“ซี ศิวัฒน์” ลั่นใช้เวลาทั้งชีวิต อธิบายความรักที่มีต่อ “ในหลวง” ไม่มีวันหมด เผยเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรชาวไทย ยกย่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้คนไทยไม่ตกเป็นทาสเงิน หลุดพ้นหนี้สิน ด้าน “เอมี่” น้ำตาคลอ ไม่มีวันเจอพระมหากษัตริย์แบบนี้อีกแล้ว
เป็นคู่รักจิตอาสาอีกคู่ที่นำอาหารและทำขนมมาแจกประชาชนที่มาถวายสักการะและถวายอาลัยพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำหรับ “ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์” และ “เอมี่ กลิ่นประทุม” โดยหนุ่มซีเผยว่าตนเคยเห็นพระองค์ทรงงานเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยหัวใจ ความรักที่มีต่อในหลวงอธิบายยังไงก็ไม่หมด ในความเศร้ายังเห็นความรัก
เอมี่ : “เพื่อน ๆ ชวนกันมา ก็มีแจกข้าว แจกน้ำ แจกทิชชู คอยช่วยอำนวยความสะดวกและคอยสร้างกำลังใจให้กันเพราะทุกคนกำลังเศร้า ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราพอทำได้เราก็จะนำมาสมทบ มีไก่ทอด ข้าวเหนียวด้วย ส่วนตัวมี่ได้ทำบราวนี่มาแจกเท่าที่พอจะทำไว้ค่ะ”
ซี : “ตั้งแต่เกิดเรื่องเราก็คิดว่าต่อจากนี้ความรู้สึกของเราจะเป็นยังไง ความรู้สึกเกิดขึ้นสองอย่างครับ อย่างแรกเราควรจะเสียใจที่พ่อต้องมาจากเราไป หรือกับอีกอย่างที่เราต้องดีใจเมื่อเห็นคนไทยกลับมารักกันกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมว่าวันนี้ความรู้สึกมันได้เกิดขึ้นทั้งสองอย่าง แต่ในฐานะที่เราเป็นคนไทยและพูดภาษาไทยเหมือนกัน เราต้องแสดงความจงรักภักดี แสดงความรักที่มีให้กันมากกว่าเดิม และทำหน้าที่ของพสกนิกรชาวไทยต่อไปให้ดีที่สุด”
“ผมว่าวันนี้มันเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งครับที่ได้เห็นว่าคนไทยรักพ่อมากขนาดไหน เราก็แค่เป็นส่วนหนึ่งที่มาให้กำลังใจ อีกอย่างพ่อแม่พี่น้องที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรมามากแต่อยากจะมากราบพ่อ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นคนเมืองอยู่ที่กรุงเทพฯ เรามีการเตรียมตัวที่ง่ายกว่า เราแค่มาช่วยอำนวยความสะดวกแค่นั้นเองมันไม่ได้มีอะไรมากเลย หลังจากเสร็จภารกิจนี้เราต่างคนก็ต่างต้องกลับไปรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในฐานะคนไทยต่อไป ปฏิบัติ บูชาต่อไป มีโครงการในพระราชดำริ หรือพระบรมราชโอวาทอะไรที่เราสามารถปฏิบัติได้เราก็ต้องทำต่อไป วันนี้เหมือนเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเราร้องเจ็บช้ำ เราคนไทยด้วยกันเราก็ต้องทำ อะไรที่เราทำได้เราก็ต้องช่วยเหลือกันครับ”
โชคดีที่สุดในโลก รักพ่อแค่ไหนอธิบายทั้งชีวิตก็ไม่หมด
ซี : “ต้องบอกว่าโชคดีที่สุดในโลกเลย ที่ผมมีโอกาสได้เขียนบทความตั้งแต่วันที่ทราบว่าพระองค์ท่านจากเราไป ผมมีโอกาสได้ทำโครงการอยู่หลายโครงการมาหลายปีมาก ได้อ่านข่าวในพระราชสำนัก ได้ดูพระบรมราโชวาทหลาย ๆ ตอน มันทำให้เราอินเข้าไปในสายเลือดมากแล้ว ถ้าใครถามว่ารักพ่อมากแค่ไหน ผมต้องบอกว่าคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการบอก”
