรึเปล่า แล้วก็เป็นคนรักความเรียบร้อย เป็นคนที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ทำงานไม่โกหก ไม่ต้องเป๊ะต้องอะไร แต่ผมไม่ถึงขนาดตัวโมจิ แต่มีมุมหนึ่งของผมที่แบบต้องสะอาดเรียบร้อยหน่อยไรอย่างเนี้ย ก็จะมีมุมหนึ่งที่คล้ายๆ กันแล้วก็มีอีกมุมหนึ่งคือฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดผิดพูดเพี๊ยนก็จะคล้ายๆ กัน มีมุมที่เหมือนกันเยอะซึ่งจริงๆ ตอนที่เขาเขียนบทตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นใคร คือตอนแรกเท่าที่ฟังพี่จึ้งเล่าให้ฟัง คือซันนี่กับน้องญาญ่าเนี่ยคู่นี้คือพี่น้องแน่นอน ก็คิดว่าใครจะมาเป็นที่รักของเรา ก็คิดไปคิดมาแล้วก็นึกได้ ก็รู้”
จริงๆ ต้องทำการบ้านเยอะไหม?
“เรื่องแอ็กติ้งจริงๆ แล้วผมก็มีคิดอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ที่ทำเยอะคือการท่องบทเป็นภาษาไทย เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่ 2 ของผม ไม่ได้กลับมาไทยบ่อยด้วย พออยู่เกาหลีก็ใช้ภาษาไทยกับพ่อแม่พี่น้องที่เมืองไทยธรรมดา ไม่ได้ใช้กับใครอยู่แล้ว ก็เนี่ยต้องท่องให้มันติดปากก็แค่นั้น พอมาปุ๊บก็เวิร์ชอปอาทิตย์กว่าก็เวิร์กชอปกันไป ปรับตัวกันไป”
วันแรกที่เวิร์กชอปกันสามคนเป็นยังไง ต้องเจอญาญ่าแล้วก็เจอซันนี่ด้วย?
“สนุกมากครับ เพราะว่าตอนแรกผมตื่นเต้น อีกอย่างผมรู้จักญาญ่าอยู่แล้วเพราะว่าเคยถ่ายโฆษณาด้วยกันซุปไก่ และรู้สึกว่าเขาจะถ่ายรังนกอยู่ เพราะเขาสีแดงผมสีเขียว ก็คือเคยเจอกันอยู่แล้ว แต่พี่ซันนี่เคยเจอตอนนั้น 7 ปี แค่คนละตอนคนละเรื่อง คือเขาก็ 1 ใน 3 ผมก็ 1 ใน 3 เรื่องนั้น แต่ก็เคยทักกันแต่ไม่ได้ค่อยคุยกันเท่าไหร่ เพราะว่าที่เห็นพี่ซันนี่ตอนนั้นคือเขาเงียบมาก”
คิดว่าซันนี่เป็นคนเข้าถึงยากไหม?
“ก็ยาก ดูเขาเป็นคนเรียบร้อย เป็นคนสุภาพ จริงๆ ใครเจอครั้งแรกคงคิดว่าอย่างนั้น ในเรื่องของผมก็คือพี่เก้ง พี่สู่ขวัญ ก็นั่งกันไป พอวันถัดๆ ไปก็สวัสดีพี่ซันนี่ พี่ซันนี่ก็แบบสวัสดีครับ เขาชอบทำเสียงหล่อ แล้วเขาก็ไปนั่งไปทานข้าว พอกลับก็สวัสดีครับ ก็กลับไป ก็คิดว่าเรียบร้อยดีนะ ดูหล่อติสท์ๆ เขาดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อยมาก แต่พอวันที่มาเวิร์กชอปเนี่ยเดินผ่านมาแล้วบอกซันนี่นะ แต่ในกองเนี่ยเขาจะไม่ค่อยแกล้งผมเท่าไหร่ เขาจะแกล้งญาญ่าอย่างเดียว ตอนแรกจะยังเกร็งๆ อยู่นิดหน่อย”
จริงๆ แล้วละลายพฤติกรรมกันยังไงบ้างสามคน?
