“กรีน อัษฎาพร” ยอมรับงานไม่ต่อเนื่อง บอกอาจเป็นช่วงคาบเกี่ยววิกฤตช่อง 7 และตนใกล้จะหมดสัญญา ไม่น้อยใจผู้ใหญ่อ้างไม่มีละครที่เหมาะสมให้ เผยถึงรักครั้งใหม่ ศึกษาดูใจหนุ่มร่วมช่อง ลั่นไม่เข็ดพระเอก ครอบครัวรับรู้
โชว์ฝีมือการแสดงในละครขมิ้นกับปูนจนได้รับเสียงชื่นชมเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากนั้น นางเอกสาว “กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล” ก็เงียบหายไป ล่าสุด เจ้าตัวโผล่มาร่วมบวงสรวงภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ มังกร นารี ปีศาจ (The Trilogical Affairs) ณ โกดังถ่ายทำภาพยนตร์ มังกร นารี ปีศาจ บางพลี โครงการสุวรรณบุศ โดยเผยว่าช่วงที่หายไป เป็นเพราะช่อง 7 กำลังเกิดวิกฤต และผู้ใหญ่ก็บอกยังไม่มีละครที่เหมาะสมให้
“ตอนนี้มีละครที่ผู้ใหญ่ดูให้อยู่ค่ะ เพิ่งมีละครที่่เพิ่งเปิดไปวันเดียวเอง เล่นกับ บิ๊กเอ็ม (กฤตฤทธิ์ บุตรพรม) ก็ดูทิ้งห่าง เพราะว่าที่ผ่านมานักแสดงก็เยอะมากขึ้น บวกกับเกิดช่วงวิกฤตเนอะ ทำให้ละครยังไม่ได้มีการดำเนินการ มันก็มีละครหลายเรื่องที่รออยู่ เราก็ยังไม่มีละคร ช่องก็บอกว่ายังไม่มีละครที่เหมาะกับเราที่เข้ากับเราให้ลง เขาก็ให้เราอดทนนิดหนึ่ง รอก่อนแล้วก็ให้ จะมีละครที่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ”
“ไม่ได้เกี่ยวกับสัญญาค่ะ ก็เซ็นเรียบร้อยแล้วค่ะ กี่ปีหนูไม่แน่ใจค่ะ เรื่องละคร จริงๆ คุยกันมาอยู่แล้วว่าจะมี ก็ไม่เกี่ยวว่าก่อนหน้านี้ช่องกั๊กๆ เพราะใกล้หมดสัญญา แต่ว่าก็ต้องเข้าใจในมุมเขาเนอะ เขาไม่รู้หรอกว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรกับเรา หรือเขาคิดยังไงว่าเราจะไปเขาก็ไม่ทราบ เลยมีการมาคุยกัน พอคุยกันแล้วลงตัวก็เลยเซ็นสัญญาเลย”
รับหายไปเป็นจังหวะ ไม่มีละครดรามา นอกจากบู๊แอ็กชั่นซึ่งไม่เหมาะกับตน
“มันเป็นช่วงจังหวะด้วยหละค่ะ ช่วงที่ละครมาส่วนใหญ่จะเป็นแนวบู๊ แอ็กชั่นค่อนข้างเยอะ แล้วทางช่องก็บอกว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้เหมาะกับบทบู๊ขนาดนั้น อาจจะต้องพักๆ แล้วสลับ กันบ้างก็เลยรอละครดรามาซึ่งในช่วงนั้นละครดรามายังไม่ค่อยมี ด้วยกระแสคนจะชอบบู๊มากกว่า ช่วงหนึ่งจะมีแต่ละครบู๊ลงเราก็เลยรอมา ซึ่งสัญญาใหม่ก็ไม่ได้บอกว่าเราจะได้เล่นละครกี่เรื่องในแต่ละปี เราก็เหมือนเป็นเด็กในสังกัด ที่ช่องดูแล มีค่าย”
ไม่กังวลช่องดันเด็กใหม่ เพราะตนก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน
“ไม่นะคะ ดีแล้วหละ ก็มีน้องใหม่ๆ ขึ้นมา จะได้มาช่วยๆ กัน ช่องจะได้มีนักแสดงมากหน้าหลายตา หลากหลายรูปแบบ เราไม่ได้น้อยใจที่ช่องดูแลเด็กใหม่ ถ้ามองกลับกัน สมัยตอนที่กรีนเข้ามาใหม่ๆ เขาก็มาดันเราเนอะเขาก็อยากให้เราได้ลอง ได้ชิมลางนะคะ แล้วเราก็มีละครมาเรื่อยๆ ก็เหมือนกันน้องเขาเพิ่งเข้ามาเราก็ต้องให้โอกาสเขาเหมือนกัน เราก็ไม่รู้หรอกว่าคนไหนจะสามารถไปได้ถึงขนาดไหน เราก็ต้องดันเขา ช่วยเหลือเขา”
ยันไม่น้อยใจได้ประกบพระเอกไม่ดัง
