นักร้องดัง “ชิน ชินวุฒิ” หอบหลักฐานการแพทย์ข้อมือดามเหล็กขอผ่อนผันเป็นบุคคลประเภท 3 ด้านเจ้าหน้าที่ตรวจแล้วไม่เข้าข่าย แถมก่อนหน้าไม่มารายงานตัว เตรียมส่งเข้ากรมวันที่ 1 พ.ค.เป็นทหาร 2 ปี ทำเจ้าตัวปล่อยโฮ บอกห่วงแม่-น้องสาว ด้านชาวเน็ตวิจารณ์หนักมาก
หลุดปล่อยโฮต่อหน้าสื่อเลยทีเดียวสำหรับนักร้องดัง “ชิน ชินวุฒ อินทรคูสิน” หลังจากที่ต้องมารายงานตัวเพื่อเข้าคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ตามหมายเรียกเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (4 เม.ย.) ที่วัดน้อยนพคุณ เขตดุสิต โดยชิน ได้นำผลการตรวจร่างกายจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และหลักฐานทางการแพทย์มายันเพื่อยื่นขอเป็นบุคคลประเภทที่ 3 ซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นทหาร เนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุจักรยานล้มจนกระดูกข้อมือแตก ต้องใส่ดามเหล็กที่ข้อมือตลอดชีวิต จึงจัดอยู่ในบุคคลประเภทที่ 3
แต่เมื่อตรวจร่างกายแล้วไม่ขัดต่อการเข้ารับราชการทหาร และชิน ไม่ได้มารายงานตัวตามหมายเรียกทหารกองเกินในปี 56 ทำให้ถูกจัดเป็นประเภทที่ 2 ต้องเป็นทหารบกผลัด 1 และเตรียมเข้าประจำการในวันที่ 1 พ.ค.นี้ เป็นเวลา 2 ปี โดยหนุ่มชินเปิดใจว่า
“จริงๆ แล้วผมเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อปีที่แล้วผมมา เป็นจำพวก 3 ไม่สามารถรักษาได้ ขาดไป 30 วัน ต้องไปตรวจก่อน พอผ่านมา 1 ปี ก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้นหรือแย่ลง เลยลงไปประเภทที่ 2 ทีนี้มันเกิดเหตุการณ์ขึ้นคือ ตอน 2-3 ปีที่แล้วมาไม่ตรง เลยอยู่ในบัญชีเลี่ยง พอเป็นประเภทที่ 2 ปุ๊บก็เป็นทันที คือ ผมรู้อยู่แล้วว่าอยู่ในประเภทที่ 2 ยังไงก็เป็นอยู่แล้ว แต่เรามายื่นเป็นจำพวก 3 อยู่ที่คุณหมอวินิจฉัยอย่างไร ก็คือเราฝึกซ้อมได้ ก็อยู่ในจำพวกที่ 2”
“ความรู้สึกแรกถ้าพูดตรงๆ ไม่โกหก คือ เหวอ เฮ้ย กูเป็นเหรอวะเนี่ย แต่ในใจผมไม่ได้กังวล การเป็นทหารก็เป็นเกียรติ เพราะครอบครัวผมก็เป็นทหารอยู่แล้ว คุณลุงเป็นทหารอากาศนาโต้ที่ฝรั่งเศสอยู่แล้ว ผมก็เติบโตมากับครอบครัวทหาร ฝั่งคุณพ่อคุณทวดก็เป็นอยู่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรสักเท่าไหร่ ไม่ได้คิดว่าไม่ดี ถ้าจำเป็นต้องเป็นก็เป็น แต่สิ่งที่กังวลคือ แม่กับน้อง”
