เปิดใจ “ต๊ะ นิรัตติศัย” จากคนที่ลองของ สู่ความศรัทธาเลื่อมใส ขนลุกซู่ “หมอดูอีที” เมตตาจนนาทีสุดท้าย เสียใจไม่มีโอกาสไปหาก่อนสิ้นใจ ฝากทีมงานกระซิบข้างโลง รับหมอดูดังยกหลานซึ่งโด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์พม่าให้เป็นลูกบุญธรรม ยันชีวิตสมถะ เป็นหมอดูที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้รถมือสอง เชื่อยังมีเรื่องติดค้างในใจที่อยากบอก
เป็นคนไทยที่สนิทสนมกับ “หมอดูอีที” หมอดูชื่อดังชาวพม่าที่โด่งดังระดับโลก และเป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี สำหรับผู้จัด “ต๊ะ นิรัตติศัย กัลย์จาฤก” ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดใจว่าเสียใจที่ยังไม่มีโอกาสไปหา หลังอีกฝ่ายสิ้นใจ เพราะยังมีงานต่อเนื่อง ยกเป็นอาจารย์ เข้านอกออกในบ้านถึง 14 ปี จนยกหลานให้เป็นลูกบุญธรรม
“ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วก็เสียใจ เพราะท่านก็เป็นอาจารย์คนหนึ่งของผม ผมรู้จักกับท่าน เป็นลูกศิษย์ท่านมา 14 ปี ปกติก็ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าผมรู้จัก แต่ก็เข้านอกออกใน อย่างหลานท่านปีที่แล้วท่านก็ยกมาให้เป็นลูกบุญธรรมผม เกิดวันเดียวกันแต่คนละปี ก็ดูแล คือหลานเขาตอน 8 ขวบ เคยดูดวงกับท่านว่าจะได้เป็นศิลปิน ก็ให้ผมดูแลบอกสอนจนไปเรียนเมืองนอกกลับมา ก็มาดูงานกับผมหลายครั้งเหมือนกัน เสร็จแล้วก็เลยกลับไปทำละครที่พม่า ตอนนี้ก็ใช้คำว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ในพม่าเลย”
“คือจริงๆ เริ่มจากที่ท่านบอกผมเมื่อ 3 ปีที่แล้วแล้ว ว่าท่านมีวาระกรรม อยู่ได้อีก 3 ปี ให้มาบ่อยๆ นะ แต่เราก็บอกว่าท่านมีบุญจะไปก่อนได้ยังไง เราก็ไม่อยากเชื่ออยู่แล้ว เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราก็ไปทุกปี ปีละ 2 - 3 ครั้ง เมื่อเดือนที่แล้วท่านก็ให้คิวที่ต้องไปหาท่าน แต่ปรากฏว่าผมไม่ว่าง แล้ววันที่ 7 - 9 ที่ผ่านมาท่านก็ให้คิวเราไปหา แล้วท่านเสียวันที่ 10 ก็มีความรู้สึกว่าที่ผมได้คิวครั้งนี้ เป็นเพราะท่านอาจจะบอกอะไรก็ได้ เพราะว่าได้คิวต่อกันสองเดือนติดๆ เลย แต่เราไม่มีเวลา ก็เสียใจนะที่ไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะงานมันเลื่อนไม่ได้ แต่ก็ส่งทีมงานไปแสดงความเสียใจ แล้วก็ฝากทีมงานไปพูดที่โลงว่าเสียใจ ก็คงทำได้เท่านั้น เพราะท่านเป็นคนที่ทำบุญเยอะ ทำบุญมาก”