“จริงๆ ทั้งสามคนก็กวนๆ กันทั้งสามคนนะครับ แต่ละคนก็มีมุมที่กวนๆ น่ารักของตัวเองไป การที่เราจะทำงานให้สนุกสนานไม่ซีเรียสตลอดเวลา เพราะว่าคนรอบตัวเราก็แบบมีบางทีที่เครียดบ้าง แต่เราก็พยายามปล่อยมุก พยายามทำเล่นแกล้งคนเล่นแกล้งกันเองเพื่อให้บรรยากาศในกองถ่ายมันเบา และแฮปปี้ มันดูสดใสขึ้นอะไรอย่างเนี้ย”
การสื่อสารมันมีปัญหาไหม?
“ญาญ่าจะพูดภาษาอังกฤษกัน แล้วพี่ซันนี่ก็จะเออๆ อืมๆ อยู่ข้างๆ แต่เขาฟังออกแค่เขาไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เขาก็เลยไม่ได้พูดภาษาอังกฤษกับพวกเรา เขาจะพูดภาษาไทยกลับมา แต่การสื่อสารก็จะมีบางโมเมนต์ที่แบบแปลว่าไรนะ ญาญ่าก็แบบแปลว่าไรนะคะ ผลัดกันถามกันว่าแปลว่าไรนะ ฉันไม่รู้ เธอก็ไม่รู้ มันก็มีมุมอย่างนั้น หรืออย่างต้องไปอัดเสียงทับ ก็คือผมต้องไปอัดเสียงทับอะครับในเวลาการถ่ายหนังหรืออะไร ผมต้องมีการอัดเสียงทับ เพราะว่าอัดไปแล้วมีเสียงรถหรือมีเสียงอะไรเข้ามาก็ต้องไปอัดเพิ่ม หรือบางทีพูดเพี้ยน ลิ้นขัดกันก็เลยต้องไปอัดเสียง พอไปอัดเสียงแล้วเจอญาญ่าต้องแก้อย่างนี้เยอะเลย ญ่าก็บอกว่าหนูก็เหมือนกันค่ะ เป็นสองคนที่พูดแบบภาษาไทยไม่ชัดเลย ในเรื่องก็เป็นแบบอะไรที่สนุกๆ น่ารักๆ”
แล้วกับความที่เขาเป็นเหมือนนักแสดงฝีมือดีมีชื่อมาแล้ว เราเนี่ยรับส่งบทกับเขา เราเกร็งไหม?
“ตอนแรกเกร็งมากเพราะว่าไม่อยากให้เขาเสียสมาธิหรือว่าแบบเสียอารมณ์ เสียอินเนอร์ เสียฟีลไป แต่ว่าพอเริ่มแล้วเขาส่งมาแล้วเรารู้สึกได้ แล้วมันออกกลับไปเป็นธรรมชาติมากกว่าโดยที่แบบเราต้องแสดงเราต้องแอ็กติ้งนะ เพราะว่าเขาเก่งมาก เขาส่งมาให้ผมแล้วผมสัมผัสได้ว่าถ้าเขาแสดงกับพี่หรือกับใครก็แล้วแต่เนี่ย แล้วเขาส่งให้ผมว่ารู้สึกได้เลยจริงๆ มันเป็นอะไรที่แบบตอนแรกก็แบบเซอร์ไพรส์มาก ภูมิใจมากที่แบบเราถึงขั้นนี้แล้วหรอ อะไรประมาณนี้ เพราะว่าเขาส่งแรงมาก ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีแล้วผมได้เรียนรู้กับทั้งสองคนเยอะมาก”
อย่างกับญาญ่าเราต้องเป็นเหมือนกับที่เป็นคนไปรักเขาชอบเขามันต้องปรับจูนกันตรงนี้ยังไงต้องมีภาพในหัวคิดยังไงว่าเราจะต้องรักผู้หญิงคนนี้ยังไง?