“ก็มีเวลาเดือนเดียวในการเคลียร์ทุกอย่าง ก็เข้า พ.ค. เลย ก็บอกแม่ว่าต้องเป็นว่ะ คือ แม่ก็ทำใจมาแล้ว คือ คุยกันตั้งแต่ปีที่แล้วว่าถ้าเป็นก็เป็นตั้งแต่ปีที่แล้ว มันเหมือนยืดเวลามาปีหนึ่ง แม่ก็เหวอ อยู่ด้วยกันดีๆ อีกเดือนเป็นทหารแล้ว เพราะไม่ได้เตรียมตัว ผมเป็นเสาหลักของบ้าน เงินสะพัดอ่ะเนอะ แล้วก็เป็นคนหารายได้มากที่สุดในบ้าน พอไม่มีเราก็ห่วงเขา ถ้าจะเป็นก็เป็นนะ มันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องเดียวเลยเขาจะอยู่กันยังไง ไม่ได้วางแผนอะไรเลย เพราะไม่ได้คิดว่าจะเป็น หลังจากนี้ก็ไม่รู้แต่ว่าต้องทำ ไม่รู้ว่าต้องวางแผนอะไร”
บอกไม่ได้ร่ำไห้เพราะไม่อยากเป็นทหาร แต่ร่ำไห้เพราะห่วงแม่กับน้อง
“ต้องแคนเซิล จริงๆ มีละครเข้ามาอีก 2 เรื่อง (น้ำตาไหล) แล้วก็หนังอีกเรื่องหนึ่ง (ร้องไห้) งานเพลงยังๆ (เช็ดน้ำตา) ที่ร้องไห้ไม่ใช่เพราะไม่อยากเป็นนะครับ แต่เป็นห่วงแม่กับน้องเท่านั้นแหละครับ (ร้องไห้) ถ้าไม่ได้เป็นเสาหลักครอบครัวผมไม่สนอะไรเลย เรื่องเดียวคือ เรากังวล”
“เดี๋ยวคงไปคุยกันครับ ก็ขอบคุณนะครับที่ให้กำลังใจ จริงๆ แล้ว เราก็รับตามที่กฎหมายทุกอย่าง เราก็ถือว่าเป็นตัวอย่าง เราก็ไม่ได้หนีไม่ได้อะไร เราก็พร้อมที่จะเป็น ก็เรื่องเดียวที่กังวลตอนนี้ที่วนอยู่ในหัว ไม่ได้กลัวอะไรเลย งานก็คือเงิน เท่ากับครอบครัว คุณแม่กับน้องก็ยอดเยี่ยมในสิ่งที่เขาทำ เขาดูแลเรา แล้วก็ค่าใช้จ่ายในบ้านค่อนข้างสูง อยู่กัน 3 คนเราก็เต็มที่ เดาไม่ถูกว่ารายได้จะหายไปเท่าไหร่ แต่ก็ 7 หลักอยู่แล้ว”
ยอมรับเป็นบทเรียนชีวิต ละเลยเองต้องรับผิดชอบ
“เวลาอีกเดือนเดียวก็ต้องคุยกัน และวางแผนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นเราก็แค่รับรู้ รับมือและปรับตัว กังวลคือนี่คือวันที่ 4 อ่ะ แล้วตลกมากคือ น้องเกิดวันที่ 30 แล้วก็เข้าเลย เอาวะ ก็เป็นบทเรียน เรารับผิดชอบในสิ่งที่ละเลยมา เราละเลยเอง ก็ต้องรับผิดชอบ สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากนี้เป็นต้นไปจะทำยังไงต่อ ทุกอันที่พี่ๆ ถามมันเป็นสิ่งที่ผมถามตัวเอง เป็นคำถามที่วกวน ไม่ได้มีคำถามว่าทำไงที่เราจะไม่เป็น เราไม่ได้คิดเรื่องนั้น ที่โทรศัพท์คือ โอเคนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นบทเรียนหลายๆ อย่าง ก็เป็นข้อหนึ่งที่ดีเรายืดอกรับ”
“ก็อยากบอกน้องๆ ว่าเรียน รด.ให้จบนะ ง่ายสุดแล้ว การที่คุณมาเจอชีวิตจริง คุณเป็นเสาหลักของบ้าน และต้องมารับตรงนี้ 2 ปี ผมว่าคนละความรู้สึกกับการไม่เรียน รด.แน่นอน แต่ถ้าเกิดขึ้นก็แค่รับมือแค่นั้นเอง ผมก็ตื่นเต้นเนอะ”
โดยภายหลังภาพหนุ่มชินร่ำไห้เผยแพร่โลกออนไลน์เจ้าตัวโดนกระแสวิจารณ์มากมาย จนต้องออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงในอินสตาแกรมว่า ที่ร้องไห้ไม่ได้เป็นเพราะต้องเป็นทหาร แต่ตนแค่ห่วงแม่และน้องเท่านั้น