ถึงจะเป็นหมอดูที่โด่งดังแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ห้องนอนเล็ก ใช้รถมือสอง เวลาที่เหลือก็เอาไปทำบุญ กลางคืนก็สวดมนต์
“ตอนผมดูดวงกับท่าน ผมดูแค่ร้อยเหรียญเอง คือท่านก็เมตตาดูให้ แต่เราก็ต้องทำใจ ร้อยเหรียญเวลาท่านดู จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนของพี่สาวน้องสาวแล้วก็ตัวท่าน แล้วส่วนมากท่านจะเอาไปทำบุญ บางทีของเราเราถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับบางคนก็ดูพันเหรียญ หมื่นเหรียญ บางจังหวะเวลาที่มันแพง หรือว่าเป็นตัวเลขที่สูงๆ ผมว่าเป็นเพราะว่าคนศรัทธาท่าน แล้วให้ไปเพื่อนำไปทำบุญ ผมว่าแบบนั้นมากกว่า เพราะมีคนทำเป็นร้อยล้านนะ จากหลายๆ คนรวมกันในเดือนเดียว เพราะอาจจะประสบผลสำเร็จในเรื่องธุรกิจ เรื่องงาน เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเอาเงินไปสร้างโรงพยาบาล สร้างวัด สร้างโรงเรียน ซึ่งเราเห็นอยู่ตลอด แล้วตัวท่านเอง ท่านก็อยู่ห้องเล็กๆ ปกติ ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเลย ใช้รถมือสองธรรมดา ส่วนใหญ่เมื่อดูดวงให้คนอื่นก็จะดูแค่ครึ่งวัน วันละ 6 -7 คน นอกนั่นถ้าเวลาเหลือก็จะไปทำบุญๆ ทั้งช่วงกลางวันและเย็น ส่วนกลางคืนก็จะสวดมนต์"
“ท่านใช้ชีวิตสมถะ เช้ามาสวดมนต์ก่อนเลย 7 โมงครึ่งเริ่มดูดวง 11โมงเลิก ไปทานข้าว หลังเที่ยงก็ไปสวดมนต์ตามวัดต่างๆ ไปบริจาคที่โน่นที่นี่ เย็นสวดมนต์ กลางคืนสวดมนต์ ช่วงที่ว่างจริงๆ จะเหมือนเด็ก ทำอาหารทานเอง เล่นตุ๊กตา ชอบน้ำหอม ชอบตุ๊กตาแบบเด็กเล่นอยู่ในห้อง”
“เรามีแต่ไปให้ท่านช่วยนะ เราไปเพราะเราเดือดร้อนไปให้ท่านช่วยมองเรื่องธุรกิจ แต่แนวทางของท่านที่เราเห็นคือ หนึ่งทำบุญเพื่อเด็ก เพื่อครอบครัวที่ด้อยโอกาส ที่เราเห็นชัดเจน กับพระที่ผ่าตัดสายตา อาจจะเป็นเพราะท่านมีตาที่สามที่ท่านได้ความเป็นมหัศจรรย์ ที่ท่านมองเห็นโน่นนี่ได้ เลยพยายามทำกับเด็กด้อยโอกาสกับพระที่เจ็บป่วยไข้”
บอกตอนที่ไปดูครั้งแรกเชื่อแค่ 50-50 แถมยังลองของอีก สุดท้ายต้องก้มกราบหมอดูอีที
“คือตอนนั้นเรามีสิ่งที่แย่ๆ ในใจ เราก็ไปพักผ่อนที่พม่า เราก็ไปเจอพี่สาวคนหนึ่งที่เรานับถือ ท่านก็แนะนำว่ามาเที่ยวที่นี่ลองมาดูหมอดูมั้ย แต่ตอนนั้นเราเป็นคนที่ 50-50 ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แล้วก็บังเอิญท่านบอกว่าเนี่ยพูดไม่ได้ด้วยนะ หูไม่ค่อยได้ยินด้วย เราก็เอ๊ะจะสื่อสารกันยังไง เราเลยแบบลองดู มันไม่มีอะไรที่จะทำให้เราดีขึ้นกว่านี้แล้ว พอไปถึงท่านก็ให้เราเอามือไปจับกระเป๋าตังค์ พอไปจับท่านก็เขียนเลขในกระเป๋าตังค์เป็นแถวเลย พอดูปรากฏว่าเลขตรงกับที่ท่านเขียน เราก็แปลกใจอันแรกแล้ว แต่ด้วยความที่เราเป็นผู้กำกับหนัง เราคิดว่ามันต้องมีกล้องวงจรปิด หรือไม่ว่ามันต้องสแกนได้”
“พอต่อมาทำไมเขียนชื่อ วันเดือนปีเกิดเราถูก พ่อแม่ลูกเรา รู้หมด ก็เริ่มเซอร์ไพรส์แล้ว คราวนี้ท่านก็บอกมา 10 อย่างที่มันจะเกิดขึ้น แล้วเราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะแต่ละสิ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เช่นมีหนังฮอลลีวูดมาติดต่อจะให้เราไปเล่น ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่นักแสดง เห็นหน้าเราบอกให้เราไปแคส เราก็บอกกับเพื่อนว่าจะทำทุกอย่างที่จะไม่เล่น จะลองกับหมอ เพราะมันไม่ใช่ทางของเรา วันแรกไปถึงที่แคส ผมก็บอกผมไม่ทำ ผมมาแค่นี้แล้วก็กลับเลย พออีก 2 วันเขาก็โทร.กลับมา ผมก็บอกเพื่อนอีกว่าเดี๋ยววันนี้ไปอีกนะ จะไปดูว่ามันเป็นยังไง พอไปถึงผมก็บอกว่าไม่รับเล่นอีก ปรากฏว่าเขาบอกว่าพี่ไม่ถ่ายรูปแต่ขอเป็นวีดีโอได้มั้ย ผู้กำกับกับโปรดิวเซอร์อยากดู ผมก็ไม่ถ่าย ถ้าคุณคิดว่าผมทำได้จริงคุณก็ต้องเอาผมสิ แล้วเราก็กลับ ก็คิดว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีใครเขาทำแบบนี้หรอก แล้วเป็นหนังฮอลลีวูดด้วย”
“กลับมาได้ 3 วัน โทร.มาตอนเที่ยงว่าให้ไปวันนี้เดี๋ยวนี้เลย ขอเถอะโปรดิวเซอร์บินมาเลย ขอมาเจอตัว ผมก็ไป ตอนแรกก็ไม่คิดจะรับเล่นนะ คิดจะกวนไปเรื่อยๆ แบบนี้ พอไปถึงโปรดิวเซอร์ก็เรียกไปคุยส่วนตัว เขาถามว่าคุณเคยเล่นหนังมั้ย ผมก็บอกไม่เคย ทั้งๆ ที่เราเคยเล่นละคร แต่เราไม่ชอบ เราชอบกำกับ เขาก็ถามว่าทำอาชีพอะไร เราก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเป็นคนธรรมดา ไม่ได้บอกว่าอยู่ในวงการเลย โปรดิวเซอร์เขามองหน้าผมแล้วก็บอกว่าเนี่ย ต้องเป็นมาเฟียนะ เป็นคนเลว คุณจะทำได้เหรอ ผมก็บอกว่าต้องลอง ได้หรือไม่ได้ผมก็ไม่รู้หรอก เขาก็หยิบบทมาให้แล้วบอกว่าผมเอาคุณเล่น ตัดสินใจตรงนั้นเลย ขอคิวก็ตรงนั้นเลย”
