xs
xsm
sm
md
lg

4G เรียกพี่ “พชร์ อานนท์” แรงกว่า ดัน “หลวงพี่แจ๊ส” ทะลุ 300 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าวันนี้ไม่พูดถึงหนังเรื่องนี้ เห็นทีจะคุยกับใครๆ ไม่รู้เรื่อง
เพราะโมงยามนี้ ต้องยอมรับว่าหนัง “หลวงพี่แจ๊ส 4G” มาแรงจริงๆ เรียกว่าความแรงส่อเค้ามาตั้งแต่เริ่มปล่อยตัวอย่างลงสู่ออนไลน์ เพราะเพียงข้ามคืน คลิปที่ว่าก็มียอดวิวสูงกว่า 1.3 ล้านวิว มีคนกดถูกใจกว่า 50,000 ไลค์ และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกกว่า 4,900 คอมเมนต์ ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
เมื่อถึงคราที่หนังเข้าโปรแกรมฉาย วันแรกก็กวาดรายได้ไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท ว่ากันว่าทำลายสถิติรายได้เปิดตัวของหนังพันล้านอย่าง “พี่มากพระโขนง” และ “ไอ ฟาย แต๊งกิ้ว เลิฟยู” แบบราบคาบ ขาดลอย
จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่เจ้าของโรงหนังอย่างเมเจอร์ซินีเพล็กซ์ยืนยันมาอย่างนั้น !!
และตอนนี้ยอดรายได้ที่เจ้าของหนังเคลมออกมาก็คือทะลุ 300 ล้านไปเรียบร้อยแล้ว
นั่นจึงนำมาสู่ฉายาของผู้กำกับ 300 ล้าน ที่ “พชร์ อานนท์” หรือ “พจน์ อานนท์” เพิ่งมีโอกาสได้ครอบครองเป็นครั้งแรก หลังจากที่อยู่ในเส้นทางของผู้กำกับภาพยนตร์ยาวนานกว่า 20 ปี กำกับภาพยนตร์มาแล้วเกือบ 30 เรื่อง

