มหิดล จับมือออแกไนซ์ ลากไส้ “หม่อมหลวง” โกงเงินจัดค่าคอนเสิร์ต โขกค่าตัวเดอะสตาร์ 1.5 ล้าน เบิกเงิน 3.5 ล้าน ทั้งที่มีเครื่องดนตรี 5 ชิ้น แสงสีเสียงธรรมดา ซ้ำยัดเงินสมาคมฯ ให้ 7 แสน หวังให้จบเรื่อง ฮึ่ม! ให้เอาเงินมาคืนมหิดล ถ้าไม่เคลียร์ไม่จบเตรียมเจอกันที่ศาล ย้ำมีหลักฐานเป็นคลิปเสียง
สร้างความฮือฮาอยู่ไม่น้อย กรณีที่มีการเปิดโปงว่า “หญิงระดับหม่อมหลวงไฮโซชั้นสูง” โกงเงินจัดคอนเสิร์ตการกุศล “สร้างรอยยิ้มเพื่อผู้ยากไร้และด้อยโอกาส” ทำการแสดงไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค. วัตถุประสงค์หารายได้สมทบทุนมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และมูลนิธิคณะทันตแพทย์มหิดล ซึ่งสามาคมศิษย์เก่าคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เป็นโต้โผในการจัดงาน และมีการแสดงจากนักร้องจากเวทีเดอะสตาร์และเคพีเอ็นร่วมด้วย
ล่าสุด สมาคมศิษย์เก่าคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล ประกอบด้วย “ทพ.นิติพันธ์ จีระแพทย์” นายกสมาคมฯ “ทพ.ประดิษฐ์ เจษฎาไกรสร” เลขาสมาคมฯ และ “เชน ประดิษฐ์ สมดังเจตน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์พีช ออร์กาไนเซอร์ จำกัด ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกรณีทุจริตดังกล่าว
ทพ. นิติพันธ์ : “คาดไม่ถึงในเรื่องที่เกิดขึ้นเลยนะครับ ก่อนอื่นก็ขอแนะนำเลยนะครับ ผมเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่า ของทันตแพทย์ เพิ่งมาเป็นสมัยตอนเกิดเรื่อง (หัวเราะ) คุณประดิษฐ์ เจษฏาไกรสร เป็นลขาธิการของสมาคม คุณเชน เป็นกรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์พีซ ออร์กาไนเซอร์ จำกัด
“ในการจัดงานคอนเสิร์ตของสมาคมเนื่องจากในวาระของคณะครบรอบ 48 ปี ทางสมาคมมีวัตถุประสงค์อยู่หลักอยู่ 4 ข้อ คือ จะทำงานเพื่อสาธารณกุศล เนื่องจากอาจารย์เคยเป็นรองอธิบดีมาหลายสมัยมาก ผมก็พยายามจะดึงให้นักศึกษามาร่วมบําเพ็ญประโยชน์ เราจะจัดงานใหญ่ในสโมสรเพื่อฟันที่คุณรักจะจัดทุกปีที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วในงานจะให้ลูกศิษย์ช่วยกันเพื่อหาเงินบริจาคเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากทำมาร่วมกันเกือบ 30 ปีต่อเนื่อง พอถึงสมัยของผมมาเป็นนายยกสมาคมมีดำริในใจอยู่แล้วว่าจะจัดงานใหญ่เพื่อครบรอบ 48 ปีเพื่อดึงเรื่องเกี่ยวกับสาธารณะประโยชน์มาร่วมด้วย ซึ่งจะหาเงินบริจาคให้กับเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากในกับมูลนิธิของเราเอง”
“ซึ่งมูลนิธิของเราเป็นมูลนิธิเราทำเพื่อสังคม ของพระองค์ท่านก็เยอะกว่าเราอีกเพราะว่าท่านทำไปทั่วประเทศเลยแต่ของเราจะมีหน่วยพระองค์ท่านของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ออกไปสู่ชายแดนต่าง ๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายเยอะพอสมควรในปีหนึ่งที่ไปทำให้กับนักเรียนชายแดนทำมาเป็นหลายสิบปีเช่นเดียวกัน ก็เลยมีความดำริว่าถ้าทำงานจะหาเงินมาบริจาคมันต้องมีอีเวนต์เกิดขึ้น อยู่ดี ๆ จะไปขอเงินใครโดยไม่มีกิจกรรมเป็นไปไม่ได้ก็ ก็เลยจัดอีเวนต์”
“สมาคมศิษย์เก่าอยากจะหาเงินสักก่อนหนึ่งเพื่อตั้งกองทุนเพื่อเกื้อกูลศิษย์เก่า ซึ่งจะเห็นว่าทำไมทันตแพทย์ถึงเกื้อกูล มองทางสังคมทันตแพทย์คงมีเงินเยอะจริงๆ บางคนในทีมอย่าเพิ่งคิดว่าแต่ละคนมันจะเหมือนกันนะครับ เพราะบางคนมีกรรมเก่าของเขาที่ไม่ค่อยดีชาติก่อนชาตินี้เราก็ไม่รู้ ถ้าเกิดมีลูกต้องมาตายก่อนเด็กที่ตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เลยคิดว่าจะตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเขาก็เลยมีการจัดอยู่ 3 ข้อ การจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้จะทำให้เกิดการกับเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก”
“เรื่องที่ 2 คือ มูลนิธิเกิดเกื้อกูลศิษย์เก่านะครับ ทีนี้ที่มาของการที่เรามารู้จักกับการเกิดปัญหาขึ้นต้องบอกว่าไม่ได้มาฟ้องหมิ่นหรือประมาท ผมไม่ได้ออกชื่อนะครับ คือ ผมไม่รู้จักส่วนตัวมาก่อนเลย รู้จักเพราะลูกน้องผมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เก่าของที่ผมเคยเกษียณ เขาเป็นลูกน้องผมเสร็จแล้วเขารู้จักกับผู้ควบคุมคนนี้ร่วมกับเป็นกรรมการมูลนิธิด้วยกัน มีการเล่าผลงานให้ผมฟังหลายอย่างมาก เป็นนักสังคมสงเคราะห์เป็นคนดีมากได้ช่วยเหลืองานคอนเสิร์ตต่าง ๆ ได้เงินตั้งหลาย 10 ล้านแล้ว ก็เราเห็นผลงานอยู่ในมูลนิธิจัดในตอนปลายปีที่แล้วเดือนพฤศจิกายน งานราตรีซึ่งเขาสามารถเอานักร้องของเอ็กแซ็กท์มา โดยที่ครั้งนี้มีนักร้องดัง ๆ นะครับ มีคุณกัน เดอะสตาร์ คุณโดม ประมาณนี้มาในงาน”
“เราก็คิดว่าถ้าจัดคอนเสิร์ตถ้าสามารถให้เขาช่วยเราก็คงจะได้เงินค่าใช่จ่ายตรงนี้แพงแล้วก็ได้รับการยืนยันจากประธานมูลนิธิ คือ เวลาเราจัดงานมูลนิธิจะเป็นแกนใหญ่แล้วก็จะมีคณะกรรมการดำเนินงานสำหรับงานนี้ ก็คือ สมาคมศิษย์เก่าโดยที่มีประธานท่านก็บอกว่าไม่อยากให้มีออแกไนเซอร์ อยากให้คนมาช่วยจัดเฉย ๆ เวลาสมมติเกิดมีค่าใช้จ่ายก็ให้ บวกไปซัก 10% ค่าแสงสีเสียงดนตรีของเราก็ให้บอกไป 10% เป็นค่าดำเนินการเรา ถึงได้เชิญตั้งแต่งานราตรีได้เชิญมาคุยกันว่าจะช่วยจัดได้มั้ย ท่านก็บอกว่าได้แล้ว ก็จะเอานักร้องมามีใครบ้าง พอบอกชื่อมาเราก็ชื่นชม มีตั้งแต่ 8 คน นักร้องที่จะมาจากเอ็กแซ็กท์ แต่ละคนเป็นดาราดังทั้งนั้นเลย เราก็คาดหวังไว้ว่าจะได้ขายบัตรอย่างหรูมากมายโดยที่แบ่งเงินนะครับเป็นสองก้อนว่าประมาณในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ จะมีคนมาซื้อบัตรไม่รวมสปอนเซอร์ต้องมีรายได้ประมาณ 5 ล้านบาทแล้ว 5 ล้านนี้ เป็นครึ่งหนึ่งของของสมาคมที่จัดขาย ส่วนหนึ่งก็จะพยายามช่วยเพื่อให้มีแฟนคลับมาซื้อ เราก็มองในมุมบวกยังไงก็ได้ 5 ล้านแน่ ๆ อยู่ในมือไม่รวมสปอนเซอร์ที่เราจะได้ แต่ปรากฏว่าเราก็ต้องขอวงเงิน เพราะสมาคมมีตั้ง 19 คนเราก็ต้องขอวงเงินประมาณกันว่าจะได้เท่าไหร่ในงานครั้งนี้”