“เราคิดว่าเราได้งานแน่นอน เพราะหมออีทีบอก แต่ก็ไม่น่าจะเรื่องนี้ มันมีเรื่องอื่นที่เราได้มาแล้ว ในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ หลังจากนั้นถ่ายหนังเสร็จ ตั้งใจจะไปบินไปขอบคุณที่บอกว่าเราได้ สองอยากจะลองของจริงๆ ว่าเขาดูแม่นจริงหรือเปล่า เราก็เอาผู้ช่วยเราไปคนหนึ่ง ก็เอาตังค์ 5 ประเทศ สับเป็นไพ่เลย แล้วผมก็บอกลูกน้องว่าจะดูว่าวันนี้เครื่องสแกนมันจะทำงานมั้ย เพราะมันเป็น 5 ประเทศ ไม่ได้เป็นแบบเดิมแล้ว ที่เป็นไทยกับยูเอส คราวนี้เอาสิงคโปร์ เอาเวียดนาม ไทย ยูเอส พม่า เสร็จปุ๊บท่านก็เขียนใบแรกให้ผมดู พอเปิดกระเป๋าดูก็ไม่มี ผมก็อ่าแสดงว่าว่าเริ่มมั่วแล้ว”
“พอเขียนบรรทัดที่ 2 ก็ไม่มีอีก ผมก็ขำแล้วแสดงว่ามั่วแน่นอน ท่านก็เขียนอันที่ 3 ผมหาก็ไม่มี ท่านก็มองหน้าผมแล้วก็ยิ้ม เหมือนท่านแบบยิ้มเยาะว่าคุณจะมาลองของ คือรู้ใจเราเลย เสร็จปุ๊บท่านก็เขียนแถวแรกใหม่ สมมุติว่าหนึ่งยูเอส สองสิงคโปร์ สามเวียดนาม แล้วท่านก็บอกว่าเงินทั้งหมดเอามาแยกเป็นกองสิ พอแยกแล้วหาใหม่ พอหาใหม่ตรงเป๊ะทั้งสามอันเลย ผมก็ลงกราบท่านเลยว่าขอโทษที่ผมอยากลองของ”
ยกประวัติให้เป็นลิขสิทธิ์ของตนแค่คนเดียว ทั้งที่ฝรั่ง-ญี่ปุ่น มาขอกันทั่วโลก
“พอระยะหลังที่รู้จักท่านไปเรื่อยๆ ท่านก็เมตตา เมื่อ 5 ปีที่แล้วท่านให้คนมาตามให้ผมไปหา แล้วบอกว่าฉันให้ประวัติของฉัน ให้ลิขสิทธิ์เธอคนเดียว ผมบอกว่าทำไมล่ะ ฝรั่งก็มา ญี่ปุ่นก็มา มากันทั่วโลกต้องการประวัติท่าน ท่านบอกว่าอยากให้คนที่ซื่อสัตย์ รู้ว่าการทำบุญทำทานคืออะไร แล้วท่านสัมผัสเราแล้ว เชื่อว่าจิตใจเราสามารถทำออกมาแล้ว ให้ทุกคนเห็นความจริงของท่านได้ ท่านก็เลยเมตตา”
“ผมส่งคนเขียนไปอยู่บ้านท่านเลย อยู่หลายอาทิตย์ แล้วก็สัมภาษณ์คนรอบตัวท่าน พอได้ดูก็นั่งร้องไห้กันหมดทั้งครอบครัว ตอนที่ไปฉายให้ชมที่สถานทูตไทย เพราะเริ่มจากท่านเป็นเด็กธรรมดา จนมาป่วย โดนฟ้าผ่า ตอนแปดขวบไปไหว้พระที่พระธาตุอินแขวน ก็คือโดนฟ้าผ่าเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกเป็นแค่เด็กธรรมดาที่รู้อนาคต มองใครก็ทักคนนั้นคนนี้จนคนในหมู่บ้านโกรธบ้าง เพราะบางทีไปทักเขามีน้อย คนนั้นโกง คนนี้เป็นโจร ซึ่งคนก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่หลังจากนั้นมามันเป็นเรื่องจริง แล้วประสบกับที่ท่านไปเล่นกลางแจ้งแล้วโดนฟ้าฝ่า หลังจากนั้นท่านก็เป็นคนพิการ ก็คือหูหนวกไม่ได้ยิน พูดไม่ได้ แล้วตัวก็จะเอี้ยวๆ เหมือนกระดูกผิดปกติ ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็น”
