xs
xsm
sm
md
lg

“นุ้ย สุจิรา” น้ำตาไหล เก็บภาพ “ในหลวง ร.๙” ไว้ในความทรงจำ ตื้นตันส่งต่อความจงรักภักดีให้ลูกสาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“นุ้ย สุจิรา” น้ำตาไหล โชคดีที่ได้เกิดบนแผ่นดิน “ในหลวง ร.๙” เผย เคยมีโอกาสชื่นชมพระบารมีใกล้ ๆ ในหลวงเสด็จประพาสทุ่งมะขามหย่อง เมื่อ 4 ปีก่อน เปล่งเสียงร้อง “ทรงพระเจริญ” สุดเสียง จำได้ไม่ลืมพระพักตร์พระองค์สดใส โบกพระหัตถ์ให้ประชาชน ส่งต่อความจงรักภักดีให้ลูกสาว

มาเป็นพิธีกรในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมาร่วมแปรอักษรถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวันที่ 28 ต.ค. โดยอดีตนางสาวไทย “นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์” เผยว่า ตนตั้งใจมาในวันนี้ เพราะเป็นกิจกรรมครั้งประวัติศาสตร์ และภูมิใจในลูกแม่โดมทุกคน

“มาร่วมกิจกรรมครั้งประวัติศาสตร์ เป็นการรวมใจศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนามของศิษย์เก่าเมื่อทราบข่าวการรวมใจแล้ว เราเลือดเหลืองแดง เราก็ต้องมา แม้ว่าไม่รู้ว่าจะมาในส่วนไหน เรามาก่อน แล้วก็ให้ทางน้อง ๆ พี่ ๆ จัดให้เราว่าเราพอจะช่วยส่วนไหนได้บ้าง”

“แต่พอเขาเห็นหน้า เขาก็ให้เราเป็นพิธีกร แล้วแต่เขาจะให้เราช่วยตรงไหน จริง ๆ จะมาแปรอักษร แต่ว่าเต็ม คือเต็มเร็วมากเลย เลยไม่เป็นไร รอเผื่อว่าใครต้องการความช่วยเหลืออะไรอย่างนี้ก็เรียกมาเดี๋ยวไป คือนุ้ยเองรู้สึกว่านุ้ยเป็นลูกแม่โดมคนหนึ่งที่รู้สึกภูมิใจในเด็กรุ่นใหม่ คือ หลายคนจะมองภาพว่าเด็กมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะรักอิสระ ไม่ค่อยเคารพกฎเกณฑ์ แต่จริง ๆ แล้วรักอิสระแต่เราก็อยู่ในกรอบ แต่ในกรอบนี้ ไม่ใช่กรอบที่ตีเอาไว้เพื่อให้เรารู้สึกอึดอัด แต่เป็นความอบอุ่น เป็นพระบรมโพธิสมภาร พระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พวกเราพร้อมที่จะน้อมนำใส่เกล้าใส่กระหม่อมครอบตัวเราไว้”

“เราก็เทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใด วันนี้ก็เลยรู้สึกว่าปณิธานที่เราสืบต่อกันมาก็ยังจะอยู่ต่อไป ขณะที่รุ่นปัจจุบันที่ห่างจากนุ้ยก็ 10 ปีแล้วก็ยังอยู่ เห็นแล้วก็ชื่นใจในการรวมพลังของน้อง ๆ ทุกคนแล้วทุกคนก็มุ่งมั่นตั้งใจ ก็ชื่นใจด้วยเพราะว่ามีพี่ ๆ ที่เป็นศิษย์เก่า แต่ละคนเนี่ยจะเป็นรุ่นพ่อเรา แต่ก็มาเพื่อมาแปรตัวอักษร และก็อยู่กลางแดดทุกคนไม่บ่นเลย คือมันเป็นการรวมใจกันจริง ๆ”

ยึดพระราชดำรัสปิดทองหลังพระในหลวง ร.๙ เสมอ
“คือ ตอนเด็ก ๆ นุ้ยจะทันเรื่องปิดทองหลังพระ นุ้ยรู้สึกว่าการที่เราทำดี ตอนเด็กๆ เข้าใจว่าการที่เราทำดี เราไม่ต้องบอกใครก็ได้ ไม่ต้องป่าวประกาศ แต่เราทำ ทำแล้วรู้แก่ใจว่าเราทำดี เช่นเดียวกัน ถ้าเราทำชั่ว เราก็ต้องรู้แก่ใจว่าเราทำชั่ว แต่เมื่อโตมาแล้วได้ผ่านวันเวลาของอาชีพ ของอายุไป มีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป แล้วย้อนกลับไปมองคำสอนของพระองค์ท่าน เรื่องปิดทองหลังพระ พระองค์ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่าเราต้องปิดทองหลังพระ เพราะว่าถ้าปิดแต่ข้างหน้า แล้วทั้งองค์พระจะเป็นสีทองได้อย่างไร นั่นหมายความว่า การทำความดีทุกคนต้องร่วมกันทำ ทำเพื่อให้พระเป็นสีทอง ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน อยู่ข้างหน้า อยู่ข้างหลัง ส่วนไหน เราทุกคนต้องทำความดี”

