“แตงโม นิดา” รับทั้งรักทั้งหลง “น้องอีสเตอร์” บอกอินเนอร์แม่มา ใจเย็นขึ้นและติดลูกมาก เสร็จงานต้องรีบกลับบ้าน ยอมรับไม่ได้จดทะเบียนรับเป็นลูกทางกฎหมาย เพราะไม่ได้อยากพรากลูกพรากแม่ใคร แต่จะขอดูแลไปจนกว่าตนจะไม่เป็นที่ต้องการ ฟุ้งต้องต่อเติมบ้านเพื่อลูก
กำลังอินกับบทบาทความเป็นแม่อยู่ไม่น้อย สำหรับนางเอกสาว “แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์” ที่รับลูกสาวของผู้จัดการส่วนตัวอย่าง “น้องอีสเตอร์” มาเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งตอนนี้อายุได้เดือนเศษแล้ว โดยสาวนิดาเผยว่ารักและหลงเอามากๆ เพราะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งอแงเลย
“น้องอีสเตอร์น่ารักมากค่ะ ตอนนี้กำลังอ้อแอ้น่ารักมาก หนึ่งเดือนกับอีกไม่กี่วันค่ะ ได้เข้าไปดูตอนคลอดด้วยค่ะ อยู่ด้วยตลอด วินาทีนั้นก็ต้องให้กำลังใจคุณกระติกนะคะ เพราะว่าเขาก็ลูกคนแรกและตัดสินใจว่าจะคลอดเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องการกำลังใจมากๆ เราก็พยายามบอกเขาว่ามันจะไม่เป็นอะไรมากนะ มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น และเธอยังสวยอยู่ (หัวเราะ) เราก็ต้องช่วยเขาในการเบ่ง ช่วยไปพร้อมๆ กับพยาบาล”
“ความรู้สึกเหมือนเป็นแม่มันก็มีนะคะ ความรู้สึกซาบซึ้ง เห็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างให้ผู้หญิงมีสรีระที่สามารถอุ้มท้องได้ ให้มีชีวิตเล็กๆ ออกมาจากคุณแม่ ยังไงก็ตามคงไม่เท่ากับคุณกระติกที่คลอดออกมาเอง เขาก็จะรู้สึกว่าเป็นสายใยจากสายเลือดเขา แต่ถามว่าโมเลี้ยงเองทุกขั้นตอนมั้ย ก็ช่วยกันค่ะ เราจะสลับกันค่ะ คือ คุณกระติกต้องเป็นเมนหลักอยู่แล้ว เพราะคุณแม่แท้ๆ ก็ต้องให้นมด้วยตัวเอง แต่ของโมจะเป็นคุณแม่เสริมก็จะคอยอำนวยความสะดวก ถ้าคุณกระติกไม่สบายตัวอยากจะให้เราป้อนนมหรืออาบน้ำหรือทำอะไรเราก็จะต้องพร้อมอยู่เสมอค่ะ”
“อีสเตอร์เป็นน้องที่เลี้ยงง่ายมากเลยค่ะ ขอบคุณพระเจ้ามาก โชคดีมากๆ ที่น้องไม่ร้องเลยนอกจากจะหิว น้องไม่เคยงอแงเลยค่ะ ถ้าหิวก็อ้อแอ้ คือ ตอนแรกก็กังวลเพราะจะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่เป็นโคลิกคือร้องแบบไม่มีสาเหตุและร้องประจำทุกๆ เวลานี้ของทุกวัน ตอนแรกเราก็กลัวเพราะว่ามีพี่สาวของน้องเขาเองก็เป็นเหมือนกัน เราก็กลัวว่าถ้าเป็นแบบนั้นเราจะทำยังไง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง แต่สรุปว่าไม่เป็นและไม่งอแงเลยค่ะ”
รับชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ ทำงานเสร็จรีบกลับบ้านไปเลี้ยงลูก
“โมก็ค่อนข้างติดนะคะ แต่จะไม่แสดงออกสักเท่าไหร่ แต่จะคิดถึงอยู่ตลอด วันๆ ก็จะเปิดแต่คลิปลูกดู กลับบ้านเร็ว นอนเร็วเพราะต้องชาร์จตัวเอง ถ้าน้องตื่นเมื่อไหร่เราต้องพร้อมเสมอ เพื่อที่ว่ามื้อนี้คุณแม่อาจจะอยากป้อนนมขวด เราก็ต้องพร้อมไปอุ้มให้น้องทาน ทำงานเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้ไปห้างสักเท่าไหร่แล้วค่ะ จะไม่ค่อยรู้จักทางเข้าห้างแล้ว จะรีบกลับบ้านไปหาลูกอย่างเดียว (หัวเราะ) เปลี่ยนแพมเพิร์สได้ค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้เราเรียนตั้งแต่เราเป็นผู้ช่วยพยาบาลแล้วค่ะ จะมีพื้นฐานอยู่แล้ว แค่เสริมในเรื่องของที่มันละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นในเรื่องของเด็กอ่อนค่ะ”
“ชีวิตก็เปลี่ยนไปนะคะ เปลี่ยนทั้งตัวโมและตัวกระติกเองเพราะจะต้องใจเย็นมากขึ้น เพราะเด็กไม่สามารถพูดได้ ก็ต้องเล่นเกมทายใจและจะต้องอดทนกับการหาสาเหตุ ต้องคอยสังเกตการณ์ตลอดเวลา เราก็ใจเย็นขึ้นและเราอยากจะทำตัวให้เป็นคุณแม่ที่ดี ก็พยายามพัฒนาตัวเอง อยากจะมีศักยภาพในการดูแลน้องที่ดี และเริ่มที่จะเป็นคนที่วางแผนอะไรในระยะไกลมากขึ้น และเพิ่มความมั่นคงให้ตัวเองอย่างรวดเร็วค่ะ โมเชื่อว่าสัญชาตญาณคนเป็นแม่ทุกคนเป็นแบบนี้แน่นอน”
บอกไม่ได้รับรองเป็นบุตรตามกฎหมาย แต่จะขอดูแลตลอดไป
“กับคุณกระติกนี่คือรู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าเป็นเพื่อนแท้เลยค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อนเที่ยว เราอยู่บ้านเดียวกัน คือ เราอยู่ด้วยกันมานานมากแล้วนะคะ จะมีแค่บางช่วงเองที่แยกกันอยู่ เมื่อก่อนก็อยู่คอนโดเดียวกัน แต่เวลาต่างคนต่างมีแฟนก็แยกไปอยู่กับแฟน (หัวเราะ) พอตอนนี้ไม่มีแฟนก็กลับมาอยู่ด้วยกัน ก็พอดีคุณแม่น้องเป็นซิงเกิลมัมค่ะ และตัวโมเองพอเลิกกับคุณโน่ (ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) ไปเราก็เหงา ก็เอาเขามาอยู่เป็นเพื่อน สุดท้ายก็มาทำงานด้วยกัน คุณกระติกเป็นผู้จัดการของโม ซิงเกิลมัมเลี้ยงลูกคนเดียวก็เหงาและก็เหนื่อยและค่อนข้างที่จะลำบาก ด้วยความที่เราเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้วลูกเขาก็เหมือนลูกเราค่ะ”
“ถามว่าทำเป็นเรื่องเป็นราวทางกฎหมายมั้ย คือมันก็เป็นแค่กระดาษ โมไม่ได้ต้องการจะเป็นเจ้าของใคร เพราะว่าลูกกับแม่เขาก็สายเลือดเดียวกัน โมไม่ได้ต้องการที่จะไปยึดลูกใครมาเป็นของตัวเอง และวันหนึ่งที่เขาโตมา เขาก็มีแม่คนเดียวนั่นแหละค่ะ เพียงแต่โมเป็นแม่ด้วยความรู้สึกด้วยหัวใจมากกว่า ไม่ใช่เป็นแม่ด้วยเอกสารค่ะ แต่ก็จะดูแลเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะไม่ต้องการเรา ไม่ได้มีการจดเอกสารอะไร เพราะว่าไม่ได้อยากจะไปเอาลูกใครมาเป็นของเราค่ะ”
เผยต่อเติมบ้านเพื่อ “น้องอีสเตอร์” โดยเฉพาะ แถมพ่อยังหลงหลานมากกว่าตนซะแล้ว
“เมื่อก่อนเคยอยากมีลูกด้วยตัวเองค่ะ แต่พอมีอีสเตอร์แล้วเขามาเติมเต็มให้เราได้ครบถ้วนเลยค่ะ น่ารักมากจริงๆ ค่ะ คุณพ่อก็หลงมาก ต้องบอกก่อนว่าบ้านโมที่อยู่ด้วยกันกับพ่อด้วยกับคุณกระติกด้วยเนี่ยกำลังต่อเติมอยู่เพื่อให้น้องได้มีพื้นที่ได้เล่นในอนาคต และแมวกับน้องไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ก็ต้องทำบ้านแมว เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็เช่าคอนโดกันอยู่ ทีนี้คุณพ่อด้วยความที่รักหลานมากเดี๋ยวนี้ก็มาหาหลานโดยที่ไม่มาหาโม บางทีโมก็คิดถึงพ่อนะ คิดว่าวันนี้พ่อมาจะรีบกลับไปเจอพ่อ พอไปถึงคอนโดพ่อกลับบ้านไปแล้วค่ะ พ่อมาถ่ายรูปกับหลานมาอุ้มหลานแล้วก็กลับบ้านไปเลย จนตอนนี้หนึ่งอาทิตย์แล้วยังไม่เจอพ่อเลยค่ะ แต่หลานเจอพ่อไปสองครั้งแล้ว (หัวเราะ)”
“คุณพ่อเด็กก็มีติดต่อมาบ้างค่ะ เขาก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดขี้หน้ากัน เพราะว่าเราก็คำนึงถึงความสำคัญของการที่ลูกจำเป็นที่จะต้องมีพ่อและมีแม่ โมก็ไม่ได้อะไรค่ะ เพราะว่าไม่ได้สนิทกัน เป็นเรื่องส่วนตัวของกระติกน่ะค่ะ เรื่องบางเรื่องเราก็ให้เขาตัดสินใจเอง เพราะคำว่าซิงเกิลมัมฟังดูก็รู้แล้วว่าเขาแยกกันอยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เราไม่พูดถึงดีกว่า เพราะว่ากระติกไม่ใช่คนในวงการ แยกพ่อแยกลูกมมั้ย ก็อย่างที่บอกว่าเราให้ความสำคัญเรื่องที่ลูกจะต้องมีพ่อมีแม่ โมเองก็โตมากับพ่อ คือเขาไม่ได้โกรธเกลียดกันนะคะ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแตกแยก ลูกจะต้องเป็นเด็กที่สมบูรณ์ด้วยความรักจากพ่อและแม่ค่ะ”
“กระติกจะตามใจลูกมากกว่า ด้วยความที่เขาเป็นแม่อย่างสุดหัวใจ ลูกร้องแอะเดียวเขาก็จะสงสาร ส่วนโมจะได้ความลุยมาจากคุณพ่อ คุณพ่อจะเลี้ยงโมมาแบบสมบุกสมบัน โมก็จะตามใจน้อยกว่า”