xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “ทหาร” ผู้ร่ำไห้สุดจะกลั้น ในริ้วขบวนพระราชพิธีฯ ลั่น ถึงเป็นเด็กเจนใหม่แต่ผมรัก ในหลวง มาก พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือหัวตลอดไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เปิดใจ “ศรุต เหรียญประเสริฐ” นักเรียนเตรียมทหาร อายุ 19 ปี ผู้ร่ำไห้สุดจะกลั้น ในริ้วขบวนพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เผยพอคิดว่าเป็นวันสุดท้ายที่ร่างของพระองค์ท่านจะอยู่บนโลกนี้ทำให้ใจสลายจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้ตลอดริ้วขบวนฯร่วมชั่วโมง ยกพระองค์เป็นสิ่งสูงสุดของประเทศนี้ ถ้าเลือกได้ขอตายแทน ลั่น ถ้าตนตายแทน คนที่เสียใจก็เป็นแค่ครอบครัวตน แต่พระองค์ท่านสิ้น หมายถึงครอบครัวใหญ่คือคนทั้งประเทศเป็นทุกข์ ตนยินดีให้เอาชีวิตไปแทน พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือหัวตลอดไป



เป็นอีกหนึ่งภาพที่ถูกแชร์ต่อและพูดถึงเยอะมาก สำหรับภาพที่มีนายทหารนายหนึ่งร่ำไห้สุดจะกลั้น ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในริ้วขบวนพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งทุกคนที่ได้ชมถ่ายทอดสดและที่ได้เห็นจากการแชร์ต่อต่างรู้สึกสะเทือนใจ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตาม ถึงเป็นชายชาติทหารที่ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ในขณะเดียวกันทุกคนก็ออกปากชื่นชมที่นายทหารท่านนี้อดทนต่อความเศร้าโศกเสียใจที่บีบหัวใจ และสามารถทำหน้าที่ถวายงานพระองค์ท่านได้อย่างสมพระเกียรติสูงสุด

“ศรุต เหรียญประเสริฐ” หรือ “กัน” เขาคือนายทหารคนนั้นที่ทุกคนพูดถึงและตามหาว่าเขาคือใคร ปัจจุบัน “กัน” อายุ 19 ปี เรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กันมีความฝันอยากเป็นทหารบกตั้งแต่เด็กๆ จากภาพที่คนไทยเห็นผ่านการถ่ายทอดสดว่าประทับใจแล้ว พอได้สัมภาษณ์พูดคุยยิ่งทำให้รู้ว่า รั้วของชาติรุ่นเจนใหม่ วัย 19 ปีคนนี้มี “ความคิด” และ “จิตสำนึก” ที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก เจ้าตัวเผยวินาทีที่ร่ำไห้เพราะใจสลายที่วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ร่างของพระองค์จะอยู่บนโลกนี้ ลั่นถึงตนจะเป็นเด็กยุคใหม่แต่ตนรักในหลวงมาก รับรู้ด้วยความซาบซึ้งว่าพระองค์ท่านเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อคนไทยมากชนิดที่ไม่คิดว่าจะมีใครทำได้ พระองค์เป็นสิ่งสูงสุด เป็นขวัญและกำลังใจของคนทั้งประเทศ ถ้าเลือกได้ขอตายแทน พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือหัวตลอดไป

“ปัจจุบันผมเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ที่นครนายกครับ ตอนนี้นักเรียนเตรียมทหารเรียน 2 ปี แล้วเรียนโรงเรียนเหล่าทัพอีก 5 ปี ซึ่งแต่ละเหล่าทัพ มี นายร้อยตำรวจ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ แต่รุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนโรงเรียนเตรียมทหาร 3 ปี แล้วเรียนโรงเรียนเหล่า 5 ปีครับ ปีนี้ผมจะจบโรงเรียนเตรียมทหาร ปีหน้าก็ไปต่อที่โรงเรียนเหล่าทัพที่นครนายก โรงเรียนอยู่ข้างๆ กันครับ”