เผยเคยคว้าโอกาสขับรถไปรอรับเสด็จในหลวง ร.๙ ถึง จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 4 ปีก่อน ตื้นตันใจที่สุดมีโอกาสเปล่งเสียงร้องทรงพระเจริญกึกก้องและดังที่สุดในชีวิต
“เอาจริง ๆ นุ้ยไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถที่จะมีโอกาสได้ถวายงานพระองค์ท่าน แต่เราก็เป็นพสกนิกรคนหนึ่งที่อยากจะชื่นชมพระบารมีพระองค์ท่าน อยากจะเปล่งเสียงว่าเราเองรักพระองค์ท่านขนาดไหน ก็เลยรู้สึกว่าได้โอกาส ได้รู้ว่าท่านจะเสด็จประพาสที่ทุ่งมะขามหย่อง ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 4 ปีที่แล้ว นุ้ยก็เลยต้องไปให้ได้ ต้องคว้าโอกาสนั้นมาเอง เลยบอกปอนด์ (สามี) ตอนนั้นว่าปอนด์ต้องพาเราไปนะ ทันไม่ทันไม่รู้แหละ ถ้าไม่ทันเราก็ต้องจอดข้างทาง รับเสด็จฯเอาข้างทางนั่นแหละ แต่เราก็ต้องไปให้ได้ ก็เลยมุ่งไปด้วยใจมุ่งมั่น”

“แล้วก็ได้มีโอกาสรับเสด็จท่านตอนขากลับพอดี คือ เราไปอยู่รอพระองค์ แต่เผอิญว่าจะได้เห็นพระพักตร์ใกล้ ๆ ตอนที่ท่านเสด็จพระราชดำเนินกลับ ชัดมาก เป็นภาพจำชัดว่าพระพักตร์ของพระองค์ท่านแจ่มใส และก็มีการแย้มพระสรวลเล็กน้อย แต่ว่าสายพระเนตรของพระองค์ท่านทอดมาหาพวกเราทุก ๆ คน 2 ข้างทางที่เราไปเฝ้ารับเสด็จฯ เราก็รู้สึกว่าเราขอเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ได้เปล่งเสียงนี้”

“ไม่รู้ว่าพระองค์ท่านจะทอดพระเนตรเห็นเรามั้ย แต่เราเห็นพระองค์ท่านเต็ม 2 ตา แล้วก็มันก็เป็นภาพที่อยู่ในใจเราตลอดไป จริง ๆ ตอนแรกตั้งใจจะพูดว่าหนูรักพระองค์ท่านนะคะ เรารักในหลวง คิดว่าจะทำสัญลักษณ์หรือว่าป้ายไฟดี แต่พอถึงเวลามันลืมหมดเลย เสียงที่เปล่งออกไปมีแต่ทรงพระเจริญ จำได้ว่าแบบตะโกนดังมาก ดังที่แบบดังจริง ๆ คือเรารู้สึกว่านี่มันเป็นโอกาสสุดท้ายของเราที่เราจะได้เปล่งเสียงออกไป”

“อย่างที่บอกเราไม่มีโอกาสมากนักที่เราจะได้รับเสด็จฯหรือใกล้ชิดพระองค์ท่าน เพราะว่าตอนที่เราได้รับนางสาวไทยในปีนั้นมีงานถวายพระพร แต่เราก็ได้ยืนรับเสด็จที่ข้างทาง ข้างถนนราชดำเนินก็ได้เห็นพระหัตถ์ท่าน ได้เห็นแต่ไกล ๆ แต่เราก็รู้สึก คือนุ้ยเติบโตมา เกิดมาก็มีพระองค์ท่านแล้ว อยู่อย่างสุขสบายก็เพราะพระองค์ท่าน พ่อแม่ก็หล่อหลอมสอนมาว่า เราต้องจงรักภักดีและรักอย่างบริสุทธิ์ใจมอบให้กับพระองค์ท่าน

มันเลยรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นความตั้งมั่นในใจของเราว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราจะต้องได้เปล่งเสียงทรงพระเจริญให้กับพระองค์ท่านได้ยินนะ แล้วก็จะต้องได้ชมพระบารมีพระองค์ท่านให้ได้ในชีวิตของเราอะไรอย่างนี้ นุ้ยก็เลยไม่รอโอกาส เลยเป็นคนคว้าโอกาสเอง พอมีโอกาสก็ไป”

