xs
xsm
sm
md
lg

รวมๆ แล้วมีเสน่ห์! “แฟนเดย์” ยอดเขาเอเวอเรสต์ของหนังรัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ปลายปีที่ผ่านมา การประกาศยุติดำเนินกิจการของค่าย จีทีเอช (GTH) หลังจากความสำเร็จอย่างล้นหลามของหนังเรื่อง “ฟรีแลนซ์” และ “เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ” ทำเอาคนรักหนังไทยเหวอกันไปไม่น้อย หลายคนแสดงความเศร้าสร้อยละห้อยหดหู่ผ่านโพสต์ทางสื่อโซเชียลว่า แล้วต่อไปจะมีหนังไทยดีๆ ให้ดูหรือ อะไรทำนองนั้น เพราะก็เป็นที่เข้าใจกันได้นะครับว่า ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา จีทีเอชเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความสุขความบันเทิงให้แก่คนดูหนัง เกือบ 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลงานที่กล่าวได้ว่าคุ้มค่าราคาตั๋ว ที่เหลือจากนั้นก็อาจจะมีหลุดๆ บ้าง แต่รวมๆ แล้วมีเสน่ห์

อย่างไรก็ตาม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เป็นที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า “พวกเขา” ไม่ได้หายไปไหน ผมเองเคยกล่าวไว้ในรายการวิวไฟน์เดอร์ ทางช่องซูเปอร์บันเทิง ว่าคนเหล่านี้เขายังมีชีวิตอยู่ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า แต่ละคนก็รักหนังเข้าไส้ ด้วยเหตุนี้ ตราบเท่าที่พวกเขายังอยู่ในวงการและมีกำลังเรี่ยวแรงดี เราก็มีโอกาสได้ชมผลงานของพวกเขาอยู่เช่นเดิม แต่จะผลิตออกมาในนามของค่ายไหนอย่างไร ต้องไปดูกันอีกที

และ ณ วันนี้ เราก็ได้เห็นการกลับมาของพวกเขากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นฝั่งผู้บริหารกลุ่ม “หับ โห้ หิ้น” (ตัว H ใน GTH เดิม) ซึ่งนำทีมโดยจิระ มะลิกุล, จินา โอสถศิลป์ และยงยุทธ ทองกองทุน ในนามของชื่อค่าย GDH 559 เริ่มดำเนินงานเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ใช้เวลาครึ่งปีกว่าๆ ก็มีผลงานออกมาให้เราท่านได้รับชม คือเรื่อง “แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว” นี้

ในเบื้องต้น ผมมีความเห็นว่า “แฟนเดย์” เปรียบเสมือนบทสรุปข้อหนึ่งซึ่งตอกย้ำความคิดของเราว่า “ตัวตนความเป็นจีทีเอช” นั้นแข็งแรงมาก ถึงแม้แต่ละคนจะแยกจากกันไปตามเงื่อนไขปัจจัยและเวลา แต่ทว่าแนวทางแบบที่จีทีเอชได้ปูทางสร้างฐานไว้นั้น คือประสบการณ์ล้ำค่าที่ติดตัวพวกเขาไปด้วย ในภาพรวมของ “แฟนเดย์” แม้จะได้ประทับตราจีทีเอชเหมือนดังเดิม แต่ “รูป รส กลิ่น เสียง” และสัมผัสทุกอย่าง ยังคงมีรูปรอยแบบที่จีทีเอชได้สร้างไว้ ครบครัน

“ฟีลกู๊ด ดูแล้วรู้สึกดี”
เราเคยได้รับประสบการณ์แบบนี้จากหนังจีทีเอชมาอย่างไร
เราก็ยังคงได้รับประสบการณ์แบบนั้นจากจีดีเอช 559 เช่นกัน...


“แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว” อันที่จริงก็เป็นเรื่องราวในทำนอง “ดอกฟ้ากับหมาวัด” เพียงแต่ต่างออกไปในรายละเอียด โดยตัวเรื่องเกี่ยวเนื่องกับตัวละครหลักๆ สองตัว...
คนแรกคือ “เด่นชัย” ที่ไม่ “เด่น” สมชื่อเอาซะเลย (เป็นมุกตลกร้ายของหนังชัดๆ!) เขาเป็นพนักงานแผนกไอที มีหน้าที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของออฟฟิศ และเพราะตัวตนของเขาที่ดูเงียบๆ แต่พอพูดออกมาแต่ละที เหมือนมีฝูงหมาวิ่งออกมาพร้อมคำพูด ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้มีตัวตนก็คล้ายไร้ตัวตน ไม่มีคนอยากสุงสิงด้วย แต่เขาก็อยู่ได้ ไม่มีตัวตนในสายตาใครก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่ในใจของเขายังมี “นุ้ย”

“นุ้ย” เป็นพนักงานแผนกมาร์เก็ตติ้ง รูปลักษณ์ของเธอ สามารถจะดึงสายตาของชายทุกคนให้หยุดนิ่งมองเธอได้ ด้วยบุคลิกหน้าตาที่สวยมีเสน่ห์ แม้กระทั่งผู้บริหารของบริษัทซึ่งมีลูกมีเมียแล้วยังพร้อมที่จะละสายตาจากครอบครัวมามอบหัวใจให้แก่เธอ และเธอก็ดูเหมือนจะชอบเสียด้วยสิ! แล้วอย่างนี้ ถามว่า “หมาวัด” อย่างเด่นชัยจะไปยังไงต่อ ถึงแม้จะเฝ้ามองด้วยรู้สึกแอบชอบแอบรัก แถมรู้รายละเอียดเกี่ยวกับนุ้ยแทบทุกอย่าง แต่ท่ามกลางสถานการณ์แบบที่ว่ามา แฟนพันธุ์แท้ที่อยากเป็นแฟนเธอ จะสำเร็จดังหวังหรือไม่อย่างไร
ก็ต้องเดินทางไกลไปถึงฮอกไกโด!

เนื้อเรื่องถัดจากนี้ คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องเล่านะครับ เพราะเราก็คงจะพอรู้คร่าวๆ แล้วว่า การภาวนาแล้วตีระฆัง รวมทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น คือเหตุการณ์สำคัญที่พาหนังไปข้างหน้าและเติมเต็มความฝันของเด่นชัยให้เป็นจริง แต่จริงๆ หนังยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะเลยครับ เล่าไม่ได้ ก็ต้องไปดูในโรง

“แฟนเดย์” กำกับโดย “โต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล” ... คนคนนี้ จะว่าไปก็คือขุมทรัพย์ของจีทีเอชเดิม ดีๆ นี่เอง เพราะงานกำกับเดี่ยวทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ทำเงิน ไม่ว่าจะเป็นกวนมึนโฮ (2553) ที่ทำรายได้ไป 125 ล้านบาท แต่ที่นับเป็นปรากฏการณ์จริงๆ ก็คือ “พี่มากพระโขนง” (2556) ซึ่งทำเงินไปมากกว่าหนึ่งพันล้านบาท และก็เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า ผลงานล่าสุดอย่าง “แฟนเดย์” ที่ทำกับจีดีเอช 559 ก็คงทำรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยล้านอีกเช่นเคย เพราะเท่าที่ดูจากกระแสแล้ว หนังไทยเรื่องนี้ได้รับเสียงชื่นชมเยอะมาก

ทุกๆ องค์ประกอบของหนัง ดูแล้วก็ต้องรับว่า ถูกออกแบบและสร้างมาอย่างพิถีพิถัน ไล่ตั้งแต่ตัวละครเอกที่อย่างน้อยๆ ผมเชื่อว่า “เด่นชัย” น่าจะสัมผัสใจใครหลายคนได้ คือว่าตามจริง แม้เด่นชัยจะเป็นผู้ชาย แต่ “เนื้อหา” และ “สถานะ” ของเขา ไม่ว่าผู้หญิงหรือใครก็สามารถจะมีประสบการณ์ร่วมได้ มันคือการแอบรักแอบชอบใครสักคน โดยมิกล้าจะเอ่ยปาก สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด นอกจากการแอบรักแอบชอบ ก็คือการแอบส่งผ่านสิ่งดีๆ ให้กับคนคนนั้น ไม่ว่าเขาหรือเธอจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ขณะที่ตัวละครอย่างนุ้ย ก็ไม่ได้ห่างจากโลกความจริงที่เป็นอยู่ หลายคนนะครับ เรารู้ว่าก็ชอบคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าเด่นหรือนุ้ย ทั้งคู่ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือ “แอบ” ... เป็นการแอบที่แนบอยู่กับความรักความชอบ ...

ตัวเรื่องนั้นไม่มีปัญหา หนังนำพาเราไปได้อย่างไหลรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ โดยภาพรวม ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่น่ารักมากกว่าจะเป็นหนังซึ่งทำให้เราตลกแบบหัวเราะเสียงดังๆ ครับ (ที่จริงมันมีมุกตลกแบบนั้นอยู่นะ!) แต่มันจะเป็นแบบดูไปยิ้มไป หรือหัวเราะหึๆ อยู่ในใจกับสถานการณ์ที่ออกไปในเชิงตลกร้าย แต่ในความเป็นหนังที่น่ารัก พอถึงบทจะซึ้ง พอถึงบทจะโศก ก็ทำเอาต่อมน้ำตาแตกไปเหมือนกัน

งานด้านภาพ นอกเหนือจากความ “สวย” อีกด้านหนึ่งยัง “สื่อ” ความหมาย อย่างภาพหิมะที่ถูกแกะสลักมาอย่างดี ผมเห็นว่าหนังใช้ประโยชน์จากภาพภาพนี้ได้ทรงพลังมากในการสื่อความหมายบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวละคร ขณะเดียวกัน อีกสิ่งหนึ่งซึ่งโดดเด่นมากๆ ก็คือ “ไดอะล็อก” หรือ “บทพูด” ที่หลายต่อหลายบท มีความคมคายและสื่อความหมายได้ลึกซึ้ง...หลายคำพูดอาจจะฟังดู “ลิเก” หน่อยๆ แต่หนังรักก็คงประมาณนี้ล่ะครับ ถ้าเป็นหนังรักแบบซาดิสม์ๆ พระเอกติสม์ๆ โหดๆ หรือนางเอกไม่หวาน ก็ว่าไปอย่าง...