“ที่อยากเป็นทหารเพราะว่าทางฝั่งครอบครัวผมไม่มีใครเป็นข้าราชการเลยครับ แล้วป๊าผมอยากให้เป็นข้าราชการเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง ถึงเศรษฐกิจโลกเปลี่ยน แต่ข้าราชการก็ยังเหมือนเดิม แล้วพ่อแม่เราก็ยังได้สิทธิ์ค่ารักษาด้วยครับ ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ครับแต่จริงๆ ท่านก็ไม่ได้บังคับ เราจะเป็นอะไรก็ได้ ผมเป็นคนจังหวัดเพชรบุรี ตอนเด็กๆ ผมคลุกคลีกับตำรวจ-ทหารบ่อยก็รู้สึกชอบตั้งแต่เด็กแล้วครับ ความคิดตอนเด็กๆ ก็คิดว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงและเท่ด้วย” …กันเล่าย้อนแรงบันดาลใจที่อยากเป็นทหารให้ฟัง

พร้อมเผยถึงความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต ที่ได้ทำหน้าที่ตีกลองชนะในริ้วขบวนพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ ๙
“หน้าที่ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ผมอยู่ริ้วขบวนที่ 1-2-4 หน้าที่จะอยู่ในส่วนของเครื่องสูง ก็คืออยู่ในส่วนของการตีกลองชนะครับ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยตีกลองชนะ ที่ได้เข้ามาร่วมในริ้วขบวนเพราะว่าได้รับคัดเลือกเข้ามาครับ ทางผู้การกรมฯมาแจ้งว่า เขาจะคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารจำนวน 350 นาย ไปตีกลองชนะ เอาคนที่มีความสูงไม่เกิน 175 เซนติเมตร รุ่นผมมี 600 คน เขาคัดจากความสูงที่ไล่เลี่ยกัน ส่วนจะตีกลองเป็นหรือไม่เป็นมาฝึกได้ครับ ตอนที่รู้ว่าผมมีชื่อหนึ่งใน 350 คนก็ดีใจครับ ที่ได้รับใช้พระองค์ท่าน ถึงแม้จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี”

ซ้อมหนักกว่า 4 เดือน เหนื่อยสาหัสแต่เมื่อคิดได้ว่าทำเพื่อ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ก็ลืมความเหนื่อยหมดสิ้น
“เราเริ่มซ้อมช่วงปลายๆ เดือนกรกฎาคมแล้วครับ ครั้งแรกคือซ้อมตีกลองครับ มีคนจากสำนักพระราชวังมาสอนการตีกลองให้ เพราะต้องตีประกอบจังหวะกับเปิง เราต้องฟังเสียงเท้าด้วย เท้าต้องพร้อมกัน ถามว่ายากมั้ย ถ้าตีอย่างเดียวไม่อยากครับเพราะเปิงฟังไม่ยาก แต่ยากตรงไม่ได้ยินเสียงเปิงเพราะแถวยาวมากๆ ต้องตั้งใจฟังมากๆ ต้องใช้สมาธิในการตีเยอะครับ เราซ้อมประมาณ 4 เดือน ช่วง 2 เดือนแรกซ้อมอาทิตย์ละ 2-3 วัน ซ้อมช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แต่เริ่มปลายเดือนกันยายนเป็นต้นมาซ้อมหนักเลยครับ อย่างเดือนตุลาคมซ้อมอาทิตย์ละ 5 วัน งดเรียนไปเลยประมาณ 2-3 อาทิตย์ครับ และซ้อมทั้งวัน ตั้งแต่ 08.30-12.00น. แล้วช่วงบ่ายก็ซ้อมตั้งแต่ 13.30-16.00น. ซ้อมที่โรงเรียนเตรียมทหาร ก็จะมีการจำลองให้เราเดินไปทิศนี้ๆ”

“ยอมรับว่าหน่วยผมฝึกหนักมากเพราะเขาอยากให้งานออกมาดีที่สุด ซ้อมเคี่ยวมากๆ ซ้อมเหนื่อยไม่ค่อยได้พักก็มีบ่นกันบ้าง มีบ้างแว้บนึงที่เคยคิดจะถอนตัวเพราะเหนื่อยจริงๆ ครับ แต่พอคิดว่าเราทำเพื่อใครอยู่ทุกอย่างก็หายไปหมดเลยครับ มันไหวขึ้นมาเลยครับ พอคิดว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราได้ถวายงานพระองค์ท่าน แล้วเหนื่อยน้อยนิดมากถ้าเทียบกับที่พระองค์ท่านทำมา 70 ปี มันก็เลยทำให้เราฮึดสู้ขึ้นมาเลยครับ เราได้เป็นหนึ่งในสองพันกว่าคนในริ้วขบวนฯ ที่สำคัญไปกว่านั้นเหมือนเราแบกความหวังของคนไทยทั้งประเทศที่อยากทำถวายพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย หลายคนมากที่อยากมาอยู่ในริ้วขบวนฯ แต่เขาไม่มีโอกาส แต่ในเมื่อเรามีโอกาสแล้วเราปล่อยทิ้งไปไม่ได้ครับ เป็นความภูมิใจ เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลด้วยครับ”