“ก็ตอนที่เวิร์กชอปกับครูเงาะ ตอนเจอกันครั้งแรกเลยนะครับ เขาให้ยืนมองหน้ากันแล้วเขาก็ให้คำผมมาคำหนึ่ง มีการจ้องหน้ากันไป แล้วก็พูดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ขอให้พูดพร้อมกัน โดยที่ไม่ต้องส่งซิก และอยู่ดีๆ ก็พูดออกมาเลย ส่วนใหญ่ก็พูดออกมาพร้อมกันเกือบทุกคำเลยครับ ทุกครั้งที่เขาบอกยกมือขวาขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้อยู่ดีๆ ก็ยกขึ้นมาพร้อมกัน”
จริงๆ คือคุณจ้องตาหรือจ้องอะไร เพราะบางคนเขาอาจจะเขินอาจจะจ้องหูจ้องจมูกเรา?
“เขาก็จ้องตาผมเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นการสื่อสารกันที่ดีที่สุด การมองตาเวลาคุยกับคน ผมก็เลยแบบมองตากัน แล้วก็แบบมีเอ็กเซอร์ไซส์หลายอย่างมาก เขาให้ทำจนแบบรู้สึกถึงว่าคนนี้คือคนรักของเราคือเราต้องปกป้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้”
เราแปลกใจไหมว่าทำไมเคมีเราถึงเข้ากันง่ายขนาดนี้?
“อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราพูดภาษาอังกฤษมากกว่า การที่เราไปต่างประเทศแล้วเราพูดภาษาเดียวกันได้ อย่างผมอยู่เกาหลีเหมือนกัน เวลาเจอเพื่อนเป็นคนพูดภาษาอังกฤษได้ วันสองวันนี้คือเราเป็นเพื่อนซี้กันได้เลย ผมว่าการที่เราพูดภาษาเดียวกันแล้วพูดภาษาไทยไม่ชัดคล้ายๆ กันด้วยเลยมีจุดเชื่อมโยงตรงนี้มากกว่า น้องเขาก็เป็นคนน่ารัก ใครๆ เห็นก็รักอะไรอย่างเงี้ย ผมก็แบบทำงานด้วยมีความสุข โชคดีมากเลยที่ได้เจอน้องญาญ่ากับพี่ซันนี่ แล้วก็ไม่ว่าจะเป็นพี่บอล พี่จึ้ง ทีมงานทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน คือคาดหวังเลยครับให้เรื่องนี้ได้ทำรายได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ว่าถึงจะดีจะได้ยังไง แต่ว่าการที่เราได้โคจรมาเจอกับคนกลุ่มนี้เป็นอะไรที่แฮปปี้มาก”
ในชีวิตจริงและในคาแรกเตอร์ของหนังที่เราได้รับ ถ้าพูดถึงสเปกสาวๆ มันแตกต่างกันมากไหม?
“อย่างที่ผมบอกคือคาแรกเตอร์ในหนัง คือเรารักตรงที่เขาเป็นคนที่รักความเพอร์เฟกต์เหมือนผม ผมเป็นคนเรียบร้อย เขาก็เป็นคนเรียบร้อย เรียนเก่ง ทำไรก็เก่ง ผมก็เรียนเก่งเล่นเบสบอลเก่ง เขาก็เล่นเบสบอลเก่ง และเขาก็ทำงานเก่ง แล้วเราเป็นเพอร์เฟกต์แมนแล้วเราทั้งสองคนก็เจอกัน และเป็นแฟนกัน ส่วนในชีวิตจริง ผมชอบคนเรียบร้อยนะไม่ใช่กิริยานะครับ กิริยาอาจจะห้าวๆ ก็ได้แต่ชอบคนแบบเรียบร้อย รักความสะอาดนิดนึง รักความเรียบร้อยคือคนมีระเบียบไม่ใช่คนที่เรียบร้อยแล้วไม่ทำอะไรเลย (อะไรถึงชอบตรงนี้ทำไมเราถึงชอบผู้หญิงแบบนี้?) ผมว่าผมเป็นคนอย่างนั้นมากกว่า คือผมชอบเล่นกีฬา คือผมหวานก็ได้ คือผมจะดาร์กก็ได้ คือผมเป็นได้เกือบทุกอย่างเหมือนกัน เพราะว่าผมชอบความเรียบร้อยเหมือนกัน อย่างบ้านผมชอบรักความสะอาดเหมือนกัน”
ช่วงนี้มาทำงานในไทยบ่อยๆ มีแพลนหรือว่ามีโปรเจกต์อื่นๆ อีกไหม?