“เราก็ต้องขอวงเงินประมาณกันว่าบัดเจ็ตคนนี้เท่าไหร่ในงานครั้งนี้ก็โดยวิธีนะครับก็มองจากที่เราเคยจัดคอนเสิร์ตครั้งที่แล้ว ถ้าออแกไนซ์ประมาณ 7 แสน เราก็มาหารเลยครับว่าสมมุติจำเป็นต้องช่วยไม่ควรจะเกิน 3.5 ล้าน ก็เลยทำบัดเจ็ตกับสมาคมไว้ว่าขอ 3.5 ล้าน พอเสร็จแล้วไปคุยกับท่านนี้ว่าขอให้จัดแม็กซิม่าไม่ให้เกิน 3.5 ล้านแล้ว ก็มีค่าแถลงข่าวอีกหนึ่งแสนครับ เสร็จแล้วก็มีการดำเนินงานต่อเนื่องมา 2 เดือนกว่า”
“ปรากฏว่าก็มีการเบิกเงินเป็นตอน ๆ แล้วก็ไม่มีใบเสร็จเลยครับเพระเขาเขียนเป็นค่าดำเนินงานครั้งละสามแสนถึงสี่แสน ความที่เราไว้วางใจ แต่จริง ๆ ในการทำงานอะไรก็ตามยังไม่เสร็จสิ้นไม่ได้ขอใบเสร็จอยู่แล้วเพราะมันต้องจบงานแล้วมาเคลียร์เงินต้องเอาใบเสร็จมาดูกันว่าจริงๆ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็เลยทยอยให้ไปรวมทั้งสิ้น 2.6 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้ผมก็ยอมรับว่าผมให้ไปด้วยความไว้วางใจจริง ๆ ถ้าไม่ไว้วางใจก็คงจะไม่ได้จัดงานไม่ได้แน่ ๆ”
บอกจัดคอนเสิร์ตไม่ได้ดั่งใจ คาดไม่ถึงเบิกเงินถึง 3.5 ล้านเต็มงบประมาณ
“ธรรมะก็บอกไว้ว่าคนที่เราไว้ใจที่สุดมีสิทธิ์ที่จะโกงเราได้ มีคนตำนิผมว่าทำไมถึงปล่อยให้เขาโกงไปได้ผมก็ขอชี้แจงเลยว่าเพราะความไว้วางใจครับเราจ่ายไปที่ละต่อจนเป็น 2.6 ล้านก็เหลือก้อนสุดท้าย พอผมจัดคอนเสิร์ต ปรากฏว่า คอนเสิร์ตไม่ได้ดั่งใจเลยเราเคยจัดคอนเสิร์ตใหญ่มากนะครับ ตอนนั้นครั้งที่ 1 ก็เป็นวงดนตรีของอาจารย์สุกรี เจริญสุขซึ่งมีดนตรีตั้ง 100 ชิ้น ซึ่งเป็นวงดนตรีของเอสตาร์ครับ แต่งานนี้เคยบอกแล้วว่าประธานมูลนิธิท่านพูดว่าต้องวงดนตรีที่ใหญ่กว่างานราตรีที่เราจัดเดือนธันวาคมที่ผ่านมา”
“ตอนนั้นเล็กมากอยากให้มีวงดนตรีที่มันอลังการกว่านั้น ก็บอกกับคนจัดไปว่าผู้ควบคุมกับลูกน้องของเขาทำให้อลังการหน่อย ผลปรากฏว่า ในงานจริง ๆ วงดนตรีแค่ 5 ชิ้นแสงสีเสียงก็ธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรเลย แล้วพอสุดท้ายพองานจบปรากฏว่ามาเบิกเงิน 3.5 ล้านเต็ม ผมก็คงยังคิดว่าถ้าได้เงิน 3 ล้านได้งานแค่นี้ท่านควรจะมาเคลียร์กับเรา ควรเอาเงินมาคืนผมด้วยซ้ำ แต่ผมคิดในแง่ดีนะว่าไม่ควรจะถึง 3.5 ล้านหรอก ปรากฏว่ามาเบิก 3.5 ล้านเต็ม”
“แล้วตอนนั้นเวลาเครียดเราเป็นคนไม่บ่นให้ใครฟัง ผมก็พยายามอดทนแล้ว อีกอย่างผมว่าจบงานแล้วต่อไปนี้ผมก็จะไม่คุยกับเขาอีกแล้วผมก็เลยบอกว่าต่อไปนี้สมาคมไม่ใช่ของผมคนเดียว เป็นของทุกคน เพราะนั้นต้องให้กรรมการเข้ามาแอ็กชั่นด้วย ผมเลยเชิญอาจารย์รัตนา ซึ่งเป็นนายกฯ มาช่วยจัดการเรื่องนี้หน่อย ต่อรองเรื่องราคา ผมก็บอกว่า 3.5 ล้านมันไม่สมเหตุสมผล หมอรัตนาเลยบอกน่าจะให้หมอประดิษฐ์ดีกว่าเพราะหมอประดิษฐ์เป็นคนพูดเก่งพูดตรงไปตรงมา ผมก็เลยโอเคจากนี้ไปผมก็มอบอำนาจให้เลขาธิการของสมาคมฯ ต่อรอง”
“ที่ผ่านมา ลูกน้องมาเล่าว่ามีคนมาช่วยทำคือคุณเชนแต่เราไม่เคยคุยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณควบคุมการผลิตไปคุยกับเชน ไปคุยกับเอ็กแซ็กท์ อาจารย์ไม่เคยรู้เรื่องเลย เพราะเราไว้ใจลูกน้องเราที่ไปคุยกับประสานงาน ลูกน้องที่มีตัว ห. ขึ้นหน้า เป็นคนประสานงานให้กับคนที่ควบคุมการผลิตว่าเขาไปติดต่อกับคุณเชนยังไง ยังไม่เคยรู้เรื่องเลยจนในที่สุดมารู้อีกทีตอนที่คุณประดิษฐ์เล่าคือวันที่แถลงข่าว ผมเพิ่งเห็นหน้าเชนว่าเป็นอย่างนี้นะวันแถลงข่าว ผมก็จ่ายไปหนึ่งแสน ผมมีเงินอยู่แค่นี้เพราะผมขอสมาคมไว้แล้ว คุณเชนเขาก็จัดมาให้อย่างดี มีนักร้องดัง ๆ 5 คนวันนั้นมีกัน เดอะสตาร์ ประมาณ 4 - 5 คน มีแก้ม วิชญาณี มาด้วย เราก็ดีใจมากเลย เขาก็กระซิบบอกผมว่างานครั้งนี้เขาบริจาคให้มูลนิธิ 260,000 บาท เขาบอกกับผมอย่างนี้ ผมก็งง ๆ บริจาคยังไงผมเพิ่งให้ไปหนึ่งแสน มาบริจาคยังไง 260,000 บาท เรื่องก็จบลงอย่างนี้ เพาะไม่เข้าใจกันไม่เคยคุยกัน เป็น 3 เดือนที่ผมทนทรมาน”
“ทพ.ประดิษฐ์ เจษฎาไกรสร” เลขาธิการสมาคมฯ รับเริ่มเอะใจค่าตัวนักร้องค่ายเอ็กแซ็กท์ 8 คนโขกถึง 1.5 ล้านบาททั้งที่เป็นงานการกุศล
“จริง ๆ ผมก็ไม่รู้รายระเอียดในการจัดงาน เพราะพอจัดงานเสร็จแล้วก็คิดว่างานจบเรียบร้อยแล้ว แล้วอาจารย์กับพี่แก้วก็คือเป็นนายกบริหารบอกว่าหมอประดิษฐ์ ช่วยพี่หน่อยสิ เพราะค่าใช่จ่ายมันแพงเหลือเกิน ดูแล้วมันไม่เหมาะสม ช่วยไปดูราคาให้หน่อย ช่วยต่อรอง ผมก็บอกพี่ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย แต่เดียวผมจะไปคุย ก็ส่งรายละเอียดมาให้เราดูว่ามีค่าใช่จ่ายอะไรบ้าง เสร็จทางโน้นก็โทร.มาหาผมเรื่องจะขอเงินที่เหลือว่าทางอาจารย์บอกว่าให้คุยกับผมเพราะผมเป็นคนพิจารณารายจ่าย ผมดูรายการเสร็จ 3 วันแรกก็ไม่เข้าใจ เวที 1.4 ล้านค่าโน่นค่านี่ ผมไม่เข้าใจเลยแต่มีข้อเดียวที่เอะใจคือค่านักร้อง 1.5 ล้านบาท ผมก็เลยสงสัยนักร้อง 8 คน จะรู้ได้ไงว่า 1.5 ล้าน”
