“อะพอคคาลิปส์มองว่าอารยธรรมนี้จำเป็นต้องคัดกรองส่วนเกินออกไปอย่างรีบด่วน สังคมเต็มไปด้วยค่านิยมผิดๆ ผู้คนหันมาบูชาเงินตราและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งทำให้พวกเขาหลงผิดคิดว่าตัวเองมีพลังเหมือนพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่อะพอคคาลิปส์รับไม่ได้ เขาจึงต้องการให้มันยุติลงและเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมดอีกครั้ง สร้างโลกขึ้นมาใหม่ให้เป็นไปตามภาพที่เขาคิดไว้” - ไบรอัน ซิงเกอร์ –
...ในเอ็กซ์เม็นภาคที่ผ่านมา X-Men : Days of the Future Past หากยังจำกันได้และไม่เดินออกจากโรงหนังก่อน ตอนท้ายของเครดิต เราท่านคงจะได้เห็นฉากสั้นๆ เป็นการหยอดน้ำย่อยที่ห้อยไว้ให้ตามต่อในภาคถัดไป ด้วยภาพของมนุษย์กลายพันธุ์ในวัยหนุ่มรายหนึ่งซึ่งกำลังสร้างพีระมิดด้วยการใช้พลังจิต ขณะที่บรรดาสาวกบริวารพากันห้อมล้อมเฝ้ามองดูอยู่ด้วยสายตาเกรงขาม และจนถึงตอนนี้ คนดูหนังก็คงจะกระจ่างกันแล้วว่า มนุษย์กลายพันธุ์หรือมิวแทนท์หนุ่มคนนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่น เขาคือวายร้ายตัวฉกาจที่มาโผล่ในภาคนี้ ชื่อของเขาก็คือชื่อรองของเรื่อง “อะพอคคาลิปส์” ที่ถ้าจะมีอะไรผิดแผกแตกต่างไป ก็เป็นเพียงเรื่องวันวัยและรูปลักษณ์ซึ่งผ่านกาลเวลาเนิ่นนานและกลับมาอีกครั้งในวัยที่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ เช่นเดียวกับพลังที่ดูจะถึงฝั่งแห่งความยิ่งใหญ่ ยากจะมีผู้ใดทัดเทียม
อย่างไรก็ดี ขณะที่อะพอคคาลิปส์เดินทางสู่จุดสูงสุดแห่งพลังทั้งมวล แต่นี่กลับเป็นการเปิดฉากยุคแรกๆ ของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราเองก็คงจะเคยคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะเคยเห็นในวันวัยที่พวกเขาเติบใหญ่และมีชื่อมีเสียงกันพอสมควรแล้ว
แนะนำอย่างย่นย่อ X-MEN : APOCALYPSE พาเราย้อนกลับไปในยุคก่อนคริสตกาลนับพันปี เพื่อแนะนำตัวละครขั้นเทพอย่าง “อะพอคคาลิปส์” ในยุคที่อารยธรรมอียิปต์โบราณเดินไปถึงจุดที่ตกต่ำสุดพอดี กาลเวลาผ่านไปอีกหลายพันปี หลังจากที่อะพอคคาลิปสต์หลับใหลอยู่ใต้ซากอารยธรรมโบราณ...กระทั่งปี ค.ศ.1983 เขาจึงได้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิดแม้แต่นิดเดียว
ขณะเดียวกันนั้น โลกในยุค ค.ศ.1983 ก็เพิ่งได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องแนวทางการปฏิบัติต่อมนุษย์กลายพันธุ์ หลังจากเหตุการณ์หยุดยั้งการสังหารประธานาธิบดีสหรัฐและช่วยไม่ให้เกิดสงครามระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์กับมนุษย์ ตามเรื่องราวใน X-Men : Days of the Future Past เหตุการณ์นั้นส่งผลให้มนุษย์กลายพันธุ์ต้องดำรงอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ และไม่ได้รับการยอมรับหรือไว้วางใจจากสังคมมนุษย์ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนสำคัญซึ่งเปิดทางให้การแทรกแซงของอะพอคคาลิปส์เป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้สอยมนุษย์กลายพันธุ์ราวกับว่ามีค่าเพียงแค่เป็นสิ่งสนองความบันเทิงของผู้คนจนดูไร้ความหมาย รวมทั้งการสูญเสียของใครบางคนที่ยากจะทำใจ
...ครับ, ในความยาวราวสองชั่วโมงครึ่งของหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่หนังค่อยๆ เล่า ค่อยๆ ปูไปนั้น ทำให้เราเข้าใจภาวะของตัวละครได้ดีขึ้น และสุดท้ายก็จะเข้าใจถึงเหตุผลแห่งการเลือกทำหรือไม่ทำ อย่างใดอย่างหนึ่งของพวกเขา ตัวละครที่เราคุ้นๆ จะค่อยเปิดตัวทีละคนพร้อมกับเงื่อนปมอันเฉพาะแตกต่าง...แม็กนีโต้นั้น หลังจากล้มเหลวในการสังหารประธานาธิบดีเมื่อภาคที่แล้ว (Days of the Future Past) เขาก็หลีกเร้นตัวเองไปอยู่โปแลนด์บ้านเกิด รับจ้างทำงานในโรงงาน ใช้ชีวิตสงบสุขกับลูกกับเมียในเมืองเล็กๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนยากจะรับได้ เขาก็กลายเป็นมองมนุษย์แบบตาขวางและทำสิ่งที่ต้องบอกว่าสถานการณ์บีบบังคับ
ขณะเดียวกัน นอกเหนือไปจาก “เรเวน” หรือ “มิสทีก” ที่พยายามดำเนินงานปฏิบัติการใต้ดินเพื่อช่วยเหลือเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกย่ำยี ใน X-MEN : APOCALYPSE ก็ยังมีมนุษย์กลายพันธุ์อีกมากหน้าหลายตา อย่างที่บอกครับว่า เราอาจเคยเห็นหน้าพวกเขามาแล้ว แต่มาภาคนี้ มันย้อนกลับไปในวันที่พวกเขาเพิ่งแตกหนุ่มแตกสาว เราจะสัมผัสได้ถึงความสดใสไร้เดียงสาและชีวิตชีวาแบบเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีพลังพลุ่งพล่านอยู่ในตัว แต่ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนของ ดร.เซเวียร์ จึงเป็นหมุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะต้องเข้ามาเพื่อฝึกฝน เรียนรู้พลังของตนเองเพื่อที่จะควบคุมมันได้ ฉากเปิดตัวของพวกเขาแต่ละคนทำได้ดีนะครับ ตัวหนึ่งซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงชอบมากๆ ตั้งแต่ภาคที่แล้วคือ “ควิกซิลเวอร์” ภาคนี้ก็ยังเท่อยู่ นอกนั้นก็มี “จีน เกรย์” ผู้มีทั้งพลังในการส่งกระแสจิตและพลังจิตในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ แต่ยังควบคุมจัดการไม่ได้ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่น, “ไซคล็อปส์” ผู้มีพลังแสงจากดวงตาที่ทำซะเพื่อนร่วมชั้นสะบักสะบอม, “บีสต์” อัจฉริยะนักประดิษฐ์ รวมถึง “ไนท์ครอว์เลอร์” ที่เคลื่อนไหวย้ายร่างแต่ละครั้ง เสียงดัง “ฟึ้บ”