“หลังจากนั้นก็เลยได้ญาณมา ผมเคยถามท่านว่าท่านรู้ได้ยังไงว่าครอบครัวเป็นใคร ทำอะไร คิดอะไร แม้แต่เราอยากรู้อะไร เราจดไว้ในกระดาษ ท่านไม่ต้องเห็นเลย ภาษาอะไรก็ได้ ท่านจะตอบตามที่เราคิด เหมือนท่านเข้าไปอยู่ในสมองเราได้ แล้วท่านก็บอกว่าเป็นเพราะแม่ท่านในอดีตชาติ เคยทำไม่ดีไว้ ตอนหลังก็เลยมาแฝงท่าน เพื่อที่จะให้ท่านเป็นคนมหัศจรรย์ แล้วก็ให้ทำบุญเหมือนชดใช้แทนแม่”
“ผมว่าวงการทุกวงการมันก็มีความสำคัญแตกต่างกัน อย่างหมอดูก็จะมีหลายๆ ท่าน เพียงแต่สิ่งที่เราเจอมันพิสูจน์ แบบไม่รู้จะเล่ายังไง สมมติผมพาคนไปร้อยคน ผมยังไม่เห็นคนไหนที่บอกว่ามาแล้วไม่อยากไปอีก บางคนอาจจะบอกว่าแม่นบ้าง ไม่แม่นบ้าง แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องการเมืองท่านจะไม่ค่อยอยากจะดู เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวผัวเมีย เรื่องการขัดแย้ง เรื่องการขอเลขหวย ท่านไม่อยากดู”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หมอดูอีทีบอกวาระกรรมจะหมดในอีก 3 ปี
“วาระกรรมของท่านหมด ที่บอกว่าท่านบอกผมมาก่อน 3 ปี ท่านบอกว่าช่วง 3 ปีนี้ท่านจะไม่ไหวแล้วนะ ก็จะเห็นว่าป่วยบ่อยมาก เวลาบางคนอยากให้เราพาไป สมัยก่อนนานๆ เป็นปีกว่าจะได้คิว แล้วยิ่งท่านป่วยก็ยิ่งนานเข้าไปใหญ่ คือหนึ่งดวงต้องถูกกับท่านด้วยนะ เอาเป็นว่าคุณทำบุญมาแล้วคุณไม่ได้ไปลองของท่าน เราเคยเจอประเภทไปลองของ พอไปถึงท่านลุกขึ้นเลย ท่านบอกเอาอะไรมา ไม่ดู ท่านจะรู้ว่าคนนี้ลองของหรืออะไร บางครั้งบินไปถึงแล้ว เราจะเข้าใจกันว่าบุญยังไม่พอ ท่านจะบอกว่าคนนี้ไม่ดู อาจจะดูคนอื่นนะ แต่คนนี้ไม่ดู ไปทำบุญก่อน พออีกวันไปทำบุญแล้ว ท่านรู้สึกว่าบุญพอท่านก็ดูให้แบบนี้ก็มี”
“ที่เราเจอนะบางครั้งคนจะบอกให้ผมพาไป แต่ผมก็บอกเลยว่าผมไม่ชัวร์ คือพาไปได้แต่ไม่รู้ว่าถึงแล้วจะได้ดูหรือเปล่า ต้องเข้าใจตรงนี้ บางครั้งท่านรับปากแล้ว พอไปถึงบอกไม่ดู ต้องรออีกสองวันหรือบางครั้งไม่ได้ดูต้องกลับเลย แล้วก็ต้องไปใหม่ เพราะมันเป็นเรื่องบุญของแต่ละคนที่สามารถที่จะเชื่อมกับท่านได้หรือเปล่า เวลาคนมาขอให้พาไปเราก็ต้องบอกก่อนว่าเนเจอร์ของท่านเป็นแบบนี้ ต้องเข้าใจ เพราะผมไม่ได้ทำธุรกิจ ไม่ได้จัด แต่ก็จะมีพวกที่ทำเป็นธุรกิจก็เห็นมีปัญหาหลายคนเหมือนกัน เพราะว่าเจอปัญหาแบบนี้ แต่เขาก็จะบอกก่อนเหมือนกันแล้วแต่คนเข้าใจ บางคนที่ดูพันเหรียญ หมื่นเหรียญ พวกนั้นเขาทำธุรกิจ”
