xs
xsm
sm
md
lg

วันที่เรือเล็กต้องออกจากฝั่ง : Dunkirk

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


“ผมก็เหมือนกับคนอังกฤษส่วนใหญ่ซึ่งเติบโตมากับตำนานการอพยพหนีภัยที่ดันเคิร์ก และชัยชนะที่เราฉกฉวยมาได้จากเงื้อมมือของความพ่ายแพ้ มันเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมของเรา มันอยู่ในสายเลือดของเรา”

นั่นคือคำกล่าวของผู้กำกับ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ที่โดยกำเนิดก็เป็นคนอังกฤษ (พ่อเป็นอังกฤษ แม่อเมริกัน) เขาเติบโตมากลางกรุงลอนดอน พร้อมกับตะกอนความฝันอย่างหนึ่งซึ่งนอนนิ่งอยู่ในใจมาตั้งแต่วัยเยาว์ ว่าอยากจะเล่าเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นที่ดันเคิร์ก และ ณ จุดนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ความฝันของเขานั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด และมันจะต้องถูกจารึกไว้ในฐานะ “หนังสงครามที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์” โดยไม่ต้องรอให้กาลเวลามายืนยัน

เขาเล่าหนังเรื่องนี้ออกมา ราวกับว่าได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ และด้วยเหตุนี้ ขณะที่รับชม เราก็จะรู้สึกไม่ต่างกันว่า บรรยากาศความกดดันบีบคั้นอะไรต่างๆ เหมือนแผ่รังสีเข้ามาอยู่รอบกายเรา และเราก็ตกเข้าไปในสถานการณ์นั้น เหมือนได้เข้าไปร่วมในสงครามนั้น

สำหรับท่านผู้สนใจในประวัติศาสตร์ (สงคราม) คงพอรับรู้เรื่องราวที่ดันเคิร์ก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงเดือนแรกๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2 (พฤษภาคม 1940) ซึ่งเหล่าทหารอังกฤษและทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกว่าสี่แสนนายถูกตีต้อนไปติดอยู่บนชายหาดดันเคิร์ก แม้ว่าประเทศบ้านเกิดจะอยู่ไกลออกไปเพียง 26 ไมล์ แต่การจะได้กลับบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ชายหาดตื้นที่มีคลื่นสูงเพียง 21 ฟุต ทำให้เรือลำใหญ่ของกองทัพเรืออังกฤษไม่สามารถเข้าไปช่วยทหารออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการประกาศขอให้เรือลำเล็กเข้ามาช่วย ฝูง “เรือลำน้อย” ของพลเรือนจึงได้ล่องออกจากชายฝั่งตอนใต้ของอังกฤษเพื่อนำทหารกลับบ้าน ในปฏิบัติการซึ่งมีรหัสเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ปฏิบัติการไดนาโม”

ดูไป ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ครับว่า เพราะอะไร คนอังกฤษ (ยกตัวอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน เอง) ถึงรู้สึกร่วมกับเหตุการณ์ที่ดันเคิร์กมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าไม่นับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีส่วนอย่างสำคัญต่อชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสงครามโดยรวม หากแต่พลเรือนคนอังกฤษเองก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับปฏิบัติการนี้ด้วย โดยเฉพาะพลเรือนที่มีเรือลำเล็ก (ที่เห็นแล้วก็อดนึกเป็นห่วงไม่ได้ว่าเรือลำขนาดนี้น่ะหรือจะไปแดนสงคราม) อย่างไรก็ดี ในส่วนของเรือลำเล็กนี้ ก็ได้กลายเป็นที่มาแห่งความประทับใจที่ได้เกิดขึ้นในเรือพลเรือนซึ่งมีชื่อว่า “มูนสโตน” ที่นำโดยมิสเตอร์ดอว์สัน กับลูกเรือวัยรุ่นสองคน