“พอดีผมมีคนไข้ที่เป็นพวกนักดนตรีนักร้องก็เลยถามเขา เขาก็บอกว่าถ้างานการกุศลไม่น่าจะถึงนะครับ คุณหมอลองดูเพราะว่าถ้าเป็นนักร้องมาปกติถ้าจ้างกันตอนเย็นร้อง 10 เพลงก็ 100,000 บาท แต่นี่ทั้งหมด 27 เพลงดารามาเยอะก็เพลงละ 20,000 ถ้า 3 เพลงก็ 60,000 ถ้า 8 คนก็ 480,000 เราก็ว่างานใหญ่คูณด้วยสองก็หนึ่งล้าน แต่แจ้งมา 1.5 ล้าน เราบอกผมขอต่อสัก 500,000 บาท เพราะว่ารู้สึกมันจะแพงไปเขาบอกไม่ได้หรอกครับ ที่จัดมา 3.5 ล้าน กดราคาอีเวนต์ บัดเจ็ตที่ขอมาแล้ว ทางออแกไนเซอร์ลดให้เราไปทั้ง 700,000 กว่าแล้ว ทางนี้ก็ช่วยมาเต็มที่แล้ว เราก็เลยยืนยันว่ามันแพงจริงๆ ถ้าจะขอค่านักร้อง 1.5 ล้าน ผมขอให้ทางต้นสังกัดซึ่งเป็นแกรมมี่ส่งใบค่าตัวมาเป็นการยืนยันว่า เป็นค่าตัวนักร้องจริง ๆ 1.5 ล้าน ทางนั้นเขาก็ไม่มีแล้วก็หายไป สักพัก โทร.มา คุยไปคุยมาสุดท้ายเขาก็ทำรายการมาว่าค่านักร้อง คือ 800,000 กว่าบาท ค่าโน่นค่านี่จัดการ เราบอกว่าขอจริงๆ ขอลดจะลดได้เท่าไหร่ ครั้งสุดท้ายเราต่อได้คือ 250,000 บาทแต่เราไม่รู้รายเอียดจริง ๆ”
“ตอนที่ต่อเขา 500,000 บอกเขาลดได้ 1 แสนบาท เขาเอาไปบริจาคในมูลนิธิก็แล้วกัน เราไม่มีข้อมูลจริงๆ แต่เขาก็ยืนยันว่าขอต่อขอลดราคามากกว่านี้เพราะเราต้องการได้เงินมาช่วยมูลนิธิ จริงๆ ต้องการช่วยเหลือตามโครงการจริง ๆ พอสุดท้ายต่อรองได้ 250,000 เราก็มาแจงทางอาจารย์ว่าตกลงเขายอมลดให้ 250,000 บาท เดี๋ยวอาจารย์ก็จัดการต่อเพราะผมไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวให้คุนเชนเล่ารายละเอียดอีกทีนะครับ”
ออแกไนซ์รับโพสต์เฟซบุ๊กแฉ งานกุศลเป็นงานอกุศล เอะใจสมาคมฯ ไม่มีบัดเจ็ตให้ แถมยังควักเงินส่วนตัวจ่ายด้วย รับเรื่องมาโป๊ะแตกหลังขอใบอนุโมทนา
“ขออนุญาตเริ่มเลยนะครับ สรุปแล้วโปรเจกต์มีเงินตั้งไว้ตั้งแต่แรก คือ 3.5 ล้าน แต่ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์จะให้ใช้ถึง 3.5 ล้าน จึงเกิดการต่อรองขึ้นบวกกับอีก 100,000 บาท ที่ใช้ในการแถลงข่าวทั้งหมดทั้งปวงมีเงินอยู่ 3.6 ล้านนะครับ ประเด็นของผมไม่มีอะไรมาก ผมรู้จักกับผู้ควบคุมการผลิตท่านนี้ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่และรุ่นน้องที่อักษรศาสตร์ จุฬาฯ พอดีจบสถาบันเดียวกันเขาก็เห็นว่าผมทำอะไรมา อาชีพของผมคือผมทำอีเวนต์ ออแกไนเซอร์ ผมเป็นผู้จัดละคร ผมเป็นผู้จัดการดารา ผมสอนหนังสือ หลายอย่างนะครับ เขาเห็นผมว่าทำงานตรงนี้มานานเขามาชวนผม การชวนครั้งแรก ได้โทร.ติดต่อผมมาแล้วก็ถ้านัดหมายพูดคุยเจรจากับผมที่สยามพารากอน ที่เราจะจัดงานกัน การพูดคุยครั้งแรกเกิดขึ้นโดยมีเจ้าตัวและบวกกับเจ้าหน้าที่ ที่ขึ้นตันด้วย ห. แล้วก็อีกหนึ่งคนที่ผมเขียนไว้ในเฟซบุ๊กของผมว่าเป็นนักข่าวสายข่าวราชสำนัก ป.”
“3 คนนี้เดินเข้ามาหาผมประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์มาพูดกับผมว่าโอเค คณะแล้วก็สมาคมจะจัดงานคอนเสิร์ตการกุศลนี้ โดยจะเอาเงินไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ ส่วนหนึ่งจะถวายท่านเพื่อเข้ามูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก ผมก็บอกว่าผมยินดีที่จะช่วย เพราะว่าทางบริษัทของผมจะบริจาคให้อยู่แล้วกับองค์กรการกุศลต่าง ๆ ตามกำลังที่ผมมีอยู่ ผมก็ถามว่าแล้วจะให้ผมช่วยอะไรบ้าง เขาก็ให้ผมช่วยดูแลเรื่องโปรดักชันทั้งหมดให้ ให้ควบคุมฝ่ายผลิตต่าง ๆ ให้ ก็รับปาก ครั้งแรกที่ผมบอกว่าจะจัดงานคอนเสิร์ตให้อยู่ ๆ ก็จะมีการแถลงข่าวเกิดขึ้นมาซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนนะครับ ผมก็ช่วยจัดงานคอนเสิร์ตในการแถลงข่าวนี้ให้อย่างที่บอก ผมไม่เคยรู้จักอาจารย์มาก่อนเลย เป็นครั้งแรกในงานคอนเสิร์ตที่เราจัดงานแถลงที่พารากอน”
“เสร็จงานแล้วผมไปบอกอาจารย์ว่าอาจารย์วันนี้ค่าใช่จ่ายทั้งหมดผมขอนะครับผมขอบริจาคให้ทางสมาคมแล้วผมขอใบอนุโมทนาด้วยนะครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดงานครั้งนี้คือ 260,000 บาท ผมก็พูดกับอาจารย์ อาจารย์ก็มองหน้าผม งงไปงงมา ผมก็ไม่รู้เรื่อง ผมก็โอโค ก็ขอบคุณกันก็จบ จบกันไปเสร็จผมก็ดำเนินการไปเรื่อย ๆ ในเรื่องของการทำงานที่จะเกิดขึ้นจริง ในวันที่ 1 พฤษภาคม ระหว่างการดำเนินงานมีค่าใช่จ่ายอยู่หลายประการที่เกิดขึ้นอย่างเช่นค่าวงดนตรีทางเอ็กแซ็กท์โทร.มาหาผมบอกว่าเราจัดงานคอนเสิร์ตก่อนครั้งนี้ที่ศูนย์วัฒนธรรมมันก็ใหญ่มากมีดนตรีแค่ 5 ชิ้นเหรอ มันอาจจะไม่เหมาะสมนะ ผมก็ไปปรึกษาคนที่ใช้ชื่อว่าผู้คุมการผลิตว่าทางนี้จะเอายังไง ผมเป็นคนดำเนินการผมจะเพิ่มดนตรีนะเพราะผมก็ทำมาหลายงานแล้ว เขาก็ยืนยันไม่มีบัดเจ็ตในการกุศล เพราะฉะนั้นผมก็เลยตัดสินใจบอกกับลูกน้องว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร 5 ชิ้นก็ 5 ชิ้นมีเงินเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น แม้กระทั้งผ้าไปติดไว้ก็จะให้ผมออกเพิ่ม”
“ในที่สุดแล้วเรื่องที่ผมไปประชุมศูนย์วัฒนธรรมไปประชุมกับสำนักพระราชวังในงานนั้นเพื่อจะเตรียมการต้อนรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ ในงานนั้นทางของเราก็ได้บอกว่าในงานจะต้องมีวงดุริยางค์มารับเสด็จเพื่อตอนรับอย่างสมพระเกียรติ ผมเองก็มีค่าใช่จ่ายอื่นๆ อย่างเช่นอาหารต่าง ๆ ประชุมครั้งนั้นก็เดินออกมากับ 3 คน ผู้ควบคุมการผลิต แล้วก็เจ้าหน้าที่ทางมหิดล แล้วก็นักข่าวคนนั้น ผมก็ถามต่อหน้าเขาตอนนั้นก็เข้าใจว่าอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ทำไมทางสมาคมจะจัดงานไม่มีบัดเจ็ตสักบาทเลยเหรอ ค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาค่าวงดุริยางค์ จะให้ผมออกอีกเหรอ เพราะว่าตอนนี้เท่าที่ผมรู้ตอนแรกผมตั้งใจจะช่วยบริจาค 500,000 แต่ตอนนี้มันไปแล้ว 700,000 บาท ทำไมทางสมาคมถึงไม่มีบัดเจ็ตตั้งอะไรไว้เลยนะครับ 3 คนก็ส่ายหน้าแล้วก็บอกกับผมว่าไม่มีบัดเจ็ตตั้งเอาไว้”