“ตอนนี้มีคุยอยู่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่กำลังคุยอยู่ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าอะไร ภายในปีนี้แหละ น่าจะไม่ใช่การแสดง แต่น่าจะเป็นอย่างอื่นซึ่งเป็นโปรเจ็คค่อนข้างใหญ่ เป็นสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งจะทำที่เมืองไทยนี่แหละครับ”
รู้ยังไงบ้างที่ได้กลับมาทำงานที่บ้านได้อยู่กับตัวแม่มากขึ้น?
“รู้สึกดีที่ได้กลับมา ได้เจอครอบครัว ได้เจอคนไทย เพราะว่าจริงๆผมอยู่เกาหลีนานกว่าอยู่ไทยตอนนั้นผมอยู่ไทยแค่ประมาณ 10 ปี ตอนนี้อยู่เกาหลีมา 12 ปีแล้วนานกว่า ถ้าคิดไปจริงๆ ผมไม่รู้เลยตอนนี้ ผมเป็นคนประเทศอะไร โดยที่ผมเกิดอเมริกา แต่มีสัญชาติไทยด้วย อยู่เมืองไทยได้แค่ 10 ปี แล้วไปอยู่อเมริกา พูดภาษาไทยไม่ชัดด้วยตอนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วก็พูดภาษาเกาหลีได้ ในหัวมีหลายอย่างมาก แต่ว่าพอกลับมาเมืองไทยแล้วรู้สึกว่ากลับมาบ้าน”
เวลาอยู่ที่เมืองไทยสิ่งที่คุณจะทำคืออะไร?
“ทานข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวครับ ทานทุกรอบเลย คิดถึงมาก เพราะที่นั่นมี แต่ไม่อร่อยเท่าเมืองไทย ผมว่าอาจจะเป็นเพราะเครื่องปรุงของเขาอะไรหลายๆ อย่างเป็นวัตถุดิบของเขามากกว่าที่เอามาทำ”
คุณแม่รู้สึกยังไงบ้างที่เรากลับมาบ่อยๆในช่วงนี้?
“ก็อบอุ่นใจเพราะผมก็ยุ่งของผม แม่ก็ตามมาหาที่ทำงาน ถ้าถ่ายหนัง แม่ก็ไม่มารบกวน แม่ก็ไม่มายุ่งอยู่แล้ว พอแสดงคอนเสิร์ต หรือมาพอมีมีตติ้ง แม่ก็มาดู”
เหมือนก็ได้มีเวลารีแลกซ์มากขึ้นด้วย อย่างไปเที่ยวหัวหินมา?
“ใช่ๆ คือทางตอนนั้นกลุ่มผม 2pm มีทีมของผม มีมาร์เกตติ้งของผมโดยเฉพาะทาง 2pm ก็เลยอยากจะพาไปเที่ยวตอบแทน เราเหมือนเป็นเจ้าบ้าน จึงพาออกค่าตั๋ว พาเขาไปเที่ยวพักผ่อน และจริงๆ น้องสาวผมก็ทำงานอยู่ที่หัวหิน เขามาช่วยมาอะไรหลายๆ อย่าง และการมาทำงานที่เมืองไทย มันก็เหมือนกับการมาพักด้วยแหล่ะ แต่รอบนี้มันนานมากที่มาทำงานที่ไทย แต่ว่ามันนานๆ ทีที่จะได้กลับมาทำงานที่เมืองไทย มันก็รู้สึกดีที่ได้เจอแฟนคลับได้ออกรายการทอล์กโชว์ในเมืองไทยคือไม่ได้ออกมานานมาก”
คือมีความแตกต่างยังไงบ้าง?