“และอีก 1 ครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายที่พระองค์ท่านได้ออกสิงหบัญชร ตอนที่ประชาชนใส่เสื้อเหลืองไปที่พระที่นั่งอนันตสมาคม มีโอกาสก็ไป ตอนนั้นได้ไปอยู่ด้านในพระที่นั่ง อยู่ตรงสนามหญ้า ได้เห็นพระองค์ท่าน แต่ใกล้ไม่เท่าตอนที่ไปทุ่งมะขามหย่อง แต่พระบารมีพระองค์ท่าน เราไม่ร้อนเลย เรารอนานแค่ไหนก็ได้ รองเท้าส้นสูงเราก็ไม่เจ็บ เรารู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาการรอมันสั้นมาก พอพระองค์ท่านออกมาแล้ว เป็นความรู้สึกยาวนานมาก พระบารมีพระองค์ท่านฉายส่องมา พระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์ รู้สึกว่าเป็นอีก 1 ครั้งที่ได้มีโอกาสเปล่งเสียงทรงพระเจริญเป็นครั้งสุดท้ายของเรา แต่เราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ครั้งนั้น”

สุดกลั้นความอาลัย ร้องไห้ระหว่างทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าว
“พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตวันที่ 13 ต.ค. แล้วเราก็เคว้งคว้างอยู่ 2 วัน แล้วเราต้องมาทำหน้าที่ในวันจันทร์ ซึ่งมันเร็วสำหรับเรา ซึ่งเราตั้งตัวไม่ได้ พูดตรงๆ เสียศูนย์มาก แต่เราก็ต้องไปทำ ทำหน้าที่ของเราเพื่อที่จะบอกว่าคนวงการบันเทิง รัก เคารพเทิดทูน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ขนาดไหน (น้ำตาคลอ) เราต้องทำ เราก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะได้มีโอกาส ณ วันนั้น ได้รายงานเรื่องที่คนในวงการบันเทิงอยากจะกล่าวถึงพระองค์แสดงความอาลัย”

“แต่ทุกถ้อยคำที่ทุกคนกล่าวมา มันตรงใจ และมันก็กินไปในใจเรา แล้วคือทุกอย่างที่เรากดเอาไว้ ที่เราเก็บเอาไว้ พยายามข่มเอาไว้ มันเหมือนถูกกระทุ้ง อันนี้ก็โดน คำนั้นก็โดน แม้ว่าจะพูดต่างวาระ ต่างความหมาย ต่างมิติกัน มันก็โดน ก็เลยกลั้นไม่ไหวจริงๆ วันนั้นคือต้องแบบขออภัย เราต้องพยายามนิ่งที่สุด เพราะถ้าไม่นิ่งเนี่ย น้ำตาไหลพรากไป ซึ่งเราต้องเข้าใจหน้าที่การงานของเราที่อยู่ตรงนั้น”

“ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควร แต่เราก็ไม่ควรไปชวนคนอื่นให้เสียใจกับเรา เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ก็ข่มไว้ แต่มันเสียใจ เสียใจมาก แล้วมันบอกไม่ถูก น้ำตาไหลตอนเบรกเราก็ต้องแบบเช็ด แต่มันเช็ดไม่ทัน ก็เลยมาไหลหน้าจอ เลยเป็นอย่างนั้น แต่พยายามแล้วจริงๆ เหมือนกับพี่จิก ประภาสได้บอกไว้ว่า เรารู้ว่าเราต้องเข้มแข็งเนอะ เรารู้ว่าเราต้องก้าวต่อไป แต่อย่าห้ามเราร้องไห้เลย ทำไม่ได้จริง ๆ”

น้ำตาไหลไม่หยุดเห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ โชคดีเหลือเกินได้เกิดบนแผ่นดินรัชกาลที่ ๙
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเข้าไปลงนาม แค่เห็นยอด ร้องไห้อีก (น้ำตาไหล) เห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมันก็น้ำตาซึม คือไม่ได้เลย จะบอกว่าวันแรกปวดหัวมาก อื้อเลย แต่เราต้องเข้มแข็ง เพราะว่าเราต้องเลี้ยงลูก แล้วให้ลูกเห็นไม่ได้ เพราะว่าลูกเรายังเด็ก เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แม่ถึงร้องไห้ ต้องเก็บเอาไว้และเลี้ยงลูก พอลูกหลับไปแล้วก็มาเปิดแล้วนั่งร้องไห้”