“ผมก็โอเคไม่มีบัดเจ็ตตั้งเอาไว้แล้วจะทำยังไง ท้ายสุดนะครับ ผู้ควบคุมการผลิตก็ โทร.มาบอกผมเอาแบบนี้นะเงินค่าวงดุริยางค์เดียวพี่จะช่วยให้เป็นเงินส่วนตัวของพี่ จะช่วยสมทบทุนให้เราก็โอเค ยินดี ผมก็ช่วยในส่วนที่ผมทำได้เขาก็ช่วยในจุดที่เขาทำได้ก็ยินดี ก็เกิดคอนเสิร์ตนี้ขึ้นมาจนกระทั้งคอนเสิร์ตสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผมได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กหนึ่งภาพว่าจัดงานคอนเสิร์ตนี้เสร็จแล้ว ทั้ง 2 ท่านได้เขาไปคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กขอบคุณคุณเชนมากสำหรับการอนุโทนาในครั้งนี้ ขอให้บุญกุศลเจริญยิ่งขึ้น ๆ”
“หลังจากนั้น ผ่านไปหนึ่งเดือนผมก็ โทร.ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ลูกน้องเป็นคนโทร.บอกว่าถามถึงเรื่องของใบอนุโมทนาว่าเมื่อไหร่จะได้เพราะมันสิ้นเดือนแล้วตัวผมเองทำงานในรูปแบบบริษัทเอาเงินออกไปผมก็ต้องมีเรื่องขอราคาว่าผมเอาเงินออกไปทำอะไรบ้าง ต้องชี้แจงให้ได้เช่นเดียวกัน ก็ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมอยู่ครับกำลังทำ ท้ายที่สุดบอกว่ากำลังจะส่งให้เราก็ว่าทำไมถึงส่งไปรษณีย์มาให้เอกสารสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่ โทร.มาบอกเราก่อนจะได้เตรียมรับว่ายังไง”
“ท้ายสุดเขาก็ถามสมาคมก็ยังไม่เอามาให้นะครับ จนกระทั่ง 2 เดือนผ่านไปก็ไม่ได้ ท้ายสุดผมก็ โทร.ไปหาผู้ควบคุมว่าตกลงมันยังไงกันเรื่องใบอนุโมทนาบัตร ผมถามไปทางสมาคมก็บอกไม่รู้เรื่อง ถามทางพี่ช่วยไปจัดการให้หน่อย เขาก็บอกว่าตอนนี้พี่คุยกับสมาคมไม่ได้แล้วเพราะว่าทะเลากับอาจารย์ ผมเลยถามว่าแล้วมันเรื่องอะไรของผม เมื่อเขาไม่ยอมคุย ผมก็ต้องโทร.มาที่สมาคมเองว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดเหตุอะไร ก็ได้มีโอกาสได้คุยกับผู้จัดการสมาคม เขาบอกว่าจะออกเป็นใบขอบคุณ ผมเลยบอกว่าใบขอบคุณผมไม่ต้องการคนมาขอบคุณผมเยอะแล้ว พอแล้ว ขอใบอนุโมทนานะ ขอนะ เขาก็บอกว่าให้ไม่ได้ ผมเลยถามว่าทำไมให้ไม่ได้ ก็มันมีการตั้งเบิกจ่ายไปแล้วนี่เงินน่ะทำไมจะเอาเงินด้วยเอากล่องด้วย”
“ประโยคนี้เองก็เป็นประโยคที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาถามความจริงว่ามันอะไรยังไงกัน เอาทั้งเงินทั้งกล่องนี่หมายความว่ายังไง ผมก็ โทร.ไปหาเจ้าหน้าที่ถามว่าอะไรยังไง ก็ไม่สามารถตอบอะไรผมได้ ผมก็เลยบอกว่าเอาเบอร์มา เอาเบอร์ของนายกสมาคมมาเดี๋ยวผมจะขอนุญาต โทร.หานะครับก็ได้เบอร์ของนายกสมาคม เรื่องนี้ถือว่าสวรรค์มีตาเพราะตอนที่ผม โทร.มาชื่อจริงของผมชื่อประดิษฐ์ คุณหมอที่เป็นเลขาท่านก็ชื่อท่านประดิษฐ์เหมือนกัน ผม โทร.เข้าไปมือถืออาจารย์ตอนแรกจะไม่รับด้วย พอผมบอกว่าประดิษฐ์อาจารย์ก็นึกว่าคุณหมอประดิษฐ์ผมก็ได้คุยกับอาจารย์ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจารย์ก็พูดให้ผมฟังบางส่วนแล้วอาจารย์ก็ส่งเอกสารมาให้ผม 5 หน้า”
“เอกสารใบแรกรายละเอียดงานใช้จ่ายการผลิต มีหัวข้อเรื่องของค่าออกแบบเวที ค่าจัดทำเวที ค่าอุปกรณ์แสงสีเสียง ค่าอุปกรณ์เทคนิค ค่าเช่ารถบรรทุก ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ ค่าจัดทำวิดีโอ ค่า OB ค่าซาวนด์คอนโทรล ค่าสวิตชิ่ง ค่าดรายไอซ์ ค่าไวร์เลส 23 ตัว ค่าโปรเจกเตอร์ ค่าลำโพง ค่าบริหารจัดการจำนวนเงินทั้งหมด 1,455,000 บาท ผมเรียนอาจารย์ว่าผมเห็นเอกสารแล้วไม่สบายใจ ผมเลยต้องขอเข้ามาประชุมกับทางสมาคมว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะครับ”
แฉยับหม่อมหลวงขอยัดเงินสมาคม 7 แสนหวังให้จบเรื่อง
“ผมชี้แจงอย่างนี้นะครับว่า ข้อที่ 1 ค่าออกแบบฉาก กับข้อที่ 2 กับค่าจัดทำเวทีฉาก จะเกิดก้อนนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนบริจาคให้ ข้อที่ 3 ค่าติดตั้งและรื้อถอนเวลาผมทำงานผมคือผู้กำกับเพราะฉะนั้นแสงสีเสียงตรงนี้จะเอาอะไรมาติดตั้ง ต้องดูสเปกก่อนว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ผมเห็นสเปกผมจะรู้ทันทีว่าราคาตลาดควรจะอยู่เท่าไหร่ สำหรับกรณีทางลูกน้องกับทางที่เอาแสงสีเสียงโดยคนที่เป็นนักข่าวที่ชื่อ ป. เป็นคนเอาแสงสีเสียงแล้วเรื่องกล้องเขามา ก็สรุปว่าอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อไปผมขอชี้แจงค่าอุปกรณ์เทคนิคด้วย ค่าเช่ารถบรรทุกอุปกรณ์ต่าง ๆ การจัดทำแสงสีเสียงไม่มีครับ เพราะว่ามันอยู่ในข้อขอแสงสีเสียงอยู่แล้ว เวลาคิดก็คิดแค่ของเดียวนะครับ”
“เรื่องค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตทุกแผนกจำนวน 40 คน ผมก็เรียนอาจารย์ว่าเจ้าหน้าที่ที่เห็นในงานทั้งหมดคือเจ้าหน้าที่ของผม 30 กว่าคน 40 กว่าคนไม่ได้มีคนไหนข้างนอกที่เข้ามาเลย คนที่ผมเอามาก็คือผมเป็นคนจ่ายเงินให้ เพราะค่าใช่จ่ายตรงนี้ไม่มีนะครับ ต่อไปค่าจัดทำวิดีโอ อันนี้ไปร่วมในข้อแสงสีเสียง แล้ว OB ก็คือกล้องคอนโทรล ค่าสวิตชิ่ง ค่าดรายไอซ์ ไม่มีนะครับ ค่าไวร์เลสอันนี้ผิดปกติมาก คอนเสิร์ตมีนักร้องแค่ 9 คนเดอะสตาร์ 8 คน KPN 1 คน แต่ไวร์เลสกลับคิดตั้ง 23 ตัวไม่รู้ว่าให้ใครร้องนะครับ ก็มีแค่ 9 คนนะครับ ต่อไปค่าโปรเจกเตอร์และค่าวงโยธวาธิตกลับมาปรากฏอยู่ในนี้ ทั้ง ๆ ที่บอกว่าเงินส่วนตัวช่วยเหลือนะครับ ค่าลำโพงค่าบริหารจัดการไม่มีนะครับ เพราะมีค่าบริหารฝ่ายผลิตอยู่ตรงนี้แล้วทั้งหมด 1,455,000บาท ผมบอกอาจารย์ตรง ๆ ในที่ประชุมตรงนั้นว่าก้อนนี้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ๆ ไม่เกิน 4 แสนต้น ๆ สำหรับค่าผลิตทั้งหมดในส่วนนี้ เพราะฉะนั้นเงินของอาจารย์จะหายไป 1 ล้านบาทนะครับ สำหรับหน้าที่หนึ่งนะครับ”