“คือจริงๆ ผมอยู่เกาหลีก็ไม่ค่อยได้ออกเท่าไรหรอก แต่ที่เมืองไทยไม่ได้มาออกรายการที่มีคนมานั่งปรบมือข้างหน้า คือถ้าเป็นแบบนี้คือต้องย้อนไปสมัยเราเข้าวงการใหม่ๆ และตอนนี้ผมก็ยังมีความรู้สึกว่าผมก็ยังเป็นเด็กคนนั้นอยู่นะ เพียงแต่เด็กคนนั้นในวันนี้เขามีประสบการณ์มากขึ้น”
คุณรู้สึกยังไงเวลากลับมา แฟนคลับก็ยังไปรอรับ เขาก็ยังรักอยู่ ไปรอรับเพราะเขาอยากที่จะเจอเราตลอดเวลา ตรงนี้เป็นยังไง เป็นกำลังใจหรือว่ามันเป็นความรู้สึก?
“รู้สึกเสียดายเงินค่ารถของเขา เป็นห่วง แต่ก็รู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่มา ก็ดีที่มีคนมารอรับคือแฟนคลับผมเป็นคนน่ารักไม่ได้ทำอันตราย หรือวิ่งตามมาคอยดึงกระชาก แต่เขาจะคอยยิ้มให้ จับมือ เหมือนเป็นพี่น้อง เอ็นดู เขาเอ็นดูผม ไม่ใช่แบบกรี๊ดกร๊าดเป็นไอดอล แต่จะเอ็นดูมากกว่า ส่วนใหญ่เขาก็จะอายุมากกว่าผมนิดนึง (ยิ้ม) และการที่เรามาทำงานที่เมืองไทย คือไม่ว่าจะงานอะไรไม่มีคำว่าแป้กหรือไม่มา หรือไม่ซัพพอต ไม่มาเชียร์ มากี่ครั้งก็จะมีมารยาท แล้วก็เชื่อฟัง อะไรห้ามก็ไม่ทำ อะไรไม่ได้ก็ไม่ทำ อย่างผมทำคอนเสิร์ต และเวลาเพื่อนๆ 2pm มาหรือว่าใครมาก็ตาม หรือถ้าศิลปินใหม่ๆ ไปที่ไหนอาจจะยังไม่มีแฟนคลับ เขาอาจจะเงียบ แต่ถ้าเขามาเมืองไทย รับประกันได้ว่าเขาจะได้รับเสียงกรี๊ดที่อบอุ่น นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจว่า นี่คือประเทศไทย ทำให้ผมภูมิใจว่าคนที่ทำให้เป็นประเทศไทยคือแฟนคลับ ก็ขอบคุณเขาไปทุกครั้ง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแรก เพราะเป็นประเทศที่ให้เสียงตอบรับที่ดีที่สุดเท่าที่ผมคิด แล้วก็กรี๊ดให้ ร้องได้ เต้นตาม ศิลปินส่วนใหญ่เขาจะมาประเทศไทยก่อน”
ด้วยความที่เราเป็นพี่ชายเราจะเป็นเหมือนซันนี่ไหม เรามีน้องสาวไง?
“เรื่องการหวงอะเป็นเคยเป็นเหมือนพี่ซันนี่นิดนึง เพราะกลับมาเป็นอีกมุมนึง แล้วกลับมาเป็นคนที่จีบน้องสาว ค่อยรู้เข้าใจ”
เห็นน้องเชอรีนล่าสุดออกมาแสบมาก เหมือนกรรมตามสนองไหม ชอบมากันน้อง เราดุน้องขนาดนั้นไหมในชีวิตจริง?
เมื่อก่อนตอนที่เขายังเด็กกว่านี้ เราก็ดุมาก แบบคุยโทรศัพท์กับผู้ชาย เราก็ถามชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน อายุเท่าไร คุยกับน้องทำไมครับ ตอนนั้นจะหวงค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ก็โตๆ กันแล้ว จะไปจับมือจนเขาจะแก่ก็ไม่ได้ ก็เลยต้องคอยอยู่กับเขาข้างๆ เป็นคนซัปพอร์ตเขาไปดีกว่า (แต่เขาเพิ่งจะฝากถามมาว่าเมื่อไรจะให้เขามีแฟนซะที?) เดี๋ยวจะโดน ไม่เห็นมาถามเลย ระวังเอาไว้ (หัวเราะ)”