ด้วยตัวละครที่ค่อนข้างหลากหลาย ถ้าแบ่งฝ่ายกันให้ชัด ก็เหมือนกับแนวร่วมกัปตันอเมริกาประหมัดกับไอร์อ้อนแมน สำหรับเรื่องนี้ ฝั่งของ “เรเวน” นั้นฝั่งหนึ่ง มีผู้ใหญ่อย่าง ดร.เซเวียร์ เป็นหัวเรือใหญ่ ส่วนอีกฝั่งคือ “อะพอคคาลิปส์” ที่มาพร้อมกับ “จตุรอาชา” ทั้งแม็กนีโต้, ไซล็อก, แองเจิ้ล และ สตอร์ม ในความเห็นส่วนตัวของผม คิดว่าหนังแบ่งพื้นที่ให้กับแต่ละตัวได้เท่าที่จำเป็นและจะเน้นตัวไหนเป็นพิเศษ ขณะที่ความสนุกของตัวเรื่อง การดำเนินเรื่อง ไปจนกระทั่งแอ็กชั่นการต่อสู้ ผมไม่เห็นว่ามีข้อเสียหายอะไร หนังดูได้สนุก แม้ว่ามันจะดูง่ายอยู่สักหน่อยว่าลำดับเรื่องถัดไป จะไปจุดไหนอย่างไรแบบไม่มีบิ๊กเซอร์ไพรส์อะไรนัก ก็ยังมีเซอร์ไพรส์อยู่พอประมาณในหลายจุด โดยเฉพาะบทสรุปชัยชนะของสงครามที่ไม่ได้มาจากตัวละครที่คาดคิด
สรุปก็คือ หนังไม่ได้ดูแย่ถึงขนาดที่ต้องรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศถึงขนาดต้องร้อง “ว้าว” เช่นกัน ด้วยเหตุนี้นั้น ถ้าใครอยากจะรู้ในเชิงเปรียบเทียบกับสองภาคก่อนหน้า ผมยังคงมีความเห็นว่า ทั้ง X-Men : First Class และ Days of the Future Past ยังเป็นภาคที่สนุกและประทับใจมากกว่า ขณะที่ X-MEN : APOCALYPSE คล้ายเป็นการ “ปูทาง” เพื่อ “เปิดทาง” ให้เส้นทางของแฟรนไชส์เอ็กซ์เม็นได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป มันอาจจะยังไม่กลมกล่อมลงตัวมากในภาคนี้ เช่นเดียวกับที่พลังของพวกเขาเหล่ามิวแทนท์ซึ่งยังไม่แน่นเข้ารูปเข้ารอย และต้องเรียนรู้เพื่อใช้สอยพลังนั้นให้มีประสิทธิภาพแท้จริง
คนวัยหนุ่มวัยสาว เมื่อมาเจอกับเจ้าแห่งพลังอย่างอะพอคคาลิปส์ที่ไม่เพียงมีพลังมหาศาล หากแต่ยังทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวของตนด้วย ย่อมเกิดความคล้อยตามได้ง่าย ดุจเดียวกับที่เกิดขึ้นกับจตุรอาชา ทั้งแองเจิ้ล สตอร์ม และไซล็อก ส่วนแม็กนีโต้นั้นมีเรื่องปมความสูญเสียส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วย กล่าวให้ชัดขึ้นก็คือ สภาพสังคมและสถานการณ์ รวมทั้งวันวัย มันเอื้อต่อการถูกชักจูงโน้มน้าวให้หลงไปในทางผิดและคิดว่ามันถูกได้ง่าย ต้องยอมรับนะครับว่า บรรยากาศความเป็นจริงทางสังคมในปีที่เกิดเรื่องนั้น (ค.ศ.1983) มันเป็นเช่นที่อะพอคคาลิปส์กล่าวไว้ไม่ผิดเพี้ยน อะพอคคาลิปส์จึงไม่ใช่ตัวร้ายที่สายตาสั้นไร้วิสัยทัศน์แต่อย่างใด คือถึงจะร้าย ก็ไม่ได้ร้ายแบบไร้ความคิด สิ่งที่เขามองเห็น คือหายนะที่จะเกิดกับโลกแบบคาดเดาได้ไม่ยาก
ถ้าใครเคยรู้จักตัวละครตัวนี้มาก่อน ผ่านการอ่านเวอร์ชั่นการ์ตูน จะรู้จักว่าตัวตนและความคิดของอะพอคคาลิปส์นั้นไม่ธรรมดา เล่าให้ฟังอย่างย่อๆ เขาคือเด็กหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งซึ่งถูกเก็บมาเลี้ยงโดยพวกขุนโจรทะเลทรายและผ่านเหตุการณ์หลากหลายกว่าจะมาถึงจุดนี้ พูดตามจริง เรื่องราวของอะพอคคาลิปส์นี่ ละเอียดยิบจนสามารถสร้างเป็นหนังภาคแยกได้เลย แต่สำหรับภาคนี้ เขายืนอยู่ที่ปลายทางของการเดินทางอันยาวนานของตัวเองแล้ว และด้วยความที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมานานัปการ พอๆ กับผ่านวันเวลามาหลายยุคหลายสมัย ความเชื่ออย่างหนึ่งซึ่งฝังอยู่ในหัวของอะพอคคาลิปส์ก็คือ ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด และแนวคิดนี้ก็ได้รับการต่อยอดมาเป็นหนึ่งในปฐมบทแห่งสงครามระหว่างเขาและลูกสมุน กับฝั่งของเรเวนและ ดร.เซเวียร์