“รายละเอียดต่อไปเรื่องค่าดนตรีนะครับ ผมชี้แจงอย่างนี้นะครับ 1. ค่าเช่าห้องซ้อมดนตรีตั้งแต่ 9.00 - 17.00 น. เหมาจำนวน 3 วัน ผมเป็นคนกำกับ ทีมงานของผมเป็นคนไปดูการซ้อมทุกครั้งเพราะฉะนั้นผมขอยืนยัน ณ ตรงนี้ว่าการซ้อม การเช่าห้องดนตรีเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวที่อาร์ซีเอ ห้องซ้อมดนตรีนะครับ ไม่ใช่ 3 วัน 1 วันเท่านั้น 2. ค่าเรียบเรียงเพลงจำนวน 29 เพลงนะครับ จำนวนเงิน 10,000 กว่าบาทนะครับ อันนี้เขียนมาโดยคนที่เขียน อาจจะไม่ได้มีความรู้มากเท่าไหร่นะครับ เพราะว่าจริง ๆ ค่าเรียบเรียงเสียงต่อเพลงถ้าในท้องตลาดจริง ๆ แล้วคือเพลงละ 5,000 บาทต่อเพลงนะครับ แต่นี่ 29 เพลงทำไมถึงเป็นแค่ 15,000 แต่ในความเป็นจริงผมก็บอกอาจารย์ว่า 29 เพลงไม่ใช่นะครับ เพราะนักร้องเดอะสตาร์มาร้องเพลง เพลงก็คือเพลงที่เขาร้องประจำเพลงที่เขาร้องในเดอะสตาร์อยู่แล้ว ไม่มีการทำเพลงใหม่เลยในงานนี้เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ไม่เกิดค่าใช้จ่ายต่อไปนะครับ”
“3. ค่าเช่ารถรับ - ส่งขนเครื่องดนตรีนักดนตรีและเจ้าหน้าที่นะครับ ข้อนี้ผมก็บอกอาจารย์เช่นเดียวกันว่าเวลาที่เราเช่าเครื่องเสียงมา ปกติค่าเครื่องดนตรี มันจะถูกเหมาในเครื่องเสียงอยู่แล้ว ก็คือต้องเช่ามาจากซัพพลายเออร์เดียวกัน ไม่มีการแยกเพราะเวลาทำงานมันจะยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้นข้อ 3 นี่ค่าใช้จ่ายก็จะไม่เกิดขึ้นมาเดียวกันนะครับ 4. ค่าตอบแทนนักดนตรีและเจ้าหน้าที่วันซ้อมและวันจริงจำนวน 5 คิว อย่างที่ผมเรียนตอนแรกการซ้อมเกิดขึ้น 1 ครั้งเท่านั้นที่ห้องซ้อมดนตรี แล้วก็มาซ้อมใหญ่ ในการแสดงจริงในวันที่ 1 พ.ค. ตอนเช้าตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพราะฉะนั้นการซ้อมที่บอกว่าจำนวน 5 คิวเกิดขึ้นจริง ๆ แค่ 1 คิว เพราะวันจริงเราก็ถือว่าเป็นวันซ้อม คือ การแสดงสดแล้วก็จำนวนไม่สูงมากถึง 250,000 บาท ผมว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับค่านักดนตรี 5 คนแล้วจะคิดค่าใช้จ่ายถึง 250,000 บาท เพราะฉะนั้นตรงนี้ของอาจารย์หายไปอีกหลายแสนนะครับ ข้อต่อไปนะครับ ค่าศิลปินนักร้องและค่าบริการจัดการ ขอเท้าความก่อนนะครับ จากที่คุณหมอประดิษฐ์ ส่งมาครั้งแรกเป็นค่านักร้อง 1.5 ล้าน แต่พอถูกท้วงติงไปก็เลยเบรกดาวน์มาเป็นค่าตอบแทนศิลปินนักร้อง 8 คน 870,000 บาท ผมก็ถามกับไปสมาคมว่า สมาคมได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ไปที่ซีเนริโอจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นงานการกุศลแล้วทำหนังสือขอความอนุเคราะห์แล้วมันจะถึงได้ยังไง 870,000 บาท”
“2. ค่าตอบแทนผู้จัดการศิลปินและเจ้าหน้าที่ทีมงาน 8 คน จริง ๆ เวลาเราทำงานทุกอย่างมันจะรวมอยู่ในค่าก้อนเดียวกันทั้งหมดมันไม่มาเบรกดาวน์อะไรตรงนี้หรอกครับ ต่อมาค่ารถตู้รับ-ส่งศิลปินและทีมงานวันซ้อมวันละ 2 คัน 3 วันก็ไม่มี อย่างที่ผมเรียนซ้อมแค่วันเดียวแล้ววันจริงก็ไม่มีรถตู้มารับ-ส่งด้วย เพราะว่าศิลปินขับรถมาเอง ก็มีคนเห็นว่าศิลปินขับรถมาเองกันหลายคนนะครับ ค่าจ้างช่างแต่งหน้าทำผมไม่ว่า ค่าเครื่องแต่งกายไม่ว่า ค่าอาหารไม่ว่า ผมมาติดใจตรงที่ข้อ 10 ค่าบริหารจัดการอีก 400,000 บาท ออแกไนเซอร์ทั่วไปปกติเวลาคิดค่าบริหารจัดการจะคิดเบ็ดเสร็จในยุคนี้ ก็ประมาณ 10% 12% แต่ถ้าคุณเบิกงานมูลค่า 3 ล้านบาทขึ้นมา เมเนจเมนต์ก็ไม่ควรจะเกินสามแสนหรือสามแสนสอง แต่นี่เมเนจเมนต์กลายเป็น 4 แสน ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่ และคำว่าไม่ใช่ของผมในที่นี้หมายความว่าการบริหารจัดการทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ผู้ควบคุมการผลิตท่านนั้น อยู่ที่บริษัท ผมเป็นคนทำทั้งหมด เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการบริหารจัดการไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเอกสารนี้เป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ได้ ผมบอกอาจารย์ในที่ประชุมว่าถ้าได้เงิน 3,600,000 ไปจริง ๆ ตามที่เขาต้องการ รวมถึงจะลดหย่อนไปเข้ามูลนิธิอะไร 600,000 จะบริจาคก็ตามหรือ 3.5 ล้านแล้วนี่เขาจะมีเงินเหลือนะครับ จากการทำกิจกรรมที่ได้ชื่อว่าการกุศล หรือถึงประมาณ 2.5 - 2.8 ล้านนะครับ”
“เมื่ออาจารย์ส่งเอกสารมาผมได้พยายามติดต่อเพื่อที่จะขอพูดคุยว่าเอกสารที่ส่งไปเก็บเงินเนี่ยมันคืออะไร ผมไม่สบายใจเพราะว่ามันมีส่วนที่ผมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยบางส่วน ผมพยายามให้มาชี้แจงพูดคุยกับผม ผมส่ง LINE ไปทิ้งไว้หนึ่งวันไม่ตอบ วันที่สองโทร.มาหาผมแล้วก็ตอบ คงไปคิดตั้งสติก็เลยโทร.มาหาผม คำตอบก็คือว่าอย่างที่อาจารย์พูดนะครับ ทางสมาคมมีการต่อรองต่อราคากันอยู่ จ่ายเงินไปแล้ว 2,600,000 กว่าบาทเหลือเงินค้างอยู่ประมาณ 800,000 กว่าบาท คำตอบของผู้ควบคุมการผลิตท่านนี้ก็มาบอกผมว่าเงินที่ผมบริจาคให้อนุโมทนาให้ทั้งหมด 700,000 บาทนี้ ขอเป็นว่าหากเขายินยอมที่จะให้ผมไปรับเงินกับสมาคม 700,000 บาทผมก็ถามว่ามันเกี่ยวอะไรกัน”
