“โบว์ แวนดา” น้ำตาซึมกลับบุรีรัมย์ รับคิดถึง “ปอ ทฤษฎี” สงสาร “พ่อสงวน” หลบมุมไปร้องไห้ในไร่ คิดถึงลูกชาย ยันจะไม่แยกจากครอบครัวปอ แม้วันนี้สามีจะไม่อยู่แล้ว ย้ำเป็นสิ่งสำคัญที่ปอเหลืออยู่ ชี้ 70 วันที่สามีป่วยเป็นช่วงเวลาซื้อใจ เปิดใจปฏิเสธหนัง ประเมินแล้วคงไร้ความสามารถ ไม่อยากเป็นตัวถ่วงใคร
ยังมีช็อตเรียกน้ำตาอยู่เรื่อย ๆ สำหรับ “โบว์ แวนดา สหวงษ์” และลูกสาวตัวน้อย “น้องมะลิ พาขวัญ สหวงษ์” ล่าสุด ทั้งคู่ได้กลับไปทำบุญที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งทำให้แฟนคลับพากันสะเทือนใจกับช็อตน้องมะลิยืนนิ่งมองรูปพ่อปอหน้าเจดีย์บรรจุอัฐิอยู่ไม่น้อย โดยโบว์เปิดใจระหว่างมาร่วมงาน ในงานเวิลด์แก๊ส เติมพลังไฟให้ใจอบอุ่น ยันจะไม่ทอดทิ้งครอบครัวสามี
“ไปทำบุญพี่ปอค่ะ ตอนแรกก็บอกคุณแม่ว่าจะไปดูบ้านที่คุณพ่อคุณแม่สร้างเสร็จแล้ว คุณพ่อก็จะให้เข้าไปดู แล้วก็บอกว่าโซฟายังไม่มีนะ ทีวียังไม่มีนะ โบว์ก็บอกว่า งั้นพ่อก็ไปซื้อเลย พอซื้อมาใส่บ้านก็ดูคุณพ่อเขามีความสุขมากค่ะ เพราะคุณพ่อพี่ปอเขาจะไปไร่ทุกวัน กลับทีก็ทุ่มหนึ่ง แล้วบอกว่า เวลาอยู่ไร่พอมองไปไกล ๆ เหมือนเขาเห็นพี่ปอตลอดเวลา”
“อันนี้ก็เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ในไร่ และในบ้านก็จะมีของพี่ปอหมดเลย ของใช้เวลาที่พี่ปอไปเที่ยวไหนแล้วเขาก็จะซื้อกลับมา ก็จะใช้ตกแต่งทั้งบ้านหมดเลย ไปปุ๊บก็จะรู้สึกว่าเป็นบ้านของพี่ปอ (ยิ้ม) เห็นแล้วน้ำตาซึม (ยิ้ม) ก็นึกถึงเขา วันนั้นที่เข้าไป ก็มีออนแอร์รายการตีสิบพอดี ทุกคนอยู่บ้านที่บุรีรัมย์ พ่อเขาก็รีบปลีกตัวไปที่ไร่ เพราะอยู่ ๆ แกก็หายไปเลย ไปนั่งอยู่ที่ไร่ ร้องไห้ แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็น”
รับบ้านไร่เป็นความฝันของปอ บอกอยากมีไร่ใหญ่ ๆ ให้พ่อได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณ
“มะลิก็วิ่งเล่นค่ะ คือ เขาได้มีโอกาสไปกับพี่ปอมาแล้ว 2 - 3 ครั้ง ก็จะไปเดินตรงที่โบว์เคยเดินไปกับพี่ปอกับมะลิ เดินไปตรงจุดเดิม นั่งตรงขอนไม้ที่เดิม แต่ยังไม่ได้นอนบ้านที่ไร่ค่ะ ไปนอนที่บ้านที่บุรีรัมย์ แต่ถ้าว่างก็จะไปอีกค่ะ เพราะคุณปู่เตรียมที่นอนไว้ให้แล้ว บ้านน่ารักค่ะ อยู่สบาย (ยิ้ม)”
“คุณปู่ไปนอนแล้วค่ะ คุณย่าก็ไปบ้าง แต่เราก็ยังห่วง ๆ เพราะเวลากลางคืน มันก็มืด แต่คุณปู่ติดบ้านที่ไร่มากค่ะ แทบไม่ได้อยู่บ้านที่บุรีรัมย์เลย ไปอยู่ที่ไร่ คุณย่าก็จะเตรียมเสบียงไปให้ทุกเช้า คุณปู่ก็จะยกเสบียงไปแล้วก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่เลย เขามีความสุขมากค่ะ เพราะแรกเริ่มก่อนจะมีไร่ พี่ปอเคยคุยกับคุณพ่อไว้ว่าวันหนึ่งปอจะมีไร่ใหญ่ ๆ ให้พ่อให้ได้ และพอคุณพ่อเขาเกษียณ เขาก็จะไม่มีงาน เนื่องจากมีโรคประจำตัวด้วย พี่ปอก็เลยหาอะไรที่ให้คุณพ่อทำแล้วมีความสุข ก็ได้ไร่นี้มา พอได้มาคุณพ่อก็ทำโน่นทำนี่จนสุขภาพแข็งแรงขึ้น ถือเป็นฝันของพี่ปอเลยล่ะค่ะ (ยิ้ม)”