“ทุกวันนี้เห็นพระราชกรณียกิจ ไม่ได้เป็นความเสียใจแล้วนะ แต่น้ำตามันไม่หยุดไหล คือไม่ใช่ว่าไม่เสียใจ คือไม่เสียใจนะ แต่มันเป็นความปลื้มปีติมากกว่าว่าเราโชคดีเหลือเกิน เราเคยอิจฉาคนที่เคนเกิดในสมัยพระพุทธกาลว่าเขาได้เจอพระพุทธเจ้าเนอะ เขาได้กราบพระพุทธเจ้า เขาได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาโชคดีจังเลย”

ตอนนี้เรารู้สึกโชคดีมากเลยที่เราได้เกิดในรัชกาลของพระองค์ (น้ำตาไหล) ภายในคำสอนของพระองค์ท่าน เพราะว่าพ่อนะเปิดให้ดูตลอดตั้งแต่เด็กๆ พ่อเราจะคอยสอน เพราะว่าบางอย่างเรายังเด็ก พ่อก็ช่วยย่อยคำสอนที่พระองค์ท่านได้กล่าวให้กับเราอะไรอย่างนี้ เราก็เลยรู้สึกแบบโชคดีจังเลย แล้วมันเลยกลายเป็นเรื่องที่เราติดมาตลอดว่า ทุกๆ วันเฉลิมพระชนมพรรษา เราจะรอพระองค์ท่าน ออกมาบอกว่าเราควรจะต้องปฏิบัติตนยังไง ตลอดทั้งปีบ้านเมืองเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะไปในทิศทางไหน”

“นุ้ยก็เชื่อว่าแม้ว่าในวันนี้เราจะไม่มีพระองค์ท่านแล้ว ครั้งแรกเราเสียใจที่ไม่มีพระองค์ท่าน แต่นุ้ยมีความรู้สึกอีกความรู้สึกหนึ่งต่อมาว่าเราไม่ควรเห็นแก่ตัว ควรต้องเลิกเห็นแก่ตัวพึ่งพระองค์ท่านได้แล้ว พระองค์ท่านเหนื่อยพระวรกายเพื่อเรามามากแล้ว ขณะทรงพระประชวรอยู่ จะเสด็จฯมาที่เรารู้ว่าเสด็จมาแปรพระราชฐานนึกว่าพระองค์ท่านจะมาเปลี่ยนอิริยาบถ แต่ไม่ใช่ พระองค์ท่านเสด็จฯลงมาเพื่อดูระดับน้ำ พระองค์ท่านห่วงเราเกินไป เราเลยรู้สึกว่า เราเห็นแก่ตัวเพื่อจะยื้อพระองค์ท่านไม่ได้ (น้ำตาไหล)

“เราก็ต้องกลับไปดูสิ่งที่พระองค์ท่านสร้าง สอนให้กับเรา พระองค์ท่านได้วางพื้นฐานให้กับเราแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะต้องเดินตามพระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านทำจากความคิดวิเคราะห์ วิจัยจากความคิดที่แท้จริง ถึงได้ออกมาเป็นทฤษฎีต่างๆ ออกมาเป็นโครงการส่วนพระองค์ต่าง ๆ โครงการพระราชดำริต่าง ๆ ท่านทรงงานหนักมากเพื่อให้ได้ทฤษฎีที่แท้จริง ที่ใช้ได้จริง เดินตามแล้วเห็นผลจริง มีชีวิตมีความสุขที่จริงของคนไทย นุ้ยรู้สึกว่าถ้าเราคิดถึงท่าน เราต้องทำความดี และเดินตามแนวทางของพระองค์ท่านในวิชาชีพของตัวเอง แนวทางของความถนัดของตัวเอง”

ภูมิใจลูกสาวยกมือไหว้ ในหลวง ร.๙ ส่งต่อความจงรักภักดีให้ลูกสาว 
“ตอนนี้นุ้ยก็จะสอนลูกเวลาเห็นรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙ นุ้ยจะบอกลูกว่าให้ไหว้ ให้สวัสดี ตอนนี้เวลาเขาเห็นนุ้ยเปิดในอินสตาแกรมเป็นภาพพระราชกรณียกิจ เขาเห็นเขาก็ไหว้เอง มันเป็นความภูมิใจของแม่คนหนึ่งที่เริ่มต้นจากจุดนี้เหมือนที่พ่อแม่เราบอกเราตั้งแต่เด็กๆ ให้ไหว้ ไหว้ตอนแรกเราก็ไม่รู้ความหมายว่าไหว้เพราะอะไร แต่เมื่อเขาโต เขาพร้อม เขาจะรู้ความหมายที่วันนั้นแม่บอกให้หนูไหว้ ไหว้เพราะอะไร




กำลังโหลดความคิดเห็น