“มันเป็นจังหวะด้วยแหละค่ะ คงหลายๆ อย่างอันนี้หนูก็ไม่ค่อยทราบเรื่องตรงนี้เท่าไหร่ ไม่ได้น้อยใจ นอกจากละครก็มีหนังนี่แหละค่ะ มีอีเวนต์บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็พอทราบกันดีเนอะ เศรษฐกิจแบบนี้ เขาจะจัดอีเวนต์ทีก็ต้องดูว่าคุ้มมั้ย บวกกับว่าเราไม่ค่อยมีกระแสละครมาก ก็หายๆ ไปช่วงหนึ่ง”
“เราก็ทำธุรกิจรองรับ ทำกับเพื่อนอยู่แล้ว ทำแว่นตา ก็ดีค่ะ ตอนนี้ก็เรื่อยๆ เราก็ยังต้องเรียนรู้ไปอีก ศึกษาเก็บข้อมูลเพราะว่าถึงกรีนจะจบปริญญาโทเรื่องบริหารมาแต่พอเราไปทำงานจริงๆ มันก็จะไม่เหมือนกับที่เราเรียนในห้อง มันจะเป็นเรื่องของความจริงแล้ว”
แย้มหัวใจมุ้งมิ้งซุ่มคุยหนุ่มร่วมช่อง บอกไม่อยากให้สืบ ไม่เข็ดรักพระเอก
“ยังคุยอยู่ ยังคุยๆ ไปเรื่อยๆ มันก็จะมีจุดที่เขาดีแต่ว่าก็ต้องดูไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องของอนาคตแหละ ก็เป็นคนในวงการ (ช่องเดียวกัน?) ใช่ค่ะ คือไม่ได้จะปิดบังอะไรนะคะ แค่เรารู้สึกว่าอยากให้มันชัวร์จริงๆ แล้วเหมือนเราอยู่ตรงนี้คนจะชอบจับจ้อง จับตาเรื่องความรัก เรื่องคู่เรื่องอะไร จริงๆ ถ้าพร้อมเราก็ไม่ได้ปิดอะไรนะ เอาจริงๆ ไม่ได้ปิดแต่ว่าเราแค่ ไม่ได้ออกมาพูด กรีนรู้สึกว่าอยากจะมีชีวิตที่เป็นส่วนตัว แล้วก็อยากให้เรานิ่ง อยากให้เราทั้งคู่นิ่งๆ กันกว่านี้ ตอนนี้เลยอยากมองว่าคุยๆ กันไปก่อน รู้สึกดีๆ กัน ถามว่าเป็นพระเอกมั้ย ก็ประมาณนั้น คลิกกันเพราะว่าเคยร่วมงานกัน ก็ยังไม่เคยลงรูปคู่ในไอจีค่ะ ก็คุยกันประมาณหนึ่งค่ะ”
“เขาก็จีบเราก่อนค่ะ หนูไม่ได้จีบเขาหรอก เริ่มมาจากการเป็นเพื่อน เขาเป็นรุ่นๆ เดียวกันค่ะ ถามว่าไม่เข็ดความรักกับพระเอกเหรอ เกี่ยวกับเรื่องว่าเราคลิกกันไม่คลิกกันมากกว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจ เราไม่ได้มองว่าสังกัดเดียวกัน มันเป็นความบังเอิญที่เจอกันแล้วเราก็ได้มีโอกาสศึกษากัน คุยกันในเรื่องของธุรกิจหลายๆ อย่าง มันก็จะมีวิสัยทัศน์ที่ดันไปตรงกัน มีความคิดที่คล้ายๆ กัน ก็คุยกันมาเรื่อยๆ รุ่นๆเดียวกันค่ะ ร่วมงานกันครั้งสองครั้งมั้ง ไม่ต้องสืบหรอก”
ไม่ปิด พ่อแม่รับรู้ ขอศึกษาเรื่อยๆ
“จริงๆ ไม่ได้ปิดอยู่แล้วนะ คือเราก็ไปกินข้าวไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่เพียงแค่ว่าไม่ได้เป็นที่สนใจเท่านั้นเอง อย่างที่บอกอยากให้นิ่งๆ มากกว่านี้ เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่าวันนี้อาจจะดี พรุ่งนี้อาจจะมีปัญหาก็ได้ แล้ววันนี้พูดไปว่าดี พรุ่งนี้มีปัญหากันอีกแล้ว มันดูเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คนที่เขาไม่ได้มาอยู่ใกล้ชิดเราจะคิดว่า อ้าว อะไรของเราทำไมชีวิตไม่นิ่งเลย มันก็เป็นเรื่องปกติของคนธรรมดาอยู่แล้วนะ ลองมองกลับกันถ้าเวลาที่เรามีคนที่เรารัก กำลังคุยหรือว่าคุยกับใครอยู่ มันจะมีโอกาสที่แบบขึ้นๆ ลงๆ กรีนเลยรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่”
“พ่อแม่ก็ทราบค่ะ มีอะไรก็บอก พ่อแม่ก็บอกว่าก็ดูไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับเราตัดสินใจ แต่ว่าตอนนี้ให้โฟกัสเรื่องอะไร เรารู้ตัวของเราอยู่แล้ว”