“บางคนที่จะไปดูท่านบอกเลยนะ คือท่านจะรู้ก่อน ปกติเราไปสมมุติเราบอกว่าเราขอ 7 คิวนะ ท่านก็จะไม่รู้ว่า 7 คิว ชื่ออะไร เพราะไม่ได้ถาม แล้วผมก็จะไม่บอก เพราะผมก็อยากรู้ว่าท่านจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นใคร แต่บางครั้งท่านจะบอกเลยว่า คนนี้ ประเทศนี้ แบบนี้ ไม่ดูนะ คือพวกลองของท่านจะรู้เลย ท่านจะบอกลักษณะมาก เช่นสมมติเที่ยวนี้มีคนที่ผมน้อย คนนี้ไม่ดูนะ คือถ้าเราไป 7 คนเราก็จะไม่บอกว่าใครไปบ้าง เราจะไม่ส่งชื่อหรือประวัติอะไรก็ไม่เคยเล่า แต่ท่านจะบอกก่อนเลยว่าเที่ยวนี้ คนนี้ไม่ดูหรือว่าคนชาตินี้ไม่ดู สมมติว่ามีเพื่อนเป็นต่างชาติ เหมือนกับท่านรู้ก่อนว่าจะเป็นยังไง หรือดูแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น”
เสียดายที่สุด นัดให้ไปหาเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างแต่ตนไปไม่ได้ เชื่อยังมีเรื่องติดค้างในใจ
“คือตอนนี้ร่างท่านฝังแล้ว แต่ผมไม่ได้ไป ความเข้าใจตอนนี้คือเขาฝัง แล้วเห็นว่าจะมีสวดวันเสาร์ แล้วจะทำยังไงไม่รู้ถึงจะเอาออกมาใส่โลงแก้วไว้ที่บ้าน แต่ยังไม่คอนเฟิร์มนะ เพราะผมก็เพิ่งรู้เมื่อวาน แต่เราก็ไปไม่ได้อีก แต่ก็ตั้งใจกับที่บ้านว่าจะไปภายในเดือนสองเดือนนี้ กำลังให้เขาเช็กอยู่ว่าเขามีประเพณีเหมือนไทยมั้ย ที่เก็บไว้ครบ 50 วัน 100 วันแล้วเอาออกจากโรงมาไว้บ้าน เรากำลังเช็กอยู่”
“ซึ่งจริงๆ ถามว่าเสียดายมั้ย ก็เสียดายมาก เพราะท่านนัด 7 - 9 ผม แฟนผม แล้วก็ลูกชาย ให้ไปดู ก็มีความรู้สึกว่าท่านอาจจะสื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ว่าเราไม่ได้ไป เราก็ติดค้างในใจ พูดแล้วก็ขนลุก เพราะทุกครั้งสมมุติผมจะทำงาน ท่านก็ให้คนมาตาม มีอะไรก็จะบอกว่าอันนี้ทำแบบนี้นะ อย่างนี้นะ เหมือนท่านเมตตาเราตลอด ถ้ามาเมืองไทยก็จะให้คนโทร.หาเราตลอด ทั้งๆ ที่ไปบางครั้งก็ไม่ได้ดูนะ ไปนั่งคุยกัน เพราะบ้านท่านเราก็เข้าออกประจำอยู่แล้วก็เลยเสียใจแบบว่าเป็นอาจารย์แล้วกัน จะบอกว่าเป็นครอบครัวมันก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ว่าเคารพ และครอบครัวเขาทั้งหมดก็เมตตาเราหมด”