มิสเตอร์ดอว์สันนี้รับบทโดยมาร์ค ไรแลนซ์ ต้องยอมรับว่าเขาแสดงได้ดีมากๆ ทั้งความนิ่งและเก็บงำ เป็นผู้นำที่เหมาะมาก ในสถานการณ์วิกฤติซึ่งไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย บทบาทนี้ ผมมีความเห็นว่า มีความดีงามเพียงพอต่อการสมควรจะได้เป็แคนดิเดตเข้าชิงรางวัลในสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะออสการ์หรือเวทีไหนๆ ก็ตาม เขาทำให้เรารู้สึกนึกชมในบุคลิกและตัวตนผ่านการแสดงอย่างมืออาชีพ น่าจะเป็นบทบาทแรกๆ ที่พอเอ่ยถึงหนังเรื่องนี้ แล้วเราต้องนึกถึงตัวละครตัวนี้ขึ้นมา

ว่ากันตามจริง ในส่วนของนักแสดง ทุกคนเล่นได้สมบทบาท ไม่ว่าจะเป็นขาประจำของหนังโนแลน อย่าง “ซิลเลี่ยน เมอร์ฟี่” ที่แสดงบทป่วยๆ ทางใจได้มืดหม่นมาก ขณะที่ “ทอม ฮาร์ดี้” ก็สุขุมและเท่เหลือหลายกับกับบทนักบินสปิตไฟร์ เขาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยบทพูดที่ไม่ถึงสิบบรรทัด แต่ทำให้เราลุ้นระทึกเอาใจช่วยได้ตลอดเวลา และเหนืออื่นใด “ดันเคิร์ก” นับว่าได้แจ้งเกิดกับดาราหน้าใหม่วัยรุ่นอย่าง “ฟิออน ไวท์เฮด” ที่ถือว่าได้รับบทเด่นมาก กับดาราหน้าใหม่อีกหลายคนที่ร่วมผจญในเขตแดนสงครามที่ยากจะหยั่งรู้ผลลัพธ์

สำหรับคนที่ติดตามหนังของโนแลน จะพบว่า องค์ประกอบส่วนหนึ่งซึ่งเขามักจะทำให้เราทึ่งได้เสมอๆ ก็คือการเล่นกับเทคโนโลยีอุปกรณ์การถ่ายทำหรืองานสร้างต่างๆ โนแลนนั้นมีสโลแกนที่เป็นจุดยืนของตัวเองเสมอมาในการทำทุกอย่างแบบสมจริง พึ่งพิงคอมพิวเตอร์กราฟิกให้น้อยที่สุด หรือเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเลย ถ้าใครเคยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของเขาในเรื่อง The Dark Knight คงจะรู้สึกประหลาดใจว่าคนคนนี้ทำไมได้บ้าบิ่นขนาดนั้น กับการขนนักแสดงและเศษซากเครื่องบินขึ้นไปถ่ายทำบนอากาศเพื่อให้ได้ “ฉากเครื่องบิน” ที่สมจริง ทั้งที่จะว่ากันตามจริง ถ่ายบนบลูสกรีนก็น่าจะง่ายกว่า แต่นั่นไม่ใช่วิสัยของเขา เพราะสำหรับเขา การได้ให้นักแสดงได้ไปอยู่ในบริบทหรือบรรยากาศนั้นจริงๆ ก็จะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้นักแสดงเปล่งพลังการแสดงได้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

และก็อีกเช่นกัน หนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้องไอแม็กซ์ 70 มม. ผสมกับฟิล์ม 65 มม. ที่เติมเติมความอลังการให้กับสายตาเวลาได้รับชม ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง แสงและสีของภาพ ที่ใช้คำว่างดงามประทับใจยังรู้สึกว่าน้อยเกินไป และสำหรับหลายๆ คน ถ้าได้เห็นภาพบนเครื่องบินสปิตไฟร์ที่ใช้มุมมองของนักบินเป็นตัวถ่ายทอด ก็จะยิ่งรู้สึกทึ่ง เสมือนหนึ่งได้ไปนั่งอยู่ในค็อกพิตของเครื่องบินร่วมกับนักบินคนนั้นด้วย โนแลนและทีมถ่ายภาพ เอากล้องไอแม็กซ์ไปถ่ายบนเครื่องบินลำนั้นเลย อะไรจะขนาดนั้น!