สุดท้ายที่น่าพูดถึงคือนักแสดง เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี กับบทของชายผู้มีความรักที่ไม่อาจบอก ก็ถือว่ามาตรฐานกับการเป็นมืออาชีพด้านการแสดง ขณะที่คนซึ่งต้องกล่าวชมอย่างแรงก็คือนักแสดงหน้าใหม่ของจอเงิน “มิว – นิษฐา จิรยั่งยืน” ซึ่งโด่งดังทางด้านการแสดงละคร เธอเหมาะมากกับบทบาทของ “นุ้ย” ทั้งรูปลักษณ์หน้าตาที่ก็เป็นอย่างเด่นชัยว่า “ตกลงมาจากฟากฟ้ามานี่เจ็บไหม?” ส่วนการแสดงอะไรต่างๆ ทั้งบทน่ารัก บทเศร้า บทซึ้ง เธอก็ทำได้ถึงในฐานะมืออาชีพ คือพูดจริงๆ ต่อให้เด่นไม่ได้เป็น “แฟนเดย์” หรือแฟนกันแค่วันเดียว แค่เป็นแฟนนาทีเดียว ก็นับว่าหรูหรามากพอแล้วล่ะ

“รวมๆ แล้วมีเสน่ห์” ครับ! สำหรับงานชิ้นแรกของค่ายจีดีเอช 559
ก่อนหน้านี้หลายเดือน ตอนตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา “เก้ง – จิระ มะลิกุล” หัวเรือใหญ่แห่งค่าย GDH 559 ได้กล่าวเอาไว้ว่า “เวลาเราจะวัดความเจริญของประเทศใดประเทศหนึ่ง เรามักจะใช้หน่วยวัดเป็น GDP (Gross Domestic Product) หรือที่แปลว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ แต่สำหรับการทำหนัง การดูหนังสักเรื่องหนึ่งของคนในชาติ คิดว่าเราน่าจะมีหน่วยวัดเป็น GDH ย่อมาจาก Gross Domestic Happiness คือหน่วยที่จะวัดความสุขใจของผู้ชม และเป็นหน่วยที่จะวัดความสุขใจของคนทำหนังด้วยกันด้วย”

ณ จุดนี้ กับการที่มี “แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว” ถ่ายทอดสู่ผู้ชม ผมเห็นว่า จีดีเอช 559 ได้บรรลุในเป้าหมายของตนเองแล้ว ทีมงานทั้งหมดได้ร่วมกันสร้างสรรค์ความสุขมวลรวมให้กับคนดูหนังสำเร็จแล้ว
มันอาจไม่ใช่หนังที่ดูแล้วเริงร่าเบิกบาน หลีกหนีไปจากโลก
แต่มันคือเรื่องราวดีๆ ที่มีความโศก มีความซึ้ง ที่ดึงเราให้กลับมาย้อนถาม ถึงคุณค่าของความรัก ถึงคุณค่าของคนที่รักเรา และเราควรรัก จริงๆ

มีบทพูดบทหนึ่งซึ่งผมเห็นว่าดีมาก เป็นการหยิบมาใช้อุปมาอุปไมยให้กับความรักในเรื่องได้อย่างเหมาะสม บทพูดนั้นพาดพิงถึงเรื่องสองเรื่อง ... เรื่องแรกเป็นเรื่องของ “ฟิลิปป์ เปอร์ตีต์” (ที่ถูกนำมาทำเป็นหนัง Man on Wire และ The Walk) ผู้ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเดินข้ามจากตึกหลังหนึ่งเพื่อไปยังตึกอีกหลังหนึ่ง ด้วยการเดินไต่บนเส้นลวดกลางอากาศ ส่วนอีกเรื่องเกี่ยวกับความต้องการจะปีนเขาเอเวอเรสต์ของใครหลายๆ คน พร้อมทั้งให้เหตุผลว่าเพราะอะไร พวกเขาเหล่านั้นถึงยอมลำบากลำบนเพื่อปีนป่ายพาตนขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขาดังกล่าว

ไม่ว่าความรักของ “นุ้ย” หรือความรักของ “เด่น” จะได้ข้ามไปอีกฟากของอาคาร หรือปีนไต่ไปจนถึงจุดสูงสุดแห่งยอดเขาเอเวอเรสต์ สมความปรารถนาหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับจีดีเอช 559 ...ถ้าเอเวอเรสต์ของจีดีเอชฯ คือความสุขมวลรวมของคนดูหนัง ผมเห็นว่าแฟนเดย์ไปถึงยอดเอเวอเรสต์แล้ว หรือถึงไม่ใช่ยอด แต่ก็ใกล้เคียง
หนังรัก ทำได้ขนาดนี้ ก็สมควรได้รับความรักครับ!











ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น