“สมจิตร จงจอหอ” จะเก็บไว้เล่าชั่วลูกชั่วหลาน ชกถวายชีวิตจนชนะเป็นฮีโรเหรียญทองโอลิมปิก เพราะ “ในหลวง ร.๙” ทอดพระเนตร ภูมิใจเป็นนักกีฬาตัวเล็ก ๆ ที่สามารถทำชื่อเสียงให้ประเทศไทย ยกพระองค์เป็นพ่อผู้มีแต่ให้
อดีตฮีโรเหรียญทองโอลิมปิกปี 2008 “สมจิตร จงจอหอ” นำน้ำดื่มชาชักมาบริการประชาชนที่เดินทางมาถวายอาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก่อนเปิดใจเล่าชีวิตที่เป็นบุญ ครั้งหนึ่งในหลวง ร.๙ ทอดพระเนตรตนชกมวย จนคว้าชัยได้เป็นฮีโรเหรียญทองโอลิมปิก
“วันนี้ผมเอาชาชักมาให้พี่น้องชาวไทยได้ชิม เพราะชาชักเป็นอัตลักษณ์ของชาวใต้ ซึ่งผมชอบทานชาแล้วก็มีรสชาติที่อร่อย ผมก็อยากให้พี่น้องชาวไทยได้กินชาที่อร่อย และผมก็อยากให้คนไทยได้มีจิตอาสากันแบบนี้ เพราะได้เห็นภาพตามข่าว บางคนก็มาจากต่างจังหวัด บางทีก็มานอนสองถึงสามวันที่ท้องสนามหลวง ซึ่งในส่วนของอาหารการกินบางครั้งก็พอ แต่บางครั้งก็เหลือ และบางทีก็เหลือเยอะเกิน”
“แต่ต่อจากนี้ไปเราจะไม่ว่ากัน เพราะทุกคนก็เป็นจิตอาสาเหมือนกัน และการที่เห็นคนเยอะ ก็อยากให้ทุกคนอิ่มหนำสำราญ และสิ่งที่เราได้ทำมันเป็นความสุขที่ได้เห็นคนไทยสามัคคีกัน เป็นการให้ความรักต่อกัน แม้ว่าพ่อจะจากเราไปแล้วก็ตาม แต่ลูกทุกคนก็ยังรักกันสามัคคีกัน”
“ผมได้มีโอกาสมาส่งเสด็จท่านในวันที่ 14 ตุลาคม ที่โรงพยาบาลศิริราช รถตู้ก็เสด็จผ่านหน้าผมไป ซึ่งห่างจากหน้าผมประมาณซัก 10 เมตร วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่าน และเป็นครั้งที่ได้ใกล้ชิดที่สุดเลยก็ว่าได้”
เป็นบุญของ “สมจิตร” ในหลวง ร.๙ ทอดพระเนตรติดจอ และทรงให้ราชเลขาโทรศัพท์มาหาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ บอกตนชกถวายชีวิตจนชนะเป็นฮีโรเหรียญทองโอลิมปิก จะเก็บความภูมิใจไว้เล่าชั่วลูกชั่วหลาน
“ย้อนกลับไปตอนช่วงโอลิมปิกผมเป็นนักชกที่ไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ และตอนนั้นผมได้เป็นนักกีฬาตัวแทนประเทศไทยไปชกที่โอลิมปิก และบางครั้งกลับมาก็ไม่ได้เข้าเฝ้าฯ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะในวันหนึ่ง ผมมีความพยายาม มีความเพียรตามที่พระองค์ท่านเคยสอนเอาไว้ว่าถ้าหากเรามีความเพียร ความสำเร็จก็จะตามมา ผมก็เลยตัดสินใจว่าอีก 4 ปีต่อมา เพราะ 4 ปีจะมีโอลิมปิกสักครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นผมอายุ 30 กว่า”
“และในวันที่แข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทางสมาคมก็ได้บอกกับผมว่ามีราชเลขาในวังได้ โทร.มาบอกว่า ในหลวงทรงฝากมาให้กำลังใจ ชกให้เต็มที่ที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุด ทุกคนจะเป็นกำลังใจให้ และพระองค์ทอดพระเนตรผ่านทีวี ซึ่งเป็นบุญของสมจิตร จงจอหอ คนนี้เป็นอย่างมาก ผมจะทำงานตั้งใจ จะทำให้ดีที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการชกถวายชีวิต จะชกด้วยความไม่กดดัน ชกให้ดีที่สุด และเป็นการชกโชว์ให้พระองค์ทอดพระเนตรด้วย”
“และวันนั้นได้แชมป์เหรียญทองโอลิมปิก และพอชนะก็ได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นไปบนเวที ชูให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือพระเจ้าอยู่หัวของคนไทย พระองค์ท่านคือหัวใจของคนทั้งประเทศ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ พระองค์คือสัญลักษณ์ของประเทศไทย และเราเป็นแค่นักกีฬาตัวเล็ก ๆ ที่สามารถทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติได้เป็นความภูมิใจและดีใจมาก ๆ”
“ความรู้สึกวันนั้นที่เราได้ทราบว่าพระองค์ทอดพระเนตรผ่านทีวีขณะที่ผมกำลังชก ผมรู้สึกมีความภาคภูมิใจ และจะเก็บเรื่องนี้ไปเล่าสู่ชั่วลูกชั่วหลานว่าครั้งหนึ่งเคยได้ชกถวาย และพระองค์ท่านได้ส่งกำลังใจมาให้ และรวมไปถึงพี่น้องชาวไทยที่ร่วมส่งใจมาเชียร์อยู่ ผมตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องชกให้ดี จะต้องชนะ และการที่พระองค์ให้ท่านราชเลขา โทร.มาให้กำลังใจ จึงทำให้ครั้งนั้นเป็นการชก ที่ไม่กดดัน และเป็นการชกที่สวยงามมาก เป็นการชกที่มีความสุขและมีรอยยิ้ม ซึ่งจะเป็นภาพที่ผมจะจดจำไปตลอดชีวิต”
ไม่มีพ่อก็ไม่มีความเพียร ยกพระองค์ท่านเป็นพ่อผู้มีที่ให้
“ส่วนคำสอนที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็อย่างเรื่องของความเพียร ถ้าวันนี้พ่อไม่มีความเพียรก็จะไม่มีพ่อคนนี้ ความซื่อสัตย์ ความรู้จักตนเอง ความรู้จักอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ รวมไปถึงการเป็นผู้ให้ และคำสอนของพระองค์ท่าน นำความสุขมาสู่ตัวเรา แต่อยากจะฝากถึงทุกคนว่า ถ้าใครอยากจะมีความสุขเหมือนผม นี่แหละครับเอาคำสอนของพระองค์ท่านไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน”