เจ็บปวดทรมานเหมือนถูกทารุณ! ศิลปินแห่งชาติ “ชินกร ไกรลาศ” ฮึดสู้มะเร็งลำไส้ ระยะที่ 3 ทำคีโม 6 ครั้ง ตัดลำไส้ 16 ซม. ยันไม่กลัวตาย 70 ปี ไม่เคยป่วย มาจากธรรมชาติก็ต้องกลับไปอย่างธรรมชาติ สุดตื้นตัน “พระราชินี” รับเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกใช้ยายุโรปโชคดีผมไม่ร่วง แต่มือชาเล็บเขียวคล้ำเหมือนคนตาย - หนังลอก ปัจจุบันอาการยังสวิงแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 3 มาเป็นเวลาเกือบปี ล่าสุด ได้มีโอกาสเจอศิลปินแห่งชาติ “อ.ชินกร ไกรลาศ” ที่งานออดิชันคัดเลือกนักร้องเข้าสู่รายการ “ชุมทาง...เพลงพระราชนิพนธ์” ณ ห้างสรรพสินค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 ซึ่งท่านได้เดินทางมาเป็นคณะกรรมการตัดสินในครั้งนี้ โดยอาการภายนอกทั่วไปถือว่าดีขึ้นตามลำดับ หลังจากได้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกไปกว่า 16 ซม. และยังได้รับทำการคีโมกว่า 6 ครั้ง รวมไปถึงความภาคภูมิใจที่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” รับเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์
“เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ พอวันที่ 17 ธันวาคม ปีที่แล้ว เขาก็ผ่าตัดแล้วก็ตัดต่อลำไส้เอาเนื้อร้ายออก แล้วก็ตัดต่อเลย บังเอิญเราไปเจอก่อนที่หมอจะตรวจพบ ก็คือ เวลาเราเข้าห้องน้ำเราก็ใช้น้ำล้างก้นปกติ แล้วเราหยิบกระดาษชำระมาเช็ด แล้วก็เลยเจอช้ำเลือดช้ำหนอง ไปเช็ดอีกทีหนึ่ง และหมอบอกว่าใช่ ซึ่งหมอบอกเป็นระยะที่สามแล้ว เชื้อมันกำลังจะเคลื่อนตัว มันมี อยู่ 4 - 5 เม็ด และมันมีอยู่เม็ดหนึ่งกำลังจะเคลื่อนตัว ลามไปที่อื่นๆ ก็เลยสกัดมันไม่ได้ สรุปก็ตัดลำไส้ใหญ่ออกไป 16 ซม. ไปเลยครับ”
“อาการมันก็มีความรู้สึกเหมือนกับเราจะควบคุมระหว่างการผายลมที่มันเหมือนการถ่ายหนัก มันจะมาพร้อมๆ กัน แล้วมันออกมาเป็นน้ำเลย อะไรอย่างนี้ ก็นั่นแหละมันชี้ชัดออกมาแล้วเรากำลังมีปัญหา จริงๆ แล้วผมตัดความกังวลไปได้แล้ว เพราะว่ามาเทียบกับการไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลยเนี่ยครับ อายุ 70 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยป่วย ไม่เคยนอน ไม่เคยใช้บริการโรงพยาบาลเลย เพียงแต่เราไปใช้บริการ คือ ไปตรวจเป็นระยะๆ อย่างนี้ แต่ว่าเมื่อเรามาเจออย่างนี้แล้ว ก็ถือว่าเราก็โอเคแล้ว ใช้ชีวิตคุ้มแล้ว”
ตื้นตันเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์