ขณะที่เมื่อกล้องต้องลงไปลุยถ่ายในน้ำใต้ผืนทะเล คนดูผู้ชมรู้สึกสมจริงสมจังไปกับเหตุการณ์ ด้วยฝีมือแห่งเทพกล้องแฮนเฮลด์ที่มีชื่อว่า “ฮอยท์เทอ ฟาน ฮอยท์เทอมา” ผู้กำกับภาพชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่เคยกำกับภาพให้โนแลนมาแล้วในเรื่อง Interstellar และเขาคนนี้ก็คือคนที่กำกับภาพให้กับหนังเรื่อง Her ซึ่งสำหรับดันเคิร์ก ฟังว่า ฮอยท์เทอมา ที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ ได้แบกกล้องไอแม็กซ์ (อย่างกับแบกกล้องแฮนด์เฮลด์ธรรมดาๆ) ถ่ายฉากใต้ทะเลเพื่อให้ได้ความสมจริงที่สุด ... ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงไม่เป็นที่สงสัยแต่ประการใดเลยว่า ภาพแต่ละภาพที่ปรากฏบนจอ นั้นล้วนสื่อความหมายและสื่ออารมณ์ได้ดีเพียงใด และมันคุ้มค่ากับความทุ่มเทของ “ฮอยท์เทอ ฟาน ฮอยท์เทอมา”

และที่จะต้องชมอย่างมากมายอีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของดนตรีประกอบ “ฮานส์ ซิมเมอร์” เทพแห่งมิวสิกสกอร์ที่รับออสการ์มาแล้วหลายตัว และร่วมงานกับโนแลนมาแล้วหลายเรื่อง ทั้ง Interstellar, Inception, The Dark Knight ฯ และสำหรับดันเคิร์กนี้ โนแลนกับฮานส์ตกลงกันในการนำเสียงบางส่วนบางท่วงทำนองของบทเพลงเพลงหนึ่งซึ่งมีชื่อ Nimrod ของคีตกวีชาวอังกฤษนามว่า “เอ็ดเวิร์ด เอลก้า” มาประกอบมิวสิกสกอร์ด้วย เพลง Nimrod นี้เป็นที่ชื่นชอบของคนอังกฤษ และเมื่อมันมาอยู่ในหนังของโนแลน ก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบในการผลักดันหนุนส่งอารมณ์ของหนัง ทั้งหดหู่ชวนสิ้นหวัง ทั้งฮึกเหิมทรงพลัง ทั้งหลอกหลอนเขย่าขวัญน่าสะพรึง และทั้งดิ่งซึ้งตรึงจิต เรียกว่าครบรสครบอารมณ์ ผมเชื่อว่ามิวสิกสกอร์นี้ จะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งติดอยู่ในความทรงจำของหลายคน

ส่วนของบทหนังและตัวหนังโดยรวม ไม่มีอะไรต้องติดใจเช่นกัน มันดีงามมากพอที่จะไปถึงเวทีแข่งขันของออสการ์ ชั้นเชิงการดำเนินเรื่องนั้นดูสุขุมนุ่มลึก อาจจะพูดกันน้อย ... ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้หลายคนอาจเกิดคำถามว่า มันเหมาะกับทุกคนหรือเปล่า? จริงๆ จะบอกว่าไม่มีหนังเรื่องไหนในโลกนี้หรอกครับที่เหมาะกับทุกคน ... แต่เอาเป็นว่า ดันเคิร์กเน้นวิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพ มากกว่าด้วยคำพูด ตัวละครจะพูดก็เท่าที่จำเป็น แต่กันรันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ไม่น่าเบื่อแน่นอน เพราะ “ภาพ” ที่คุณจะได้เห็น มันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่สื่อสารกับเราได้อย่างทรงพลัง และภาพเหล่านั้นก็จะดึงเราให้เข้าไปรู้สึกร่วมได้อย่างง่ายดาย

สรุปสุดท้าย ง่ายๆ สั้นๆ ว่า “แนะนำ” ครับ สำหรับหนังเรื่องนี้







กำลังโหลดความคิดเห็น