งานนี้ก็ไม่วายโดนจับผิดอีกว่า ตอนแรกพชร์ไม่ได้ออกตัวว่ากำกับเรื่องนี้ แต่พอหนังทำเงินขึ้นมา ถึงเพิ่งมาประกาศ ทำนองว่ากลัวหนังแป๊ก เลยไม่กล้าใช้ชื่อจริงอะไรทำนองนั้น ร้อนถึงผู้กำกับ 300 ล้านคนล่าสุด ก็เลยออกมาชี้แจงมา เป็นการพูดคุยของเขากับนายทุน (ในเครือเมเจอร์) อยู่แล้วว่าไม่อยากให้ระบุชื่อเขาเป็นผู้กำกับ เพราะคนมักจะยึดติดว่าชื่อของพชร์ อานนท์ เป็นโลโก้ของหนังตลก ที่ว่าด้วยเรื่องของตุ๊ด กระเทย แนวหอแต๋วแตก หรือปล้นนะยะ การจะลุกขึ้นมาทำหนังแนวตลกพระแบบนี้ คนทั่วไปอาจจะไม่เชื่อมือ เพราะมีอคตินำอยู่แล้ว ซึ่งในทางการตลาด ก็ถือว่านายทุนมองเกมได้อย่างทะละปรุโปร่งจริงๆ เพราะถ้าใส่ชื่อพชร์ อานนท์เป็นผู้กำกับตั้งแต่แรก กระแสการตอบรับก็อาจจะไม่มากมายขนาดนี้
แหละ ว่ากันตามจริงแล้ว การใช้นามปากกา หรือนามสมมติอื่นในการกำกับ “หลวงพี่แจ๊ส 4G” ของพชร์ ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร และก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ นักเขียนนวนิยายดังๆ หลายคน ก็ใช้วิธีนี้มาก่อน คือมีการแบ่งแยกนามปากกาตามแนวเรื่องที่เขียน นักเขียนส่วนใหญ่จึงจะมีนามปากกาของตัวเองคนละ 2-3 ชื่อเป็นอย่างน้อย ซึ่งสุดท้ายปลายทาง ถ้าคนที่ติดตามผลงานกันจริงๆ ก็จะรู้ว่านามปากกาเหล่านี้เป็นของนักเขียนคนเดียวกัน
หรือแม้แต่นักแต่งเพลงอย่าง “ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค” เอง ก็ใช้นามปากกาในการเขียนเพลงถึง 20 กว่าชื่อด้วยกัน ทั้งชื่อจริง (นิติพงษ์ ห่อนาค) ทั้งโอภาส พันธุ์ดี , บางนา ท่าเรือ , สีห์ สามัคคีประชาชื่น และอีกมากมาย ซึ่งหลายคนไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ
ส่วนตัวแล้วจึงมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องกลัวแป้ก!! เพราะต่อให้หนัง “หลวงพี่แจ๊ส 4 G” เกิดแป้กจริงๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสีย เพราะที่ผ่านมา หนังส่วนใหญ่ของพชร์ ก็ไม่ได้ทำเงินมากมายมหาศาล หรือเป็นผู้กำกับระดับมือรางวัล ซ้ำร้ายทำหนังมาก็โดนด่า โดนวิจารณ์ยับมาตลอดอยู่แล้ว ถ้าจะโดนอีกสักเรื่อง ก็คงจะไม่หนักนาสาหัสอะไร
แต่การได้มาซึ่งรายได้ 300 ล้านบาทนี่ต่างหาก ที่ต้องถือว่าเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็หวังไว้ว่ามากสุดก็ไม่น่าจะเกิน 70-80 ล้าน นั่นก็หรูแล้วสำหรับเขา
และเท่าที่ลองมานั่งวิเคราะห์ถึงเหตุ และผลที่ทำให้ “หลวงพี่แจ๊ส 4G” กลายเป็นหนังทำเงินในสภาวะที่หนัง (ไทย) ส่วนใหญ่ซบเซา ก็เห็นว่าน่าจะมาจากองค์ประกอบที่เกื้อหนุนกันอย่างน้อยๆ ก็น่าจะไม่หนี 3-4 ข้อนี้