“เรื่องคีโมเราก็ทำทุกอย่างเหมือนคนอื่น ก็เห็นว่า อาการอย่างนี้มันไม่ได้ธรรมดาแล้ว เราก็เลยทำหนังสือยื่นฎีกาไปยังสำนักพระราชวัง ขอเป็นคนไข้ในส่วนพระบรมราชูปถัมภ์ครับ ก็ได้รับการอนุมัติ ก็ถือว่าเป็นฐานและกำลังใจที่ดีที่สุดแล้ว และตอนนั้นเองก็มีเพื่อนฟิลิปปินส์เขาจะมาจัดคอนเสิร์ตหารายได้ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลให้เรา เราก็เกรงว่าผิดพระราชหฤทัยเบื้องบน เพราะพระองค์ท่านทรงรับเป็นคนไข้แล้ว และจะต้องไปเอาคนมาช่วยทำไมอีก แล้วเราก็คิดถึงเรื่องนี้ ก็รักษามารยาทตรงนี้เอาไว้ แล้วก็บอกเพื่อนๆ ว่า ขอบคุณมาก เพราะในพระบรมราชูปถัมภ์ เขาดูแลเราดีอยู่แล้ว”
ทำคีโม 6 ครั้ง ชีวิตทรมานเหมือนถูกทารุณกรรม โชคดีผมไม่ร่วง
“พอหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีน้ำในช่องท้องเยอะ ทางทีมแพทย์ก็ดูดเอาน้ำออก พอทุกอย่างเข้าที่แล้ว เขาถึงให้คีโมแล้วก็ฉายแสงครับ ช่วงที่เขาให้คีโมนับว่าเป็นเรื่องของการทารุณกรรมอย่างหนึ่ง แต่ว่าโชคดีที่เส้นผมไม่ได้ร่วง ผมที่เห็นมันไม่ได้ไปไหน (ยิ้ม) และมีความรู้สึกว่าไอ้ที่เป็นปกติธรรมดามันจะร่วงมากกว่ากับตอนที่เราฉายแสง ให้คีโมเสียอีก (หัวเราะ)”
“ก็เพิ่งมาทราบภายหลังว่า ยามันมาจากยุโรป มันจะให้ผลแบบนี้ อย่างสมัยก่อนพวกใช้บัตรทองอะไรต่างๆ ร่วงกันเป็นแถวเลยครับ มันคงเป็นยาอีกระดับหนึ่ง อันนี้มันคงเป็นยาที่ค่อนข้างจะแพง ให้คีโมครั้งหนึ่ง ชุดประมาณ 50,000 บาท ซึ่งถือว่าแพงมาก ให้ทั้งหมด 6 ครั้ง และในแต่ละครั้งที่ให้ห่างกันประมาณ 15 วัน แต่ก็ได้รับพระกรุณาธิคุณ แล้วก็ถือว่าเบาใจไปได้”
เจ็บปวดเหมือนคนใกล้ตาย
“โอ๊ย....มือเนี่ยเหมือนคนตาย คล้ำ เล็บนี่เขียว คือ เหมือนคนหมดสภาพเลยนะครับ นึกภาพออกไหม ขอโทษเถอะหลังๆ เนี่ยหนังเท้าลอกออก ไม่มีเหลือแม้แต่นิดเดียว ทุกวันนี้มือมันยังชาๆ นิดๆ อยู่เลย เหมือนกับว่าคีโมมันยังจะอยู่กับเรานานมาก ขนาดยาสลบยังอยู่กับเรา 3 เดือนกว่า”
“เรื่องกำลังใจ ผมว่าภรรยาธิดาบุตร คนใกล้ชิดกับเรานั้นสำคัญมาก อย่าไปเป็นคนดื้อรั้นกับคนดูแลเรา เช่น ภรรยาธิดาบุตรที่เขาจะต้องดูแลเรา ให้อาหาร ป้อนกินยาหรืออะไรต่างๆ เราจะต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเราจะถือว่าเราเป็นผู้นำครอบครัว เราจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่อย่างนั้น คือเราจะต้องไม่ดื้อ”
ปัจจุบันอาการยังสวิงแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ
“บางทีมันก็สวิง หมอบอกมันเป็นธรรมชาติของการรักษา ซึ่งเขาบอกมันว่าสวิงอ่ะดีแล้ว เขากลัวมันจะนิ่ง พอมันนิ่งๆ เขากลัวมันจะกลับมาอีกที แต่มันสวิงขึ้นสวิงลงไม่เป็นไร เพราะจากการที่เขาเคยนัดตรวจครั้งละ 7 วันครั้ง เปลี่ยนเป็นครึ่งเดือน มาเป็นหนึ่งเดือน และสามเดือน บางทีหมอก็นัดเป็นปีๆ ซึ่งนั่นก็คือฐานกำลังใจให้เรา และการที่หมอนัดอย่างนี้ เราก็รู้แล้วว่าอาการของเราดีขึ้น”
เผยพลังใจสมบูรณ์ที่สุด
“ถ้าจะคิดว่ามันลำบาก มันก็ลำบาก ซึ่งทุกอย่างเริ่มจากใจเรา เราไม่ได้คิดตรงนั้น และหลังจากผ่าตัดเพียงไม่กี่วัน ผมก็ออกงานแล้ว ผมก็ไปทำพิธีบวงสรวง ไปทำขวัญนาค ไปอะไรต่อมิอะไร ผมก็ไปทำหมด ก็ปกติทุกอย่าง แต่ว่าเหมือนจะกระทบตอนที่มันมีข่าวออกไปว่าผมเป็นมะเร็ง ก็เลยทำให้งานลดไปบ้าง แต่ก็สมแล้วที่มันเป็นอย่างนั้น ร่างกายมันจะได้พักบ้าง อะไรบ้างครับ อาการถ้าให้นับตั้งแต่วันเริ่มต้น ตั้งแต่ผมผ่าตัด วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของทุกวัน ดูสิผมตอบคำถามได้เร็วไหม ผมตอบไม่ได้เพ้อเจ้ออะไรเลย ฉะนั้น มันเป็นสติสัมปชัญญะและเป็นพลังใจที่ค่อนข้างสมบูรณ์”
ไม่กังวลใจ ไม่ยึดติด มาอย่างธรรมชาติ ก็ต้องกลับไปอย่างธรรมชาติ
“ไม่มี หาไม่เจอ หาความกังวลไม่เจอ ไม่มีความกังวลเลยว่าอยู่ได้อีกกี่เดือน มันไม่มีอยู่ในอารมณ์เลยครับ เราคิดว่ามันเป็นธรรมชาติของมันมากกว่า มาอย่างเป็นธรรมชาติ กลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ เราไม่ได้คิดอะไร เพราะผมไม่ติดยึดอะไรเลย”
“คือ พื้นฐานของผม ผมเป็นคนสอนคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพระผมก็สอน ฉะนั้น เมื่อเราสอนคนอื่นได้เราก็ต้องสอนตัวเองให้ได้เสียก่อน สอนให้ตัวเองยอมรับ สอนให้คนปฏิบัติธรรม เราก็ต้องสอนให้เราปฏิบัติให้ได้เสียก่อน อย่างนี้ผมจะต้องมีพื้นฐานแน่นปึ้กเลย ถึงจะถ่ายทอดให้คนอื่น”
อย่ากังวลว่าจะต้องตาย ปล่อยไปตามธรรมชาติ
“มันเป็นสภาวะจิตที่ไม่ถูกต้อง เราต้องยอมรับความเป็นธรรมชาติ ถ้าเรามาอย่างธรรมชาติ เราก็ไปอย่างธรรมชาติ เราทำตัวให้กลมกลืน เราจะมีความสุขกว่านะครับ ถ้าเราไปคิดต้านทาน มันก็ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ครับ (จะหมายถึงว่าให้ยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้?) มันก็ไม่เชิง ผมไม่ได้คิดตามคนอื่น แค่คิดว่าเราอยู่กับธรรมชาติมากกว่า ธรรมชาติของการเจ็บป่วย มันเป็นอย่างนี้เราก็ต้องเป็นอย่างนี้”