“หลังจากนั้นก็มาซ้อมที่สถานที่จริง 3 ครั้ง ครั้งแรกตั้งริ้วขบวนตอน 06.30-11.00น. พอกลับไปโรงเรียนพวกเราก็ซ้อมหนักขึ้นเพราะมันยังไม่ดีครับ ผู้บังคับกองพันที่ฝึกให้บอกว่าเรายังทำได้ไม่ดี ท่านให้พวกผมแก้ที่ตัวเองก่อน อย่างพวกผมบอกว่าเป็นเรื่องปัจจัยภายนอก เสียงเปิงเบาไปให้เปิงเสียงดังกว่านี้ได้มั้ย ผู้พันก็บอกว่าให้แก้ที่ตัวเองก่อน ให้ทวนเสียง ถ้าเปิงตีแล้วเราค่อยตีตาม เหมือนเขาฝึกให้เราอย่าไปโทษใครให้โทษตัวเองไว้ก่อน”

แล้ววันที่คนไทยหัวใจแตกสลายอีกครั้งก็มาถึง เมื่อถึงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม โดยในวันนั้น “กัน” ตั้งใจสูงสุดที่จะถวายงานให้ดีที่สุด แม้ว่าเข่าข้างซ้ายของเจ้าตัวจะเป็นแผลและบวมก็จะกัดฟันเดินให้ได้ ไม่ยอมถอนตัว
“วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม พวกผมตื่นตอนตีสี่ เพื่อเตรียมตัวสำหรับพระราชพิธีฯ ใส่ชุด กินข้าว กินน้ำ ให้พร้อม ซึ่งปกติระเบียบประจำวันที่โรงเรียนพวกผมต้องตื่นตีห้าครึ่ง มาออกกำลังกาย แต่ก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนเตรียมทหารให้พวกผมตื่นตีสี่มาประมาณ 1 เดือนแล้วเพื่อให้ร่างกายชินครับ จะได้ฝึกการตื่น การขับถ่ายและให้กินข้าวเช้าตอนตีห้าครับ เพราะต้องฝึกให้ร่างกายชินเพื่อถวายงานในพระราชพิธีฯครับ เพราะจิตใจพร้อมอย่างเดียวไม่ได้ครับ ร่างกายต้องพร้อมตามด้วยครับ”

“เวลา 06.00น. ขบวนผมก็เดินออกมารอที่ราชนาวีสโมสร วันนั้นแดดร้อนมากครับ ผมก็บอกตัวเองว่าจะเป็นลมไม่ได้นะ พิธีจริงแล้ว ครั้งนึงในชีวิต จริงๆ วันนั้นผมเจ็บขาด้วยครับเพราะคืนวันที่ 25 ตุลาคม ผมล้มตรงบันไดแล้วเข่าข้างซ้ายเป็นแผล เลือดไหลเยอะเหมือนกันครับ ผมก็ตกใจว่าแย่แล้ว ถ้านายทหารเห็นโดนถอดเป็นตัวสำรองแน่ๆ ผมก็เลยซับเลือดแล้วก็แอบทั้งคืนเลย ไม่กล้าไปหารถพยาบาลด้วยเพราะกลัวนายทหารเห็นครับ เพื่อนก็บอกว่าพรุ่งนี้เข่าบวมเดินไม่ได้แน่ๆ แต่ผมก็บอก ถ้าบวมก็จะเดินทั้งที่บวมเนี่ยแหละ คือ 350 คนที่คัดมา ได้เดินจริงๆ ประมาณ 300 คน ที่เหลือเป็นสำรอง เวลาใครร่างกายเป็นอะไรขึ้นมาก็จะเสียบแทนกันได้ครับ ผมไม่อยากโดนถอด ก็ตั้งใจว่าถึงเข่าบวมก็จะเดินให้ได้ครับ ก่อนนอนผมไม่ได้ขอพรพระองค์ท่าน แต่ระลึกในใจมากกว่าผมอยากปฏิบัติงานถวายพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย แต่ตอนนี้เข่าเจ็บผมจะอดทน ขอให้ผมได้เดินก็พอ พอตื่นเช้ามาปรากฏว่าเข่าไม่บวมเลยครับ แค่เจ็บนิดๆ เวลาไปโดน ผมดีใจมากครับ”