“คำถามของผมคือคุณรู้ตอนไหนว่ามีเงินตั้งไว้ 3,500,000 บาท แล้วมาบอกผมว่างานนี้งานกุศลทั้งหมด คุณรู้ตั้งแต่ตอนไหน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกตามหลักฐานที่มีการโอนเงิน รู้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่มีการโอนเงินครั้งแรก แต่คุณมาคุยกับผมประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์แล้วคุณยังให้คำตอบว่านี่คืองานการกุศล ผมว่าอันนี้มันไม่ใช่นะครับ ข้อที่ 2 ที่ผมถามเงินบริจาคของผม ผมตั้งใจอยู่แล้วว่าผมจะบริจาคทุกบาททุกสตางค์ให้กับทางสมาคม ผมขออย่างเดียวขอให้ได้ใบอนุโมทนามาหักภาษีกับบริษัทผมเท่านั้น เขายืนยันว่าเขาจะยกเงินที่เหลือกับสมาคมอีก 7 แสนกว่าบาท ให้กับผมแล้วก็จบกันไปนะครับ อันนี้ผมก็ถามว่าผมจะไปเอาเงินสมาคมได้หรือ ในเมื่อสมาคมยังเหลือเงินไม่เพียงพอเลยที่จะไปทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือจะไปถวายเข้ามูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก จะให้ผมไปเอาได้ยังไง”
“หรือแม้กระทั่งค่าตัวเขาเองจะเอาเงินสดมาจ่ายผม 700,000 กว่าบาท ผมก็ไม่สามารถรับได้ ถ้าผมรับก็หมายความว่าผมอาจจะถูกคนมองว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการ ผมไม่ขอรับนะครับ เพราะฉะนั้นจากเอกสารหลักฐานทั้งหมด ทั้งหลักฐานเรื่องของการโอนเงินแล้วก็เอกสารการเรียกเงินนี้ก็เป็นเหตุให้เขาโทร.กลับมาหาบอกว่าให้รับไป 7แสนแล้วจบ ผมไม่สามารถทำได้ รับไม่ได้นะครับ คำว่ารับไม่ได้คือรับเงินไม่ได้ ถ้าจะรับกันผมบอกว่าให้เอาเงินมาคืนที่สมาคมทั้งหมดแล้วมาตกลงกันทั้ง 3 ฝ่าย ผมพูดกับเขาว่าให้พี่พิจารณาให้ดีก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรลงไป เขาถามผมในโทรศัพท์ว่าผมจะทำอะไร ผมบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงหรอกแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงจริงๆ สิ่งที่ผมทำแค่อยากโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวของผมเล่ากรณีที่เกิดขึ้นมาให้ฟังว่างานการกุศลครั้งนี้ ผมใช้แฮชแท็กว่างานกุศลกลายเป็นงานอกุศลนะครับ หลังจากผมโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวของผมแค่หนึ่งครั้ง เรื่องนี้ก็เป็นกระแสข่าวในโลกออนไลน์ที่ไปเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ทุกคนเกี่ยวพันกันหมดหรือแม้กระทั่งเอ็กแซ็กท์ก็ตาม ทุกคนต้องการจะทราบความจริง ผมโพสต์ใน Facebook ว่าผมขอให้พี่คิดดี ๆ ทำดี ๆ ตั้งสติดี ๆ เอาเงินทั้งหมดกลับมาคืนแล้วมาเคลียร์กันใหม่ ใช้ไปเท่าไหร่เหลือเท่าไหร่มาคืนเท่านั้นแล้วมาคุยกัน 3 ฝ่ายแล้วผมจะจบ คำว่าจบของผม ผมจะขออนุญาตบอกกับทางสมาคมและผู้เกี่ยวข้องหลาย ๆ ฝ่ายว่าขอจบตรงนี้ไม่เอาเรื่องเอาความกันต่อไปนะครับ”
“เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่ามีการเอาเรื่องของผมไปพูดจากับสังคมประมาณว่าตัวผมตกงานไม่มีงานทำ ผมวิ่งไปหาเขา เขาสงสารเขาก็เลยพาผมมาหาอาจารย์ อาจารย์สงสารก็เลยให้ผมช่วยจัดงานคอนเสิร์ตให้ ถ้าผมตกงานจริงๆ ผมต้องมาวิ่งหางานการกุศลทำเหรอ แล้วต้องบริจาคถึง 700,000 บาทเหรอครับ มันไม่เมคเซ้นส์เพราะข้อนี้คนในสังคมฟังไม่ขึ้นก็เปลี่ยนเรื่อง บอกว่ามีการเข้าใจกันผิดหรือใช้คำว่ามิสคอมมูนิเคชั่น มิสคอมมูนิเคชั่นในที่นี้หมายความว่า ตอนแรกผมตกลงกับเขาว่าเป็นงานการกุศล อยู่ ๆ เสร็จงานแล้วผมจะขอมาเรียกเก็บเงินเขาก็พยายามจะหาเงินมาให้ผมให้ได้ 700,000 บาท แล้วทำไมคุณถึงต้องวิ่งไปหาเงินมาให้ผม 700,000 บาท ผมก็บอกว่าผมไม่ได้ต้องการเงินผมทำเพื่อที่ผมจะบริจาคเงินให้มูลนิธิเพื่อไปช่วยผู้ป่วย เพื่อไปเข้ามูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สิ่งเดียวที่ผมถามตอนนั้นคือเรื่องของความยุติธรรมที่ผมตั้งใจบริจาคให้กับสมาคม ผมตั้งใจบริจาคให้กับมูลนิธินี้มันหายไปไหน มันตกไปอยู่ในมือของใคร”
“แบ่งกันเท่าไหร่ผมไม่สนใจ ผมถามว่ามันหายไปไหน ทั้งหมดทั้งปวงเรื่องก็กลับมาที่อาจารย์ก็กลับมาที่การพูดคุยกันระหว่างผมกับอาจารย์อีกครั้งหนึ่งว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้เราจะเอายังไงกันดี เพราะว่าทางสมาคมก็เสียหายทางผมก็เสียหาย ในส่วนของผมที่เสียหายผมชี้แจงไปแล้วว่าเสียหาย 700,000 บาทที่ผมเสียไปที่ตั้งใจบริจาคให้องค์กรการกุศล กลับไม่ถึงองค์กรการกุศล เสียหายหนักที่สองคือเสียหายในเรื่องของชื่อเสียงอย่างที่ไปโฆษณาว่าร้ายผม ในสังคมออนไลน์หรือว่าไปโพทะนาที่อื่นไปหมิ่นประมาทว่าผม อันนี้ก็สุดแล้วแต่นะครับ แต่สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดก็เป็นความจริง ผมเลยกลับมาปรึกษากับอาจารย์ว่า อาจารย์ครับเอายังไงดี เรื่องนี้มันคงไม่ได้หยุดเฉพาะวงในแล้ว เราคงจะต้องเปิดเผยให้กับสาธารณชนเขาทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ใช่ว่าคนโน้นพูดทีคนนี้พูดทีแล้วก็ไม่มีหลักข้อมูลอะไร เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจนะครับทั้งผมและทางฝ่ายสมาคมผมได้ไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทางสมาคมก็ส่งตัวแทนไปลงบันทึกประจำวันไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าผมไปบันทึกประจำวันแล้วบันทึกข้อความเท็จผมจะโดนเล่นงานเอง ผมย้ำอีกหนึ่งครั้งว่างานนี้ตั้งวงเงินไว้ 3,500,000 บาทบวกกับค่าแถลงข่าวอีก 100,000 นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องการทำคือต้องการจะโกงเงินให้ครบ 3,600,000 ให้ได้โดยที่ไม่ดูเลยว่างานนี้คืองานการกุศลนะครับ”