ประการแรก แน่นอนที่สุด ก็คือความลงตัวของนักแสดงในเรื่อง เป็นความชาญฉลาดของพชร์ อานนท์ ที่เลือก “แจ๊ส ชวนชื่น”มารับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะตลก ใน พ.ศ. นี้ ต้องนับว่าแจ๊สฟอร์มสดที่สุดแล้ว เหมือนกับที่ยุคหนึ่งเคยเป็นยุคของจตุรงค์ มกจ๊ก , โก๊ะตี๋ , จิ้ม ชวนชื่น เรียกว่าหนังตลกแทบทุกเรื่องในยุคนั้น ต้องขายหน้าหนังด้วย 3 ตลกตัวท็อปของวงการ แต่ยุคนี้เป็นทีของแจ๊ส ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร ก็ดูจะขายได้ไปหมด พลิกทีวีไปช่องไหน ก็ต้องเห็น ไม่ในฐานะพิธีกร ตลกโชว์ประจำรายการ ก็ในฐานะแขกรับเชิญ ไหนจะเพลง “แว้นฟ้อ หล่อเฟี้ยว” ที่ร้องไว้ก็ดังระเบิดระเบ้อ ยอดโหลดถล่มทลาย แม้จะสะดุดไปบ้าง ตอนที่เพลง “ยับแม่” โดนวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะไม่ควร แต่ก็ไม่ถือว่าทำให้กระแสนิยมในตัวแจ๊สลดน้อยถอยลงเท่าใดนัก
และยิ่งมี “แพท-ณปภา ตันตระกูล” ซึ่งตอนนี้ได้รับการขนานนามว่า “ราชินีเด็กแว้น” เข้ามาร่วมวงอีกคน ก็ยิ่งชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้เจตนาจับกลุ่มเป้าหมายตลาดล่าง ซึ่งเป็นตลาดที่กว้างมาก และแพทเอง ก็เป็นนางเอกที่จับกลุ่มตลาดนี้โดยตรง สังเกตจากงานในระยะหลังที่ออกมาในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง หรือพิธีกรในช่วงตลกไร้สาระ (โดยสิ้นเชิง) ของรายการตีสิบ พูดได้เลยว่าแพทเป็นนางเอกที่มีพื้นที่ยืนของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่ต้องทำตัวหรูหราเป็นนางเอกไฮโซช่วงชิงกับใคร แค่รักษาฐานที่มั่นของตัวเองให้เหนียวแน่นก็พอ
ประการที่สอง พชร์ฉลาดที่หยิบซิรี่ส์หนังตลกพระที่เคยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดมาแล้ว อย่าง “หลวงพี่เท่ง” ทั้ง 3 ภาค ซึ่งเปลี่ยนตัวผู้แสดงนำมาทุกภาค จาก “เท่ง เถิดเทิง” ในภาคแรก มา “โจอี้ บอย” และ “น้อย วงพร” ในภาค 2-3 ตามลำดับ มาสานต่อ แถมยังดีไซน์โลโก้ให้ละม้ายคลึงกัน ประกอบตั้งชื่อเรื่องพ่วงท้ายว่า “4 G” ที่ดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนังภาค 4 นั่นเท่ากับว่าพชร์ได้อานิสงส์ความสำเร็จของหลวงพี่เท่งไปก่อนแล้วโดยยังไม่ต้องทำอะไรเลย และเมื่อผสมกับกลุ่มเป้าหมายใหม่อย่างบรรดาเด็กแว้น ที่เป็นแฟนคลับของแจ๊ส ของแพท-ณปภา เข้าไปอีก ก็ยิ่งเป็นความสำเร็จที่ดับเบิ้ลทวีคูณ
ประการต่อมา การหยิบยกเรื่องใกล้ตัวอย่างกระแสของ 4 G ในยุคสังคมก้มตา ที่โซเชียลกำลังครองเมือง หรือแม้แต่การหยิบยกเหตุการณ์ดังๆ ที่ยังอยู่ในความระลึกถึงของคนมาล้อเลียน ไม่ว่าจะเป็นคดีที่รถปิ๊กอัพวีโก้ถอยชนรถคนอื่น หรือมุกแซวไฟปีใหม่มูลค่า 39 ล้านบาทของ กทม. มาใส่ในหนัง ก็ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้ดูเป็นหนังร่วมสมัย และทำให้คนดูอินไปได้โดยง่าย แม้บางฉากบางตอนอาจจะอิหลักอิเหลื่อกับกับการที่เนื้อหาไม่ปะติดปะต่อ , ไม่สมเหตุสมผล , มุกบางมุกจะฝืด หรือจงใจยัดเยียดไปบ้าง ก็ตามที

“หลวงพี่แจ๊ส 4 G” อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด ไม่ใช่หนังที่สถาบันที่จัดมอบรางวัลจะต้องจับตามอง แต่ในภาวะที่คนกำลังเครียดเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องอากาศที่ร้อนจนแทบจะทอดไข่ดาวบนพื้นถนนได้ ในความไม่มีสาระ ถ้ามันจะทำให้คนยิ้ม หัวเราะ และลืมเรื่องเครียดได้ชั่วครู่ชั่วคราว ก็นับได้ว่าเป็นความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะเก็บเกี่ยวจากหนังเรื่องนี้ ซึ่งนั่นก็น่าจะเพียงพอ และถือว่าคุ้มราคาค่าตั๋วแล้ว

ที่มานิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 336 23-29 เมษายน 2559











กำลังโหลดความคิดเห็น