เปิดใจถึงวินาทีที่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จนปล่อยโฮออกมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในริ้วขบวนฯ เพราะใจสลายที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ร่างของพระองค์จะอยู่บนโลกนี้แล้ว
“ผมร้องไห้ตอนริ้วขบวนที่ 2 ครับ ริ้วแรกผ่านไปได้ด้วยดีครับ แต่พอมาถึงริ้ว 2 ผมเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง และคิดถึงว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ร่างของพระองค์ท่านจะอยู่บนโลกนี้แล้ว คิดถึงท่าน เราจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว เพราะผมเคยฝันไว้ว่าถ้าเรียนจบอยากรับกระบี่กับพระองค์ท่าน อยากถวายงานท่าน อยากเป็นทหารของพระราชา ในหลวง รัชกาลที่ ๙ แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว(เสียงสั่น) ตอนนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาครับ”

“แล้วทุกครั้งที่เห็นรูปพระองค์ท่านน้ำตาจะไหลไม่หยุดเลยครับ ยิ่งรูปที่มีเหงื่อไหลตรงปลายจมูกของพระองค์ท่าน รูปนั้นทำให้ผมร้องหนักเลย รู้เลยว่าตลอด 70 ปีท่านเหนื่อยมามาก แล้วตอนนั้นจังหวะเพลงก็เศร้าๆ และยิ่งเห็นประชาชนที่นั่งรอริ้วขบวนฯร้องไห้ ผมพยายามจะกลั้นแล้วแต่ไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมร้องก่อนถึงจุดกระทรวงกลาโหม ก็ร้องจนเลี้ยวเข้าเขตราชวัตร ร้องตลอดทาง ชั่วโมงกว่าๆ แต่ผมกลัวขบวนฯจะเสียด้วย กลัวเราเดินเท้าไม่พร้อม เพื่อไม่ให้แถวเสียเราต้องเดินให้ดี ตอนนั้นก็บอกตัวเองว่าเสียใจก็เสียใจแต่หน้าที่ก็ต้องปฏิบัติให้ดี ต้องเดินให้ดีเพื่อให้สมพระเกียรติพระองค์ท่าน ก็ทำใจว่าพระองค์จากไปแล้วจริงๆ เราเปลี่ยนความจริงไม่ได้แล้ว”

น้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาของความจงรักภักดีและเทิดทูน ในหลวง รัชกาลที่ ๙ แต่กลับมีบางคนค่อนขอดว่าเป็นแค่เหงื่อที่ไหลเข้าตา ซึ่งกับเรื่องนี้กันบอกว่าไม่โกรธ คนเราเห็นต่างได้ เข้าใจว่าคนที่ค่อนแคะคงคิดว่าตนเป็นเด็กรุ่นใหม่จึงไม่เชื่อว่าตนรัก ในหลวง จริง
“ตอนแรกผมไม่ทราบครับว่ามีคนแชร์ภาพผมออกไป เพราะวันที่ 27 ตุลาคม ผมต้องเดินในริ้ว 4 ด้วย ก็ไม่ได้ดูอะไรเลย พอหน้าที่เสร็จเรียบร้อยผมก็เดินทางกลับบ้าน แล้วเพื่อนก็เอามาให้ดู ผมก็ตกใจเหมือน เพราะคนแชร์ต่อเยอะเหมือนกันครับ ผมก็ได้เข้าไปอ่านคอนเมนต์ที่เขาโพสต์ๆ ตลอดครับ ก็มีบางคนมาคอมเมนต์บอกว่าเหงื่อเข้าตาหรือเปล่า บางคนก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่ผมร้องไห้ในริ้วขบวนเพราะว่าเหมือนผมเป็นเด็กยุคใหม่ เป็นเด็กเจนใหม่ เพราะเขามองว่าผมเกิดมาไม่ทันยุคที่พระองค์ท่านทรงงาน เขาก็เลยคิดว่าผมไม่น่าจะซาบซึ้งขนาดนั้น แต่ก็มีคนไปตอบโต้แทนครับว่าร้องจริงๆ แต่ผมไม่ได้ไปตอบอะไร ไม่ได้โกรธเขาด้วยครับ เข้าใจต่างคนต่างเห็นต่างก็ไม่เป็นไร การที่เขาบอกว่าก็แค่เหงื่อเข้าตาเราเฉยๆ มันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตผม เพราะผมรู้ว่าผมรัก และผมก็จงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ผมรู้อยู่แก่ใจ แค่นี้ก็พอแล้ว ผมก็เลยปล่อยผ่าน ไม่ได้สนใจไม่ได้ให้ค่ากับคนที่คิดแบบนั้นครับ”