มหิดลยันเป็นผู้เสียหาย อยากให้มาเคลียร์ค่าใช้จ่ายเบิกเกิน ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย
“ขอบคุณนะที่ให้รายละเอียดทั้งหมด คือ สรุปนะครับว่าเราเป็นผู้เสียหาย เราคือสมาคม จุดประสงค์คือว่าอยากจะให้มาเคลียร์เรื่องเงินที่เบิกเกินเราทั้งหมดมาคืนนะครับ ถ้าไม่งั้นก็ต้องดำเนินตามกฎหมายต่อ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่เรา ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างสุดท้ายที่คุณเชนได้บอก เราได้คุยกันแล้วหลังจากที่เกิดเรื่องนะครับก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
ด้านออแกไนซ์จ่อฟ้องเพิ่มเป็น 2 คดี ซัดคนเก่งคนดีควรเป็นคนเดียวกัน
“ขออนุญาตแล้วกันนะครับ ผมเองต้องขอเรียนอย่างนี้นะครับทางอาจารย์ก็ได้บอกแล้วว่าคงจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนทางผมเองผมเรียนกับอาจารย์ตั้งแต่แรกผมไม่ได้เกี่ยวข้อง ถ้าผมรับเงิน 700,000 บาท จากทางสมาคม หรือรับเงินจากเขาไปผมจบแล้ว ผมไม่ต้องเอาอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเราคือคนไทยนะครับ เราทุกคนมีหน้าที่ที่จะช่วยกันป้องกันการทุจริตไม่ให้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แล้ว ว่าถ้าเราปล่อยให้มันเกิดขึ้นมันอาจจะไปเกิดกับคนอื่นต่อแล้วมันจะเป็นความเสียหายระดับชาติต่อไปนะครับ”
“ซึ่งเป็นข้อที่ผมบอกอาจารย์ว่าผมคงยอมไม่ได้ ถ้าผมพูดเท็จ ผมถามหน่อยว่าผมจะยกเอาตัวเองมาทำไม ผมทำงานของผมทุกวันมีความสุขอยู่แล้วผมสอนหนังสือผมไปกำกับทำละคร ผมทำอะไรทุกวันผมมีความสุขอยู่แล้ว ทุกวันนี้ถ้าใครรู้จักผม จะไม่เห็นผมว่างเลยซักวันหนึ่ง ผมก็ทำงานของผมทุกวัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดมันคือความเสียหายที่ผมได้รับเช่นเดียวกัน ความเสียหายของผมนี้มูลค่าประมาณ 700,000 เท่านั้น แต่ความเสียหายของทางสมาคมมูลค่า 2 ล้านกว่าบาทเพราะฉะนั้นครับอาจารย์ก็ได้บอกไปเลยว่าทางสมาคมจะดำเนินจัดการกับทางกฎหมายต่อไป ทางผมเองในส่วนตัวผม ทางบริษัท มาสเตอร์พีช ออร์กาไนเซอร์ จะดำเนินไปตามกฎหมายคู่กับทางอาจารย์นะครับ”
“เราอยากให้ทางสังคมทราบว่าเราเสียหายยังไง เนื่องจากการจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้มันเป็นเงินบริจาคของศิษย์เก่าด้วยแล้วก็ของสปอนเซอร์นะครับ แล้วเงินที่เข้ามายังอยู่ในบุ๊กของความโปร่งใสว่าไม่ได้เข้ามาส่วนตัวผม แต่เข้าไปมูลนิธิของธนาคารกรุงเทพนะครับ เป็นเงินคอนเสิร์ตโดยเฉพาะเลย ตอนนี้ยังไม่ได้ปิดเลยจริงๆ รวมแล้วประมาณ 7 ล้านกว่านะครับ แล้วมีคนบริจาคมาก็ได้ถวายไปบางส่วนแล้ว จริง ๆ งานนี้มีเงินเข้ามาเกือบ 10 ล้านถ้าหักค่าใช้จ่ายนี้เราก็คงคิดว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก มันจะเป็นตัวอย่างให้สังคม คนเก่งและคนดีควรจะคนเดียวกันนะครับ”
บอกมีคลิปเสียงเป็นหลักฐาน ถ้าจะคืนเงินสมาคมต้องคืนต่อหน้าทั้ง 3 ฝ่ายเพื่อความโปร่งใส ซัดหม่อมหลวงทำไมต้องหลอกใช้กัน
“เรื่องค่าตัวเดอะสตาร์ตอนนี้ทางสมาคมกำลังทำหนังสือไปถึงทางซีเนริโออยู่แต่ความจริงทางเอ็กแซ็กท์รู้เรื่องหมดแล้วทางซีเนริโอก็รู้เรื่องหมดแล้วนะครับ เพียงแต่ว่าแค่รอคำตอบจากทางนั้น แต่เท่าที่ผมทราบไม่ได้เข้าไปที่บริษัท เป็นการใส่ซองให้กับศิลปินโดยตรงส่วนตัวแต่ละคนซึ่งไม่รู้ว่าคนละเท่าไหร่ เราคุยโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายเมื่อซัก 3 อาทิตย์ที่แล้วก่อนที่ผมจะเริ่มโพสต์เฟซบุ๊กประมาณ 2 อาทิตย์ ก็สรุปเล่าให้ฟังได้ง่าย ๆ สั้น ๆ คือ ผมถามว่าประเด็นที่หนึ่ง รู้ตอนไหนว่ามีเงินตั้งไว้ 3,500,000 บาทตอบผมไม่ได้ ประเด็นที่สองเงิน 700,000 บาทของผม ทำไมไปคิดกับอาจารย์ในเมื่อผมบริจาคแล้ว ประเด็นที่สามผมพูดว่าให้พี่คิดตัดสินใจให้ดีจะทำอะไรต่อไปขอให้เอาเงินมาคืนทางสมาคมให้เรียบร้อยแล้วก็มาคุยด้วยกันสามฝ่ายจะได้จบนะครับ แต่ก็ไม่ได้รับคำยืนยันที่แน่ชัดว่าจะมาคืนเมื่อไหร่และเวลาใดผมบอกไปแล้วว่าเวลาเมื่อคืน คืน 2 ฝ่ายไม่ได้ต้องต่อหน้าทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อความโปร่งใส”
“ในการเจรจาครั้งนั้นผมต้องบอกแล้วกัน ผมมีคลิปเสียงที่สามารถเป็นหลักฐานได้แต่ผมไม่สามารถเปิดเผยได้นะครับในการคุยโทรศัพท์กันครั้งนั้นก็มีการกล่าวขอโทษผม ผมมีคำพูดว่าทำไมพี่ต้องมาหลอกใช้ผมด้วย เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาก็นิ่งไป พอผมถามรายละเอียดต่างๆ ก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงอะไรอย่างที่ผมอธิบายว่าทำไมค่านี้เป็นอย่างนี้ ก็ไม่สามารถอธิบายอะไรให้ผมได้เลย ถ้าอธิบายได้ผมก็ยังเข้าใจได้ว่าโอเคมันเกิดอะไรขึ้น รายจ่ายจริง ๆ มันเท่าไหร่แต่อธิบายไม่ได้ใบเสร็จก็ไม่มีนะครับ ผมไม่ได้ทำเพื่ออะไร เงิน 2 ล้านทั้งหมดที่ได้มาก็เป็นของสมาคมส่วนตัวผมไม่ได้อะไรเลยนะครับ ยังบอกว่าผมจะลุกขึ้นมาอะไร ผมอาจจะโดนเก็บก็ได้นะ”
“เพราะฉะนั้นเราอยู่ในสังคมเดียวกันผมคิดว่าอะไรที่ควรทำก็ต้องทำ แล้วเงินนี้มันเป็นเงินการกุศลผมซีเรียสมาก ผมตั้งใจที่จะบริจาคแต่บริจาคไปแล้วมันไม่ถึงนะครับ ลองคิดดูถ้าเป็นเงินของพี่น้องนักข่าวทุกคน เราตั้งใจจะไปทำบุญให้คนป่วยปรากฏว่าเงินมันไปอยู่กับใครซักคนหนึ่งเราจะรู้สึกยังไง ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเกลียดแค้นเคืองอะไรไม่ได้รู้สึกเลย รู้สึกแค่ว่ามาคุยกันมาเจรจากันให้จบ ส่วนได้เงินไปเท่าไหร่ใช้เงินไปเท่าไหร่เอามาคืนเขาซะ แล้วจบ อย่างที่ผมบอกเรื่องไม่ใช่แค่นี้ยังมีคนอื่นอีกหลายร้อยคน เยอะแยะมากมาย ซึ่งผมก็บอกแล้วว่าถ้าจบกับผม ผมจะขออนุญาตว่าทุกคนให้จบด้วย ผมก็ไม่ได้คนใหญ่คนโตอะไรนะครับเพียงแต่ว่าผมก็ทำงานในวงการนี้มาค่อนข้างนาน 30 ปีที่ผมอยู่ในวงการบันเทิงมา เพราะฉะนั้นถ้าผมพูดอะไรไปผู้ใหญ่ก็อาจจะฟังผมบ้างครับ”
