xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "อัครัฐ นิมิตชัย" จากตัวประกอบหลังแถว สู่พระเอกแถว 3?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชื่อเสียงอาจจะไม่ใช่ระดับซูเปอร์สตาร์ แต่ถ้าว่ากันเรื่องฝีมือในการแสดงแล้ว ชื่อของหนุ่ม "อัค อัครัฐ นิมิตชัย" ถือว่าไม่เป็นสองรองใคร

โดยเฉพาะกับบทบาท "แจ็ค" จากละครเรื่อง "บ่วงเสน่หา" ที่หลายคนเอ่ยปากชมเจ้าตัวกันอย่างมากมาย

อย่างไรก็ตาม กว่าจะสร้างชื่อตัวเองให้มาถึงวันนี้ได้นั้นก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เอาเสียเลย

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เส้นทางการเป็นคนบันเทิงของเขาดูจะสดใสทีเดียว หลังจากมีโอกาสเข้าประกวดรายการ "สุภาพบุรุษบอยแบนด์" ทางช่อง 3 ก่อนได้งานโฆษณาและไปเตะตาค่าย "เอ็กแซ็กท์" เรียกไปทำการแคสติ้ง ทว่านับจากนั้นกลีบกุหลาบที่สวยสดก็หายไปหลงเหลือไว้แต่หนามให้เจ้าตัวได้ฟันฝ่า

"คือเซ็นสัญญาไป 7 ปี แต่ปีแรกเราไม่ได้ทำอะไรเลย เรียนแอคติ้งอย่างเดียว และอย่างที่บอกว่าเราเคยท้อ จนเคยคิดว่าจะออกไปทำอะไรที่อยากทำ ย้อนกลับไปในส่วนของความเฟล มันไม่ได้เฟลว่าเราไม่ได้เป็นตัวหลักหรือนักแสดงนำนะ แต่ที่เฟลเพราะว่าทำไมตัวเองไม่เข้าใจการแสดงสักที"

"แต่ว่าจังหวะอย่างที่บอกว่าเขาก็ให้ยังคงให้โอกาส ยังเรียกเราไปออดิชั่น ไปแคสคือที่นี่จะเป็นระบบแบบนี้ ก็จะแบบมีตัวที่เขาไว้วางใจจริงๆ เขาก็จะวางว่าเป็นตัวนี้ แต่ที่เหลือก็จะเป็นเอาคนนี้มาแคสดูซิว่าใครเหมาะกว่ากัน ก็จะไปลองแคสดู แต่ว่าที่ท้อๆ คือเราไปแล้วเราไม่ได้ มันก็เลยทำให้แบบมีความรู้สึกนั้นขึ้นมา"

"แต่พอได้มาปลดล็อกจากเรื่องตะวันตัดบรูพา เขาก็เลยเห็นว่าเราเล่นได้ เราเข้าใจมากขึ้น แล้วเขาก็เลยให้เราไม่ต้องไปแคสแบบนั้นแล้ว"

ยากมั้ยช่วงนั้น เราต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าที่จะผ่านมาได้?
"เรารู้สึกดีว่าช่องยังให้โอกาสเรามากกว่า เพราะว่าตั้งแต่เรื่องแรกที่เล่นมา อย่างดอกโศกก็ไม่ได้แบบว่าไม่ได้โอเคนะ คือเหมือนได้เจอพี่สันต์ (ผู้กำกับ) คือเรายังไม่ได้เข้าถึงการแสดงตอนนั้น เพราะว่าในตอนคลาสเรียนมันก็อีกแบบนึง แต่พอมาเจอหน้าเซต มันก็เป็นอีกแบบนึง แต่เหมือนตอนนั้นเราโดนพี่สันต์ด่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ ที่ว่าเราจะนอยด์"

"แต่พอหลังจากนั้นมันก็เป็นอะไรที่ทำให้เราสู้ขึ้นมาเห็นอะไรใหม่ๆ หรือคอยทำการบ้านกับตัวละครที่มันได้จริงๆ ผมว่าน่าจะมาจากเรื่องตะวันตัดบรูพาคือได้พี่โขม (ผู้กำกับ) แล้วหลังจากนั้นเลยเข้าใจว่าการแสดงมันต้องยังไง มันต้องทำความเข้าใจเรื่อยๆ อย่างซิทคอมก็จะต่างกันออกไป แต่เราก็โชคดีที่แบบว่าทางช่องให้ประสบการณ์ทั้งหมด"