“ผมเป็นเด็กเจนใหม่ก็จริง แต่ผมอยากบอกว่าป๊าปลูกฝังผมให้รักในหลวงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ป๊าผมทำร้านกรอบรูป เวลามีรูปในหลวง ป๊าก็จะเก็บใส่กรอบอย่างดี ตอนเด็กๆ ผมก็จะถามตลอดทำไมป๊าเก็บรูปในหลวงดีขนาดนี้ ป๊าก็จะบอกว่าจริงๆ ท่านไม่ใช่คน แต่ท่านเป็นเทวดามาเกิด ท่านทำอะไรให้เราตั้งหลายอย่าง ตอนเด็กๆ เรายังไม่เข้าใจอะไรมาก ความคิดเด็กๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อว่าคนอะไรจะวิเศษขนาดนั้น พอโตขึ้นผมก็เริ่มเห็นเองจากพระราชกรณียกิจที่พระองค์ท่านทำให้คนไทยกินดีอยู่ดี แนวคิดของพระองค์ท่านเพื่อทุกคนจริงๆ อย่างเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และหลายๆ โครงการ แล้วพระองค์ท่านก็ทรงทุ่มพระวรกาย มีอันนึงที่ผมชอบมาก ที่มีอยู่ที่นึงที่ใครก็บอกปลูกอะไรก็ไม่ได้ๆ แล้วผ่านไปไม่นานที่ตรงนั้นก็สามารถปลูกอะไรได้ด้วยการแก้ปัญหาของพระองค์ท่าน ผมชอบที่พระองค์ท่านแก้ปัญหาทุกอย่างที่ต้นเหตุ”

“กัน” ปล่อยผ่านคนที่มองแง่ลบ พร้อมขอบคุณทุกคำชื่นชมและกำลังใจ แต่เจ้าตัวบอกว่าอยากให้ชื่นชมทุกคนในริ้วขบวนและทุกฝ่ายที่ทำให้พระราชพิธีฯที่สำคัญที่สุดนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีมากกว่า คนไทยทุกคนรัก ในหลวง มากเหมือนกันหมด
“ส่วนคนที่ชื่นชมผมก็ดีใจครับ ก็ตื้นตันที่ทุกคนให้กำลังใจ ก็มีคนมาทักในเฟซบุ๊ก ขอบคุณเราที่ทำหน้าที่ถวายงานในหลวงอย่างเต็มที่ แต่ผมไม่อยากให้ขอบคุณผมคนเดียวครับ เพราะทุกคนในริ้วขบวนก็เหนื่อยเหมือนกันหมด ผมอยากให้ขอบคุณทุกคนในริ้วขบวนมากกว่า อยากให้ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในพระราชพิธีฯครับ ไม่อยากให้เจาะจงผมคนเดียว จริงๆ มันวัดไม่ได้ว่าใครรักพระองค์ท่านมากกว่าน้อยกว่า ทุกคนรักพระองค์ท่านมากเหมือนกันครับ”

“วันนั้นผมปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ แต่ที่ร้องไห้เพราะมันกลั้นไม่ไหวจริงๆ ไม่ได้คิดว่าจะโด่งจะดังหรืออะไรเลยจริงๆ ครับ (อีกภาพที่คนแชร์เยอะคือทหารช่วยกับดึงเข็มขัดเพื่อทหารด้วยกันที่จะเป็นลมเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้?) ภาพนั้นเป็นรุ่นพี่นักเรียนนายเรืออากาศ ภาพนี้สะท้อนได้หลายอย่างมากครับ อย่างแรกคือถึงเราจะเหน็ดเหนื่อยแต่ภารกิจต้องดำเนินต่อครับ และสะท้อนให้เห็นว่ารักเพื่อนมากด้วยครับ คือเราต้องไปด้วยกันให้หมดทุกคน จะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวไม่ได้ ถ้าพี่คนนั้นล้มไปคนนึงจะทำให้ริ้วขบวนไม่สวยงาม ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ ทุกคนไม่ยอมถอนตัวแน่นอน”