ในวันที่ไม่มีปอ ยังรักครอบครัวสามี และยังรักมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่ปอเหลืออยู่
“ยังเหลืออะไรเหรอ คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ปอ คือ ครอบครัวค่ะ คุณพ่อคุณแม่เป็นบุคคลที่พี่ปอรักมากที่สุด เพราะฉะนั้นถึง ณ วันนี้ไม่มีพี่ปอ ก็จะบอกคุณพ่อคุณแม่ตลอดว่า ความรักเรายังคงเหมือนเดิม และมันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จะไม่มีคำว่าพอไม่มีพี่ปอแล้วต่างคนต่างอยู่”
“ตอนแรกคุณแม่ก็จะมาอยู่ที่ไร่ แต่ก็กลัวเราอยู่ไม่ได้ เพราะเราอยู่กับมะลิสองคน เราก็บอกว่าโบว์อยากให้อยู่ เพราะทุกครั้งที่เปิดประตูเข้ามาโบว์อยากเห็นใครก็ได้สักคนอยู่ในบ้าน แต่พอมันไม่มีก็ไม่เป็นไร เอาความรู้สึกแม่ไว้ก่อน เพราะถ้าโบว์กับน้องออกมางาน แม่ก็อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ แม่นั่งทุกที่ ทุกอย่างมันคือของพี่ปอหมด ก็เลยบอกให้อยู่บุรีรัมย์แหละเพื่อนก็เยอะ เวลาไปไหนก็ง่าย ขี่มอเตอร์ไซค์ไปก็ถึง”
“ตอนนี้คุณแม่ก็ยังห่วงตลอด คอยถามว่าวันนี้ไปไหน ทำอะไร เหนื่อยมั้ยลูกถามทุกวัน เพราะบ้านพี่ปอยังไงก็ต้องอยู่ เคยมีแพลนว่าจะย้ายบ้าน แต่พอไม่มีพี่ปอแล้วโบว์ก็ต้องอยู่ โทร.มาบ่นคิดถึงมะลิทุกวัน (หัวเราะ) ไลน์หากัน วิดีโอคอลหากันบ้าง เห็นหน้ากันทุกวันค่ะ”
ย้ำไม่จากไปไหน 70 วันที่ปอป่วยเป็นช่วงเวลาซื้อใจ
“ถ้าว่างโบว์ก็จะพามะลิไปค่ะ เพราะทุกครั้งที่มะลิเห็นเจดีย์พี่ปอก็จะเรียกพ่อปอจ๋า ๆ เหมือนได้พาเขาไปหาด้วย คุณพ่อเขาก็กังวลกลัวว่าโบว์จะไปอยู่ที่อื่น (หัวเราะ) เพราะช่วงที่ป่วย 70 วัน ก็กลัวว่า ถ้าไม่มีพี่ปอแล้วครอบครัวเราจะเป็นยังไง จะแยกกันอยู่มั้ย เขาคงทำใจไม่ได้ถ้าไม่ได้เจอมะลิ เพราะมะลิก็อย่างที่เห็นหน้าเหมือนพี่ปอเป๊ะเลย (ยิ้ม)”
“ก็เลยบอกเขาว่าตราบใดที่เรายังรักกัน โบว์ก็จะอยู่อย่างนี้ เรื่องอนาคตจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ทุกวันนี้โบว์รักทุกคน เราผ่านมา 70 วัน มันซื้อใจกันหมดแล้ว และความรักมันก็เพิ่มภายใน 70 วัน อนาคตโบว์ไม่ได้คิด แต่ทุกวันนี้โบว์ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
รับปฏิเสธหนังไปแล้ว ยันบทดีแต่กลัวตนเป็นต่วถ่วง ประเมินความสามารถแล้วยังไม่ถึง
“เรื่องหนังปฏิเสธไปแล้วค่ะ คือ บทก็ดีนะคะ แต่เรารู้สึกว่าความสามารถเราไม่ถึง ก็เลยยุติไปเลย ก็เสียดายโอกาสดี ๆ ค่ะ แต่พอมานั่งประเมินตัวเองแล้วความสามารถเราไม่ถึง คือ จะเล่นหนังทีอยู่ ๆ ไปเล่นก็คงไม่ได้ ก็ต้องไปเรียนโน่นเรียนนี่ เวลาก็ไม่ค่อยมี เลยปฏิเสธไปก่อน บทก็ได้อยู่ค่ะ แต่พอเราต้องมาเป็นตัวหลัก เราก็กลัวจะไปฉุดดาราท่านอื่น เสียเวลาคนอื่น รอให้มีเวลาดีกว่า เพราะทุกวันนี้ก็แทบไม่มีเวลาแล้วค่ะ ก็ตัดสินใจเองค่ะ ขอให้มีเวลา ขอให้ได้เรียนอะไรก่อน ไม่ใช่ว่าจับพลัดจับผลูอยู่ ๆ ก็เข้าไปทำเลย”