"เพราะอย่างตัวละครของบ่วงเสน่ห์หาจะเป็นจังหวะละครเมโลดราม่าหนักๆ พี่บอย (ถกลเกียตริ) ก็จะเรียกไปปรับวิธีการแสดง คือเหมือนเราก็เข้าใจว่ามี 1-2-3-4 ยังไง คือโชคดีที่ทางผู้ใหญ่เขาคอยสอนคอยบอก แล้วเราก็ทำได้ เขาเลยแบบโยนบทแปลกๆ ที่มันไกลๆ ตัว ส่งมาให้เรา"

จากบทสมทบ ล่าสุดในซีรีส์ "ชะนีหนีคาน" ดูเหมือนว่าเราจะเลื่อนชั้นไปเป็นพระเอกเต็มตัวแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?
"ยังไม่ชินกับคำนี้นะ ขอเป็นแบบนักแสดงสมทบข้างบ้านนางเอกแล้วกัน คืออย่างตอนนั่งบวงสรวงมันก็เหมือนว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ชิน คือเราเป็นคนชอบนั่งหลังๆ แต่พอมาบวงละครเรื่องนี้แล้วก็โดนแบบมานั่งข้างหน้า เขาเรียกเรามานั่งตรงนี้ เราเข้าใจด้วยมุมของการถ่ายภาพหรือในมุมถ้า PR มันต้องเป็นอย่างนั้น"

"แต่เราไม่สะดวกใจที่จะนั่งตรงแถวหน้า ก็จะแบบไปชอบนั่งข้างหลัง แถวสามอะไรประมาณนั้น ถามว่าตื่นเต้นแค่ไหนกับการเลื่อนขั้น ซึ่งมันก็ไม่ได้ตื่นเต้นเพราะสุดท้ายแล้วมันก็คือตัวละครตัวนึงที่เราต้องรับผิดชอบแค่นั้น และทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม แค่คนไปจำกัดความว่าเนี่ยคือพระเอก เนี่ยคือนางเอก แต่ว่ามันก็เหมือนเดิม"

"และเอาจริงๆ วันนี้มันก็ไม่ใช่พระเอก ถ้าถามผม ละครเรื่องนี้มันเป็นชะนีหนีคาน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่มีพระเอก เพราะว่ามันเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่พยายามหาตัวเอง ไม่ให้มีดวงกินผัว พยายามแก้ดวง เราแค่เป็นคนที่ไปอยู่ข้างบ้านเขา มันก็จะมีแบบมันก็ไม่เชิงที่เป็นพระเอก"

ฟังดูเหมือนไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพระเอกเท่าไหร่?
"เรื่องตัวนำนี่คือเราไม่ได้เชิงแอนตี้หรอกเพราะเราไม่ได้เริ่มแบบต้องมาเป็นตัวนำก่อนอยู่แล้ว แต่แค่เรารู้สึกว่าพระเอกในช่อง หรือพระเอกในประเทศไทย เขาจะมีความเป็นพระเอกอยู่คือลุคแบบนี้แหละคือพระเอก ซึ่งมันต้องมีจังหวะแบบนี้ ซึ่งเราไม่ชอบเป็นแบบนั้น เราชอบเป็นนักแสดงสมทบที่เล่นแล้วมันเป็นจังหวะมนุษย์จริงๆ"

"แต่พระเอกมันต้องสวมบทคาแรคเตอร์นั้น มันจะไม่ค่อยเหมือนมนุษย์เท่าไหร่ มันจะมีจริตของความเป็นพระเอก เขาเรียกว่าเป็นลีลาของเขา ซึ่งเราไม่ชอบ คือเราจะบอกว่า มันไม่ได้มีผิด ไม่ได้มีถูก บางคนทำแล้วดีก็ดี แต่มันไม่ใช่ที่ทุกคนทำแล้วดี (แล้วถ้าเราทำล่ะ?) ถ้าเราต้องทำแล้วเราว่ามันต้องตลก เพราะว่าข้างในเราไม่เชื่อไง"

บางเรื่องตัวสมทบก็เด่นกว่าบทพระเอกก็มี...
"มันเป็นด้วยการที่เราทำการบ้านกับบท อย่างที่บอกไปละครมันเป็นศิลปะ มันไม่ได้มีแบบว่าตัวนี้ต้องเล่นแบบนี้ถึงจะถูก แต่มันจะขึ้นอยู่กับว่าเล่นแล้วมันมีเสน่ห์หรือเล่นแล้วเข้าใจตัวละครแค่ไหน เพราะว่าละครเรื่องนึง มันเป็นภาพทุกส่วนเป็นสีไม่ว่าจะเป็นทีมไฟ ทีมกล้อง นักแสดง แต่ผู้กำกับคือคนวาด"

"ถ้าแบบพาร์ทนึงมันไม่พร้อมหรือสีที่ได้มามันแปร่ง นั่นคือมันหมดอายุหรือไม่พร้อมใช้งาน ซึ่งสุดท้ายภาพนั้นก็ต้องใช้สีนั้นเป็นสีหลักอย่างเนี้ย คือภาพนั้นมันต้องไปตามสีหลักด้วย ถ้าเปรียบเทียบสีหลักเป็นพระเอกกับนางเอกนะ และถ้าสีหลักมันไม่ดี สีอื่นมันก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะภาพมันก็จะทำอะไรได้ไม่มาก"

ถ้าไม่ใช่พระเอกแถวหน้าแล้วเราวางตชจุดหมายของเราไว้ตรงไหน?
"คือเราไม่ได้มีเป้าหมายว่าเราจะเป็นพระเอกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นที่มันผ่านๆ มามันก็เลยเป็นงานที่เราสนุกในการหาคาแรคเตอร์หรือการหาวิธีในการเล่นของเราไปอยู่แล้ว เราไม่ได้คิดว่าวันนึงเราจะต้องขึ้นเป็นพระเอกคือเราไม่ต้องมานั่งอดทนว่าแบบเมื่อไหร่จะได้เป็นพระเอก"

"หรือเราต้องอดทนก่อนตอนนี้ คือมันไม่ได้มีความคิดนั้นเลย เรารู้ว่าเราเข้ามาตรงนี้เพราะอะไร แล้วสุดท้ายเราจะไปจบที่ไหน คือเรารู้อยู่แล้วว่าเรามีเป้าหมายใหญ่ๆ ของเราอยู่แล้ว"

มีอะไรอยากฝากนักแสดงรุ่นใหม่ๆ บ้าง?
"ฝากเหรอ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย (ยิ้ม) จริงๆ ไม่ต้องไรหรอกครับ แค่ละเอียดกับงาน และเต็มที่กับงานที่ตัวเองต้องทำ เพราะว่าบางคนเขาอยากทำ แต่เขาไม่มีโอกาส แต่ว่าถ้าคุณมีโอกาสแล้วได้มาทำ แล้วไม่เต็มที่หรือทำแค่พอเอาผ่านมันก็จะเป็นการไปดูถูกความฝันของคนอื่นคืออย่างน้อยมันก็เพื่อตัวเอง แล้วถ้ามันทำดี สุดท้ายคนดูก็จะเห็น"

"คืออย่าหยาบกับงานตัวเอง อย่าดูถูกคนดู เพราะคนดูรู้ว่าคุณทำการบ้านรึเปล่า หรือคุณแค่เล่นเอาผ่าน คนดูไม่ใช่คนดูละครสมัยก่อนว่าทุกอย่างต้องโอเวอร์แอคติ้ง สมัยใหม่มันไม่ใช่แล้ว มันอยู่ที่ว่าคุณละเอียดกับงานแค่ไหน แล้วเต็มที่กับงานที่ตัวเองทำแค่ไหน มันเหมือนเป็นการให้อะไรคนดูกลับไปด้วย..."





กำลังโหลดความคิดเห็น