“ผมก็เชื่อว่าคนที่กตัญญูต่อในหลวงได้ดีทุกคนครับ ส่วนคนที่คิดไม่ดีกับพระองค์ท่านเห็นผลทันตาจริงๆ ครับ ผมไม่เคยสนใจคนพวกนั้นเลยครับ เวลาเราไปว่าไปอะไรมันเหมือนเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ยิ่งไปอะไรกับมัน มันก็ยิ่งเหิมเกริม บารมีของพระองค์ท่านเยอะมาก ไม่ควรเอาไปแปดเปื้อนครับ พระองค์ท่านทำเพื่อคนไทยเยอะขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องเมก เพราะผลงานก็เห็นอยู่เต็มตา 4 พันกว่าโครงการ ถ้าเมกคนจะรักขนาดนี้ได้ยังไง เป็นรูปที่มีทุกบ้านเลยนะ แค่นี้ก็อธิบายได้ชัดเจนที่สุดแล้ว”

ยก ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นต้นแบบให้กับคนไทยได้ทุกๆ ด้าน ยอมสละความสุขส่วนตนเพื่อพสกนิกรทั้งประเทศ
“ที่ผมซาบซึ้งใจที่สุดคือพระองค์เป็นต้นแบบในทุกๆ ด้านให้คนไทยทั้งประเทศได้จริงๆ ครับ ผมเคยคิดเล่นๆ ไม่ได้หมิ่นท่านนะครับ ว่าท่านเคยมีข้อเสียอะไรมั้ยเพราะหาไม่เจอจริงๆ ท่านเป็นต้นแบบในทุกเรื่องจริงๆ ท่านเก่งภาษา กีฬา ดนตรี ท่านรักเดียวใจเดียว ท่านปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดี ท่านปฏิบัติตนให้เห็นว่าพอเพียงต้องทำยังไง ขนาดท่านเป็นพระราชา ท่านยังทรงพอเพียง แล้วทำไมเราจะพอเพียงไม่ได้ แล้วอีกเรื่องที่ผมประทับใจมาก คือเมื่อก่อนท่านเคยสูบบุหรี่แต่ทรงเลิกสูบ เพราะอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน ซึ่งผมประทับใจมากที่ท่านสละความสุขส่วนตัวทุกอย่างเพื่อพวกเราได้หมดเลย”

เป็นเกียรติสูงสุดที่ได้เป็นทหารของพระราชา ยอมตายแทนได้ พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือหัวตลอดไป
“ทหารของพระราชา คำก็บอกตรงความหมายเลยครับ คือ เพื่อชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ และประชาชน ความหมายอยู่ในตัวเลยครับ ทหารของพระราชา คือ ทหารที่จงรักภักดีต่อพระราชาและพระบรมวงศานุวงศ์ มันเป็นความภาคภูมิใจที่ครั้งนึงเราเคยได้เป็นทหารของ รัชกาลที่ ๙ ถ้าชาติหน้ามีจริงผมก็ขอเกิดเป็นทหารของ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ อีกครับ”

“ผมก็เป็นคนนึงที่ยอมตายแทนพระองค์ท่านได้ เพราะพระองค์ท่านเป็นสิ่งสูงสุด เป็นขวัญและกำลังใจของคนทั้งประเทศ ผมไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบพระองค์ท่านนะครับ แต่มันคือความจงรักภักดีที่ผมมีต่อพระองค์จริงๆ คือถ้าผมตายแทนพระองค์ท่าน คนที่เสียใจก็เป็นแค่ครอบครัวแค่คนรอบข้างผมที่เป็นทุกข์ แต่พระองค์ท่านสิ้น มันหมายถึงขวัญและกำลังใจของคนทั้งประเทศครับ คือครอบครัวใหญ่ของประเทศนี้ครับ ประเทศก้าวไปยากมาก 1 ปีที่ผ่านมาประเทศหยุดชะงัก เพราะพระองค์คือศูนย์รวมจิตใจจริงๆ และท่านก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยยังรักกันอยู่ด้วยครับ การยอมตายแทนของผมคือความจงรักภักดีส่วนตัว และถ้าจะเป็นการทำเพื่อส่วนรวมได้ด้วย ผมก็ยอมครับ พระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือหัวตลอดไปครับ”





กำลังโหลดความคิดเห็น