"เราโชคดีมากที่ได้เกิดในช่วงรัชกาลที่ ๙ และผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้เห็นท่านทรงงานด้วยตาของเราเอง ผมได้ทำโครงการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมา 4 ปีแล้ว ได้เห็นมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 38 ที่ท่านเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการแก้มลิง โครงการฝนหลวง หรือโครงการอะไรต่าง ๆ”
“ผมเชื่อว่าคนไทยบางคนที่ไม่ได้รู้จักท่านก็จะรู้จักท่านมากขึ้น คนไทยท่านใดที่ไม่ได้รักท่านมากก็จะรักท่านมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน คือ มันต้องสัมผัสด้วยตัวเอง ต้องมองด้วยตาตัวเองจริง ๆ วันนี้ผมไม่อยากจะบอกว่าผมรักท่านมากแค่ไหน แต่ผมอยากจะปฏิบัติให้เห็นมากกว่าว่าความรักที่ผมมีให้ในฐานะคนไทยคนหนึ่งอยากจะสืบสานและส่งต่อ ตรงนั้นต่างหากที่จะเป็นเครื่องวัดว่าผมรักพ่อมากแค่ไหน”
ไม่อยากบอกแต่ขอปฏิบัติ อยากสานต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคนรุ่นหลัง ยกปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาแห่งการหลุดพ้น ไม่เป็นทาสเงิน ไม่เป็นหนี้
ซี : “ผมมีโอกาสถวายงานตลอด อย่างที่บอกจะทำเกี่ยวกับโครงการในพระราชดำรัสของในหลวง คือ ถ้าวันนี้จะพูดเดี๋ยวมันจะเหมือนเรามาโฆษณาตัวเองว่าทำอะไรมาบ้าง ผมว่าวันนี้ผมไม่ต้องบอกหรอกครับว่าผมทำอะไรมาบ้าง แต่จะบอกว่าผมจะทำอะไรต่อไปดีกว่า ผมจะปฏิบัติมันต่อไป และสิ่งที่ผมมีความรู้เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผมจะนำไปสืบทอดและส่งต่อคนรุ่นหลังว่าโครงการที่เราอยู่ดีกินดีจนถึงทุกวันนี้ใครเป็นคนต้นคิด”
“ก็ประทับใจในเรื่องของแง่คิดทุก ๆ อย่างเลยครับ อย่างปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมันเป็นปรัชญาแห่งการหลุดพ้น เป็นปรัชญาแห่งการเมตตาจริง ๆ ถ้ามนุษย์เราทุกคนยอมรับในข้อนี้ได้คุณคงไม่ต้องเป็นทาสของเงินทอง หนี้สิน เพราะคุณสามารถปลูกเอง กินเอง และเก็บไว้ดูแลซึ่งกันและกันได้เองโดยไม่ต้องหวังพึ่งใครแล้ว เหมือนมันเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วครับ”
เอมี่ : “อย่างที่คุณซีบอกว่าพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้รู้ว่าทุกคนรักกันมากขึ้น ทุกคนพร้อมใจอยากที่จะมากราบ เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีโอกาสได้มาอยู่ตรงนี้ เราก็ดีใจที่เห็นทุกคนตรงนี้ ทุกวันนี้เราได้เห็นคลิปพระราชกรณียกิจต่าง ๆ มันทำให้เรารู้จักท่านมากขึ้น ได้เห็นว่าท่านทรงทำอะไรมากกว่าเดิม จากที่ปกติที่เราเห็นแต่อาจไม่ได้ตั้งใจดูจริง ๆ พอวันนี้เราได้ตั้งใจดูมันทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาในช่วงสมัยนี้ เราคงไม่มีวันเจอพระมหากษัตริย์แบบนี้อีกแล้ว (น้ำตาคลอ)”