มหิดลรับเชิญหม่อมหลวงให้มาร่วมแถลงข่าวแต่อีกฝ่ายไม่ว่าง
ทพ.นิติพันธ์ : “ก็คุยกับหมอประดิษฐ์ ที่ต่อรองราคาแล้วก็มาคุยกับคุณเชน ไม่ได้คุยกับเขา วันนี้ก็ติดต่อให้เขามาแต่เขาตอบว่าไม่ว่าง”
เชน : “ผมสรุปให้นะครับในส่วนตัวผมก่อนผมรู้จักกับท่านผู้ควบคุมการผลิตท่านนี้เพราะว่าเป็นรุ่นพี่ผมที่อักษรศาสตร์จุฬาฯ ที่ห่างกันไม่กี่ปีนะครับผมก็รู้จักชื่อเสียงในวงสังคมของเขาก็รู้จัก ชื่อเสียงโปรไฟล์ในการทำงานของผมอย่างที่บอกนะครับผมก็เชื่อใจว่ารุ่นพี่รุ่นน้องกัน ดูโปรไฟล์ว่าทำงานการกุศลมาเยอะก็น่าจะช่วยกัน แวดวงสังคมก็เจอกันเวลาออกงาน”
ทพ.นิติพันธ์ : “ส่วนตัวผมนะครับก็คือได้เห็นเขาครั้งแรกเลยในงานราตรีมูลนิธิจัดปลายปีที่แล้วเขาคนนี้เอากัน เดอะสตาร์มาได้มีนักร้องสองสามคนแล้วก็เห็นศักยภาพ เขาเป็นนักสังคมสงเคราะห์เป็นคนดี เขาก็มาเล่าว่าเขาเคยทำสังคมสงเคราะห์ จัดคอนเสิร์ต เราก็เชื่อในศักยภาพ เราเชื่อใจเราก็เรียนเชิญมาคุย เขาก็ยินดีที่จะมาช่วยจัดใช้คำว่าช่วยกันนะครับไม่ใช่ออแกไนเซอร์ช่วย ก็ได้คุยในลักษณะเหมือนว่าจะทำยังไงในแต่ละเรื่อง คณบดี เราแล้วก็ประธานมูลนิธิได้พูดไว้แล้วว่านโยบายไม่อยากได้ออแกไนซ์อยากให้จ้างเป็นอย่างๆ ไป บวก 10% ของค่าดำเนินงาน อย่างเช่นดนตรีก็ 10% เช่น แสงสีเสียงก็คุยกันลักษณะนี้ เขาก็โอเคแต่พอเอาเข้าจริงๆ ไปดูหน้างานแล้วมันไม่สมควรกับ 3.5 ล้าน ส่วนเงินเราให้ไปทั้งหมด 7 ครั้งก่อนมีคอนเสิร์ต เขาบอกว่าเป็นค่าดำเนินงาน”
เชน : “เราไม่เคยทำงานกับเขา ผมทำให้ที่อื่นสมาคมมูลนิธิที่อื่นที่ผมทำให้ ส่วนทางมูลนิธิก็จะเป็นคนติดต่อมาเองนะครับ ผมก็บอกเลยว่าผมคิดค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุนก็จะเห็นว่าในเดือนพฤษภาคมผมทำงานการกุศลแล้วประมาณ 5 งานของสภากาชาดไทยของมูลนิธิอะไรต่างๆ เงิน 2.6 ล้านมีการเบิกจ่ายตั้งแต่ 17 ก.พ. - 25 เม.ย. ซึ่งเกิดก่อนงานคอนเสิร์ต ทยอยจ่ายเป็นงวดๆ ฉะนั้นคำถามที่ผมถามว่าพี่รู้ตอนไหนว่ามีเงินตั้งไว้ 3.5 ล้าน ซึ่งเขาไม่ตอบจนกระทั่งถึงวันที่ประชุมชำระค่าใช้จ่ายก็ตอบผมว่าไม่มีเงินค่าชำระ ซึ่งอีก 3 วันจะจัดคอนเสิร์ตอยู่แล้ว อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง”
บอกหม่อมหลวงโพสต์เฟซยันไม่ผิดเป็นการป้อนกันตนเอง และไม่มีการเคลียร์กันจนทำให้ต้องออกมาแถลงในวันนี้
เชน : “เข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจผิดหรือจงใจอันนี้ผมไม่ขอตอบว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า การออกมาพูดแบบนี้เป็นคำพูดป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งว่าไม่ผิด นอกจากที่ผมบอกว่าผมตกงานโน่นนั่นนี่ในฝั่งของสมาคมก็มีข่าวในสังคมออนไลน์ เช่นเดียวกันว่าทางผู้ควบคุมการผลิตท่านนี้ได้ส่งผู้ใหญ่มาเจรจาแล้ว แล้วก็คุยกับทางนายกสมาคมเคลียร์กันเรียบร้อยไม่มีเรื่องอะไรแล้วนะครับ ก็จบกันด้วยดี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่นะครับ มันเลยเป็นที่มาของการแถลงข่าววันนี้”
ขีดเส้นตาย 6 ก.ค. ไม่เคลียร์ไม่คืน ดำเนินคดีตามกฎหมาย และเลยจุดนั้นมาแล้ว
เชน : “อย่างที่ทางสมาคมบอกว่าเส้นตายมันผ่านไปแล้ว ผมลงในเฟซบุ๊กของผมบอกว่าให้เอาเงินมาเคลียร์กันมาเจรจาให้เสร็จในวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งผมปรึกษาคณาจารย์ตลอดนะครับ ถ้าเกินวันที่ 6 ก.ค. ผมไม่สามารถจะคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะใหญ่โตแค่ไหนผมคาดเดาไม่ได้ เพราะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวพันธ์กับหลายฝ่ายไม่ใช่แค่ผมแค่ 2 ฝ่ายยังมีฝ่ายที่ 3 4 5 6 เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้อาจารย์ได้ชี้แจงว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายผมก็ได้บอกว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายถ้าจะเจรจาอะไรก็ไปเจรจากันในศาล”
“เรื่องแดงหลังจากที่ผมทวงใบอนุโมทนาละครับก็ประมาณเดือนวันที่ 1 พฤษภาคมหลังจากงานคอนเสิร์ตเริ่มทวงถามประมาณปลายเดือนพฤษภาคม มารู้อีกทีหนึ่งก็ประมาณปลายเดือนมิถุนายนอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน ส่วนเรื่องใบเสร็จคือตอนนั้นอยู่ในช่วงเจรจา ค่าใช้จ่ายที่ลงชื่อในการทวงเงินคือนักข่าว ป. ไม่ใช่ผู้ควบคุมคนที่อาจารย์คุยด้วย คือ นักข่าว ป. เพราะฉะนั้นสองคนนี้คือคน ๆ เดียวกัน”
ทพ.นิติพันธ์ : “ที่จริงมันเป็นหน้าที่ของเรานะ ก็พูดในแง่มุมที่อยากให้ตกลงกันได้ ไม่งั้นจะไปตกลงกันที่ศาล เรื่องก่อนหน้านั้นที่จะถูกรื้อฟื้นจะมีอะไรบ้าง มันไม่ใช่หน้าที่ของผมแล้ว”
เชน : “จากที่ผมคุยโทรศัพท์ มีการอัดคลิปเสียงไว้ ความยาวเกือบ 1 ชม. มีการพาดพิงกันไปหลายฝ่าย มีการอ้างว่าเอาเงิน 300,000 กว่าบาทจ่ายให้กับทางเจ้าหน้าที่คณะไปจัดทำค่าประชาสัมพันธ์นะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นทางสมาคมก็กำลังตรวจสอบอยู่ว่าเงิน 300,000 กว่าบาทนั้นได้ไปทำจริงหรือเปล่า ใช้อะไรบ้างเป็นการพาดพิงถึงคนที่ชื่อ ป. ว่าเบิกเงิน ตรงนี้ทางสมาคมจะตรวจสอบอีกครั้งครับ”