เพราะมองเห็นความอ่อนแอปวกเปียกของมนุษย์โลก นั่นจึงทำให้อะพอคคาลิปส์คิดจะสร้างโลกใหม่ ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ เขาพูดถูกแทบทุกอย่าง ทั้งมหันตภัยที่อาจเกิดจากการที่มนุษย์ครอบครองนิวเคลียร์ หมู่หนอนที่ชอนไชกัดกินสังคมในนามของค่านิยมแบบประหลาดๆ อย่างเรื่องของการบูชาเงินตราหรือยกย่องสรรเสริญผู้ที่มีเงินตรา มีหลายฉากที่หนังแบให้เห็นว่าอะพอคคาลิปส์ก็คงงงๆ เหมือนกันที่เห็นโลกเป็นเช่นนั้น อย่างตอนที่เขาไปหาพ่อค้าคนนั้นซึ่งซื้อหาแลกเปลี่ยนมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อส่งต่อให้กับผู้บารมีที่ไม่ปรากฏนาม (ซึ่งก็คงจะเอาพวกมิวแทนท์ไปจัดแสดงโชว์อะไรเทือกนั้น) มองกันอย่างให้เครดิต ตามความคิดของอะพอคคาลิปส์ โลกแบบนี้มีแต่จะตกต่ำลง และมองอย่างเข้าใจ คนที่เคยผ่านยุคตกต่ำสุดๆ มาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ย่อมรับได้ยากอยู่แล้วที่จะเห็นโลกตกอยู่ในภาวการณ์เช่นนั้นอีก
อย่างไรก็ดี หากจะมีข้อผิดพลาดสักประการสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ระดับตำนานคนนี้ สิ่งนั้นก็คงจะเป็นเรื่องของความคิดสุดโต่งในการจัดการกับปัญหา อะพอคคาลิปส์มองเห็นปัญหา แต่แทนที่จะแก้ปัญหา เขากลับใช้วิธีการตัดปัญหาที่นำไปสู่ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งซึ่งคนมีสติปัญญาปกติทั่วไปย่อมยากจะทำใจยอมรับ แน่นอนล่ะ เขาอาจจะเห็นถูกที่ว่าโลกควรจะมีความแข็งแกร่งกว่านี้ คนไม่ควรอ่อนแอแบบนี้ และค่านิยมบางอย่างก็รังแต่จะนำพาโลกไปสู่ยุคตกต่ำ แต่วิธีการของเขากลับเข้าขั้น “เห็นผิด” เป็นมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงต่อความอยู่รอดของโลก พูดง่ายๆ ว่า ความคิดและความปรารถนาของเขา ก็เป็นภัยไม่น้อยไปกว่านิวเคลียร์นับล้านๆ ลูก
ก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะโดยตัวตนพื้นฐาน...อะพอคคาลิปส์นั้นไม่ได้คิดแค่ว่าตัวเองมีพลังพิเศษเหนือกว่าผู้ใด เขาคิดถึงขั้นที่ว่าเขาเป็นพระเจ้า และไม่ใช่แค่พระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวในโลกด้วย และในสถานะของพระเจ้าที่เขาสถาปนาให้แก่ตน จึงไม่น่าแปลกใจ หากคนอย่างเขาคิดจะล้างโลกแบบเก่าให้สิ้นซาก และเสกสร้างโลกใหม่ขึ้นมา โดยไม่นำพาต่อความเป็นความตายของผู้ใดทั้งนั้น
คือก็เกือบจะเห็นถูกเห็นธรรมอยู่แล้ว
แต่ดันมาติดเอาตรงเห็นผิดเท่านี้ล่ะ
เดี้ยงเลย
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม