สาวน้อยยิ้มสวย ผู้ที่พิฆาตทุกสายตาด้วยรอยยิ้ม หากรู้จักเธอเพียงในจอ ก็คงจะคิดว่าเธอเป็นสาวมั่น เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่รู้หรือไม่ เธอเป็นสาวที่พูดเก่งมากๆ ชนิดที่ว่าคุยได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ กับสาวน้อยคนนี้ “กุ๊กกิ๊ก กรกมล เจริญชัย”
"Super บันเทิง" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "กุ๊กกิ๊ก" ดาราสาวผู้ที่รับบทบาทด้านการแสดงมาอย่างโชกโชน ทั้งบทผี บทคนตาบอด และล่าสุดกับบทบาทนักสืบสาว "แอนนา" ในละครเรื่อง "ดิแองเจิล นางฟ้าล่าผีปี 2" ซึ่งวันนี้เธอมานั่งพูดถึงการทำงานอีกก้าวในชีวิต พร้อมทั้งนำความสดใสตามสไตล์ที่เจ้าตัวเป็นมาแจกให้เห็นรอยยิ้ม และดวงตาชวนฝันที่แทบละลายเมื่อยามเผลอจ้องเข้าไปในตาคู่นั้น
หลายคนได้รู้จัก "กุ๊กกิ๊ก" มาบ้างในฐานะ Miss Gossip girl ปี 2010 นางแบบโฆษณา นางเอกMV และนักแสดงวัยรุ่นจากภาพยนตร์ Art idol แต่หากย้อนเวลาไปไกลกว่านั้น เธอคือสาวสุดป๊อบแห่ง ม.ของแก่น และหนึ่งแรงบันดาลใจผู้ผลักดันให้ก้าวสู่วงการบันเทิงคือคุณแม่
"จริงๆ กิ๊กอยู่ในวงการบันเทิงมาก็ 5 ปีแล้วนะค่ะ กิ๊กเข้าวงการมาได้จากการชนะเลิศประกวดรายการ Gossip Girl 2010 ซึ่งทำให้กิ๊กได้รับโอกาสทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปีด้วยการเซ็นสัญญากับทางค่ายโมโน หลังจากที่กิ๊กได้รับรางวัลทุกอย่างในชีวิตกิ๊กก็เปลี่ยนไปหมดเลยนะ เพราะอย่างปีแรกที่กิ๊กเข้ามาทำงานกิ๊กไม่เคยห่างบ้านหรือจากแม่เลย และอยู่ๆวันนึงเราต้องเข้ามากรุงเทพ ทำให้เราต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องเรียน เรื่องการทำงาน และก็ต้องมานั่งจัดตารางและเวลาเรียนไม่ให้มันชนกัน และตรงนี้มันทำให้กิ๊กโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น"
"เอาจริงๆ ชีวิตของครอบครัวกิ๊กไม่ได้สบายเลย ต่างคนต่างก็ต้องดูแลตัวเอง และแม่เขาก็เป็นห่วงมากเหมือนกัน เพราะตอนนั้นกิ๊กนั่งรถทัวร์เข้ามาในกรุงเทพฯคนเดียว แม่เขาก็ถามนั่งรถทัวร์เสร็จแล้วต้องไปยังไงต่อ เหมือนมันเป็นสิ่งใหม่ที่ตัวกิ๊กต้องยอมรับมันให้ได้ในเรื่องของการเข้ามาในวงการบันเทิง แต่ถามว่าเหนื่อยไหม ช่วงนั้นเหนื่อยมาก สาระพัดโลกเลย แบบตอนเช้านอนบนรถทัวร์ แล้วค่อยไปตื่นที่นั้นที่นี่ คือชีวิตจะอยู่บนรถทัวร์หมดเลย ก็รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดี"
"แรงผลักดัน น่าจะเป็นแม่แหละ เพราะว่าเราเห็นชีวิตเขามาตั้งแต่เราเป็นเด็ก แม่เลี้ยงกิ๊กมาคนเดียว และกิ๊กคิดว่าทุกอย่างที่กิ๊กทำก็เพื่อเขา เพื่อตัวกิ๊ก ตั้งแต่เด็กๆ มันก็ลำบากมาในระดับหนึ่งนะเพราะว่าเหมือนมันไม่ใช่ครอบครัวที่เพอร์เฟคมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นครอบครัวที่ยากจน แล้วก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นมาปานกลาง แล้วพอกิ๊กเข้ามาทำงานทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น ซึ่งตรงนี้มันก็เหมือนเป็นแรงกระตุ้นให้กิ๊กชอบทำงาน คือกิ๊กจะเหนื่อยแค่ไหนก็ชั่ง แต่ถ้ากิ๊กยังมีแรงอยู่ก็อยากจะทำ กิ๊กเห็นแม่เหนื่อยมาเยอะ แถมแม่ยังเลี้ยงลูก 2 คน ทำไมเขายังทำได้ แค่ทุกวันนี้เราเลี้ยงตัวเองจะรอดแหล่ไม่รอดแหล่ ซึ่งจริงๆแม่เขาก็จะมีงานของเขาอยู่แล้ว แต่เราแค่ซัพพอร์ตในเรื่องที่ขาด และเราก็คิดว่ามันยังไม่ถึงครึ่งที่แม่เขาทำมาให้กับเรา ตรงนี้เลยคิดว่าตัวกิ๊กก็ต้องพยายามทำให้ได้ เพราะเรายังไม่แก่เลย ยังไม่มีลูกเลย (หัวเราะ)"
ดาราหน้าไม่ใหม่
คลื่นลูกใหม่เข้ามาเสมอๆ คลื่นลูกเก่าถ้าไม่รักษาตัวให้ดีก็อาจถูกซัดกลืนหายไปง่ายๆ แต่สำหรับดาราบางคนนับเป็นกรณีพิเศษ เพราะเข้าวงการบันเทิงมานานแล้ว มีชื่อเสียงพอประมาณไม่ได้เปรี้ยงปร้างอะไร แต่เมื่อได้รับโอกาสที่ผู้ใหญ่หยิบยื่นงานดีๆให้ ก็ทำให้เธอได้พิสูจน์ฝีมือจนเข้าไปอยู่ในใจคนดู
"กิ๊กไม่ค่อยซีเรียสกับการที่จะดังหรือไม่ดังนะ อันนี้เหมือนกับเราได้เดินทางมาแล้ว และระหว่างทางที่เราเดิน เราได้แวะทำนู้ทำนี่ ทำหลายๆอย่างที่เราอยากจะทำ มันทำให้ชีวิตของกิ๊กดูมีสีสันมากขึ้น เอาจริงๆ ชีวิตของคนมันเหมือนการเดินทาง คือถ้ากิ๊กไม่ได้มาทำงานตรงนี้ ชีวิตกิ๊กก็แค่เดินไปเรียน ทำงานแลกเงินเดือน โอเคมีครอบครัวแล้วก็จบ แต่อันนี้คือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบชีวิตใหม่ๆมากขึ้น ต้องทำงานแปลกๆ และทำงานกับคนอื่นๆทั่วๆไปที่เราไม่รู้จักเขามาก่อน มันทำให้การเดินทางของเรามีสีสัน ซึ่งตัวกิ๊กเองไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องดังมากนะ ไม่ต้องมีชื่อเสียง แต่เรามีงาน มีรายได้ที่เราพอจะเลี้ยงครอบครัวได้ แค่นี้กิ๊กก็รู้สึกว่ามันโอเคแล้ว"
เป็นดารานั้นไม่ง่ายต้องพัฒนาตัวเองเสมอ
สาวน้อยยังกล่าวว่าคำที่เขาบอกกันว่าวงการนี้เป็นวงการมายา เธอบอกว่าเป็นเรื่องไม่จริงเลย การที่จะอยู่ในวงการนี้ได้นานๆ ต้องมีความรับผิดชอบและเรื่องของเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ และเธอก็อบอุ่นทุกครั้งที่ได้มาอยู่ในบ้านหลังนี้
"กิ๊กว่ามันไม่ยากนะถ้าเราเป็นตัวเรา บางคนเขาอาจจะอยู่ในวงการนี้ยากเพราะเขาอาจไม่ใช่ตัวของตัวเองในเรื่องแบบนี้เนอะ ตราบใดที่เราอยู่ที่ไหนแล้วเป็นตัวเราเองไม่ได้เฟค หรือสร้างอะไรขึ้นมามันก็น่าจะสบายอยู่แล้ว เรื่องของความเป็นอยู่ว่าวางตัวยากมั้ย กิ๊กว่าไม่ยากเลยนะ เพราะกิ๊กเป็นตัวกิ๊กแบบนี้แหละ บ้าๆ บอๆ รั่วๆ (หัวเราะ) คือเวลาทำงานก็คือทำงาน เวลาเล่นก็เล่น ส่วนเรื่องกินเส้นกับใครไม่มีเลย(รากเสียงยาว) มันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงแหละเนอะ ที่จะมองว่าอีกคนได้งานเยอะกว่า แต่ตรงนี้กิ๊กไม่ซีเรียสเลย เพราะกิ๊กคิดว่ามันเป็นโอกาสของแต่ละคนมากกว่า เราอาจจะมีโอกาสตอนนี้เยอะ คนอื่นเขาอาจจะมีโอกาสตอนอื่นๆเยอะ ก็ไม่แปลก มันอยู่ที่ความพยายามของคนด้วยแหละ เหมือนถ้าเราพยายามทำอะไรให้ใครเห็น เราคิดว่าผู้ใหญ่ก็น่าจะเห็นเองแหละว่าเราพยายามทำอยู่นะ แต่ถ้าเกิดว่าคนไหนที่ไม่พยายาม และออกมาเรียกร้อง หรือไม่เดินหาโอกาส กิ๊กว่ามันก็ไม่มีใครที่ได้อะไรมาง่ายๆ"
"และอีกอย่างที่กิ๊กรู้สึกดีใจที่หลายๆ คนเห็นว่าเราทำอะไรแล้วมันมีสิ่งที่ดีๆเกิดขึ้น จริงๆ กิ๊กเคยเจอมาเรื่องเล็กๆน้อยๆ คือเรื่องของการตรงต่อเวลาในการทำงาน บางคนเขาคิดว่างานนี้มาเลทได้ เพราะต้องรออีกคน แต่สำหรับกิ๊กคิดว่าถ้าต้องรอใครในเรื่องของการทำงานมันค่อนข้างจะไม่โอเคเนอะ เราคิดว่าเรื่องเล็กๆเหล่านี้เราก็ไม่ควรที่จะมองข้ามแล้ว เวลาไปเข้ากองถ่ายบางคนก็จะบ่นว่ามาตั้งนานแล้วเมื่อไหร่จะได้ถ่าย แต่ในความเป็นตัวกิ๊กถ้าเจอน้องที่กิ๊กสนิทด้วย กิ๊กก็จะเถียงเลยนะว่าคนอื่นที่เขามาเช้าเขายังไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย แต่เราเป็นนักแสดงเราถ่ายซีนนี้ และเรารออีก 5 ซีน และค่อยมาถ่ายต่อ แบบนี้เรามีเวลาพักตั้งเยอะทำไมเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยล่ะ ทำไมเรารู้สึกว่าเรามารอนาน ทำไมเราไม่รู้สึกว่าทุกคนก็เหนื่อยเหมือนกันหมด จะเหนื่อยมากเหนื่อยน้อย เราก็ไม่ควรที่จะเห็นแกตัวในเรื่องของการทำงานในวงการบันเทิง"
"อย่างของกิ๊กจะคลุกคลีที่สุดก็น่าจะเป็นกองถ่าย แล้วเราจะเห็นว่าเขามีหน้าที่ทำอะไร อย่างที่บ่นว่ามาแล้วไม่ได้ถ่าย มารอนาน อะไรแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะบ่น และเรื่องของการตรงต่อเวลา มันก็เป็นสิ่งสำคัญของการทำงานในวงการบันเทิงอยู่แล้ว แต่เรื่องการทำการบ้านตัวกิ๊กยอมรับว่ามีข้อบกพร่องบ้าง แต่เราก็ต้องพยายามให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เหมือนมันมีโอกาสเข้ามาแล้วถ้าเราไม่พยายามตอนนี้เราจะไปพยายามตอนไหน"
"เรื่องเรียนก็เหมือนกัน หลายคนจะบอกทำงานจนไม่มีเวลาเรียน จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะกิ๊กเคยผ่านมาแล้ว อย่างที่รู้กันอยู่กิ๊กเรียนที่ขอนแก่น แล้วมาทำงานในกรุงเทพฯ ต้องนั่งรถไปกลับ แต่กิ๊กเองยังสามารถผ่านมาได้ อย่างคนที่เรียนในกรุงเทพฯใกล้ๆ แต่มาบอกทำงานจึงไม่สามารถไปเรียนได้ กิ๊กว่ามันเป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ แบบบางคนที่เรียน 7-8 ปี บอกทำงานจนไม่มีเวลาเรียน เราคิดว่าเห้ยมันไม่ใช่นะ มันไม่โอเค เราก็อยากจะฝากไว้ถ้าเรามีความขยันยังไงก็ผ่านไปได้อยู่แล้ว กิ๊กไม่อยากให้โฟกัสเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กิ๊กคิดว่าให้มันควบคู่ไปพร้อมกัน แค่อดทนขยันในช่วงหนึ่งแล้วมันก็จะดีในอนาคตเท่านั้นเอง"
ได้ข้อคิดอะไรจากการที่เรามาถึงจุดนี้
"จริงๆ ให้ทุกอย่างเนอะ ให้ทั้งประสบการณ์ ให้ความคิดแปลกใหม่ ให้การเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง เหมือนเป็นการทำให้เด็กคนนึงโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน คือตอนที่กิ๊กเข้ามาวงการบันเทิงครั้งแรก เหมือนเราต้องเปลี่ยนตัวเองแค่สัปดาห์เดียว ต้องเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯแล้ว และต้องทำทุกเองทุกอย่างเองหมด จากคนที่ไม่เคยเดินถนนในกรุงเทพฯ ไม่เคยรู้ว่าเครื่องบินเขาจองตั๋วกันยังไง ทำให้เราเปลี่ยนตัวเอง ทำให้เราพัฒนา รวมถึงได้เรียนรู้เรื่องของแอคติ้ง เพราะตั้งแต่เข้ามางานแรกที่ทำไม่ได้เรียนแอคติ้งด้วย และเป็นงานที่ถ่ายคู่กับ "พี่บอย ปกรณ์" ตอนนั้นก็แค่ 20 เทคเบาๆ (หัวเราะ) แต่พี่บอยก็ไม่ได้เหวี่ยง นิสัยดีมากอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ทำให้กิ๊กมีความพยายามในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยที่เราไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ แต่เราก็คิดว่าต้องทำให้ได้แล้วดีที่สุด"
"และการที่กิ๊กได้เข้ามาทำงานในตรงนี้ ทำให้กิ๊กหลงรักในศาสตร์การแสดงมาก เพราะงานแสดงทำให้เราเป็นในหลากหลายรูปแบบ ในหลากหลายตัวตนที่มากกว่าการเป็นตัวเอง รู้ในนิสัยใจคอของตัวละครนั้น กิ๊กเลยรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ทำให้หลายๆคนชอบในการเป็นตัวละครที่เป็นคาแรคเตอร์ในอีกแบบหนึ่งที่มันดีขึ้นมากกว่าที่เป็นตัวเรา อย่างเวลาเพื่อนนั่งดูละครเขาก็จะบอกว่ามันไม่ใช่กุ๊กกิ๊กที่รู้จัก บางทีก็รู้สึกขำดีเหมือนกันที่เพื่อนพูดแบบนี้ มันทำให้รู้สึกว่ามันแปลกดี มันรู้สึกว่าเราชอบในสิ่งที่เราทำ"
วันวานที่เกือบเป็นทอม
แม้ว่ารูปลักษณ์ภาพนอกจะดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ใครจะเชื่อว่า สมัยเด็กเป็นคนห้าว ไม่เหมือนผู้หญิง อารมณ์เคยเกือบเป็นทอมซะด้วย แถมเจ้าตัวมักสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ไม่ชอบปล่อยผม แม่ก็กลัวว่าลูกจะเป็นจริงๆ จึงสรรหาทุกอย่างที่จะทำให้เป็นผู้หญิง
"ห้าวมาก (รากเสียงยาว) แต่งตัวแมนมาก เหมือนแบบผู้ชายเลย ทุกคนมองก็มองว่าเราคล้ายทอมนะ แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้นมาก ซึ่งตอนเด็กๆกิ๊กก็จะปืนเล่นต้นมะยมอย่างเดียวเลย ปั่นจักรยานแข่งกับเพื่อน เล่นลูกแก้ว เล่นเป่ายาง เล่นหุ่นยนตร์ ไม่มีบาร์บี้เลยนะ เหมือนเรามีพี่ชายด้วย ซึ่งเราก็จะไปไหนกับแก๊งพี่ชาย เราเลยรู้สึกว่าชอบ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นผู้ชายนะ แต่แม่เขาจะรู้สึกว่าเรามีนิสัยไม่ใช่ผู้หญิง แล้วการแต่งตัวมักสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ไม่ชอบปล่อยผม และกิ๊กก็สนิทกับเพื่อนผู้หญิง ซึ่งบางครั้งเพื่อนผู้หญิงเขาก็จะมานอนบ้านนะ แม่ก็จะมองว่าเป็นอะไรกันหรือเปล่า (หัวเราะ) แม่ก็เลยกลัวว่าจะเป็นทอมหรือเปล่า"
สาวนักผจญภัย!!
"กิ๊กชอบเล่นพวกกีฬาผลาดโผน แบบเล่นสกีลงเขา ซึ่งเราก็ตกเขามาด้วย (หัวเราะ) แต่กิ๊กเป็นคนที่ชอบพวกผจญภัยแบบนี้อยู่แล้ว ชอบอะไรที่ท้าทาย ซึ่งจริงๆกิ๊กเป็นคนที่กลัวความสูงมากนะ แต่มันก็เป็นจุดพิสูจอีกอย่างหนึ่งที่เรา คิดว่าเราจะทำได้ไหม เราจะกลัวมันมากแค่ไหน ตอนที่เราไปเล่นสกีคือเขาจะมีสกีข้างล่างกับสกีขึ้นเขา เราว่างแพลนไว้เลยว่าเราจะขึ้นไปให้ได้ คือทุกคนก็จะบอกเราว่ามันสูงมากนะ คือมองลงมาเป็นพื้นชัน เราก็เลยมองว่ามันอาจจะแค่นิดหน่อยอ่ะ แต่ข้างในใจมันคือเต้นมาก และเราก็กลัวว่ามันจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่มเหมือนกัน เราเลยลองดูแล้วกัน พอได้ทำเราก็เลยรู้สึกว่ามันทำได้ จริงๆ เราก็กลัวความสูงมาตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็คิดว่า มันต้องมีสักอย่างแหละที่ทำให้เราเลิกกลัว แต่พอเราขึ้นไปก็รู้สึกว่ามันไม่กลัวแล้ว"
"เครื่องบินเหมือนกัน ไม่นั่งเครื่องบินเลยเพราะกลัวความสูง แต่พอได้ลองนั่งก็คิดว่าเครื่องบินยังผ่านมาได้ แต่คิดว่าสกีก็เหนือกกว่าในระดับหนึ่ง เราก็เลยคิดว่ามันต้องผ่านไปให้ได้สิ คือช่วงแรกๆก็ค่อยคำทางไป อาจจะมีล้มลุกคุกคลานไปบ้าง แต่หลังๆมันก็ดีขึ้น เราเลยรู้สึกว่ามันแปลกดี มันก็เลยเป็นสื่งที่ชอบอีกแบบหนึ่ง"
"อีกอย่างกิ๊กชอบการเดินป่า ชอบเที่ยวทะเล แม้ว่าจะว่ายน้ำไม่เป็น แค่เอาเท้าลงไปแตะน้ำมันก็รู้สึกดีใจมากแล้ว และเวลาที่กิ๊กชวนเพื่อนไปเที่ยวด้วย พวกเพื่อนๆก็จะปฏิเสธตลอดเหมือนมันไม่ใช่แนว อย่างรถโกคาร์ทมันก็ไม่ใช่แนวเพื่อนๆ เราก็แบบเห้ยไม่มีใครเล่นกับฉันเลย(รากเสียงยาว) อย่างต่อยมวยเพื่อนก็ไม่ค่อยสนใจ บางทีก็ต้องมีเพื่อนผู้ชายบ้าง แต่ก็ยากเนอะ เพราะเพื่อนผู้ชายสมัยนี้เราคิดกับเขาเป็นเพื่อน แต่เขาไม่ได้คิดกับเราเป็นเพื่อน ก็วุ่นวายยาก ก็เป็นสื่งที่เราชอบ แต่ให้ไปคนเดียวได้นะ"
กาแฟกับผู้หญิงเหมือนกันที่....ความซับซ้อนและความหลากหลายของรสชาติ
"อย่างที่บอก จริงๆ กิ๊กไม่ชอบทำงานเป็นแบบมนุษย์เงินเดือนเท่าไหร่ จากที่เคยไปฝึกงานมาแล้วนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอม 10 นาที กิ๊กก็จะร้องไห้แล้ว(หัวเราะ) คือเป็นคนสมาธิสั้น กิ๊กจะเป็นคนที่ชอบเอนเตอร์เทนมากกว่า จริงๆ ตัวกิ๊กอยากทำร้านอาหาร หรือร้านกาแฟที่ต้องบริการคนอื่น เพราะเรารู้สึกว่าเราบริการได้ดี เราพูดมาก(หัวเราะ) และตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะยิ้มง่าย ซึ่งกิ๊กก็มีเรื่องที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ให้กับคนอื่น"
"เคยเป็นเด็กเสิร์ฟร้านกาแฟมาก่อนนะคะ รู้สึกว่าชงกาแฟแล้วมีความสุข ชอบมาก แล้วเวลาที่เสิร์ฟเห็นลูกค้ายิ้มแย้มก็มีความสุขตาม มันเป็นความรู้สึกที่ดีในอีกรูปแบบหนึ่ง กิ๊กเลยคิดว่าถ้าเรามีร้านเป็นของตัวเองมันก็น่าจะดีกว่านี้ ถามว่าตอนนี้พร้อมเปิดเลยมั้ย จริงๆกิ๊กอยากทำเลยตอนนี้ แต่ด้วยเวลาและงานของกิ๊กมันยังไม่ได้ ถ้าคิดว่าให้คนอื่นทำไปก่อน เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ร้านเรา กิ๊กเลยคิดว่าให้เราว่างจริงๆ ก่อนแล้วค่อยออกไปเปิดร้านกาแฟดีกว่า เพราะกิ๊กอยากดูแลร้านเองมันสบายใจกว่า และอย่างที่บอกทุกวันนี้เรายังมีกำลังที่จะทำตรงนี้อยู่ พอทำได้ก็อยากทำตรงนี้ให้มันเต็มที่ก่อน แล้วค่อยไปทำอีกอย่างหนึ่ง"
เด็กๆ อยากเป็นครู เพราะเห็นแบบอย่างมาจากแม่
"แต่ตอนเด็กๆ มีแววนะ เพราะตอนเด็กๆที่โรงเรียนเราปิดเทอมก่อน ซึ่งโรงเรียนที่แม่สอนเขายังไม่ปิด แม่ก็จะพากิ๊กไปโรงเรียนด้วย และแม่ก็ให้กิ๊กไปยืนสอนนักเรียน ซึ่งวิชาภาษาไทยกิ๊กได้เกรด 4 ค่ะ ตอนนั้นกิ๊กว่ากิ๊กเก่งมากนะ(หัวเราะ) กิ๊กจะสอนทุกคนเอง(หัวเราะ) แล้วกิ๊กก็ไปยืนหน้าห้อง แล้วบอกว่าทำตามคำบอก แล้วถ้าเขียนคำไหนผิดกิ๊กก็จะตี หรืออาจจะมีแบบดุๆบ้าง ซึ่งตอนแรกแม่เขาก็จะคิดว่าเราคงเดินตามรอยแม่ด้วยซ้ำ ซึ่งแม่เองเขาก็ดีใจและชอบที่เราทำอะไรแบบนี้"
"แล้วยิ่งเมื่อก่อนตอนเด็กๆ จะมีพวกขนมนำมาแจกเด็ก ซึ่งกิ๊กก็มีเตรียมไปด้วยตัวเอง เราก็จะเล่นใหญ่ไปอีกว่าฉันเตรียมไปจ้า อารมณ์เด็กที่แม่สอนจะเป็นเด็กพวกชนบทหน่อย แล้วเด็กๆเขาก็จะดีใจในเรื่องพวกนี้ เพราะแค่เขาได้รับของเล็กๆน้อยๆเขาเองก็ดีใจกันแล้ว และเมื่อเราเห็นเขายิ้มทำให้ตัวเองรู้สึกดีและอยากทำ แม่ก็จะภูมิใจในตรงนั้น"
เอนทรานซ์ไม่ติด ทำชีวิตเปลี่ยน?
"ตอนนั้นกิ๊กอยากเลือกเรียน ศึกษาศาสตร์ นิติศาสตร์ และการโรงแรม เราสอบศึกษาศาสตร์ไม่ได้ ก็เลยไปสอบนิติศาสตร์ แล้วตอนที่ไปสอบนิติศาสตร์ เราก็ไปด้วยกันกับเพื่อน 6 คน ซึ่งเราก็ไปติวกันหมด ข้อสอบเหมือนกันหมด แต่ผลปรากฏเพื่อนทุกคนติดนิติศาสตร์กันหมด ยกเว้นกิ๊กคนเดียว(หัวเราะ) คิดดูดิว่านั่งติวกันจนรู้ว่าข้อไหนเป็นข้อไหน แต่เรารู้สึกว่าทำไมเพื่อนติดแล้วทำไมเราไม่ติด กิ๊กก็เลยคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ทางของเราก็ได้ เราก็คิดในแง่ดีไง ก็เลยลองไปทางอื่นดู กิ๊กก็เลยเลือกมาเป็นการโรมแรม และได้อันนี้ก็เลยคิดว่ามันคงเป็นทางของเรา"
"อย่างที่บอก คือทุกอย่างมันเปลี่ยนตอนที่เอนทรานซ์มากกว่า เพราะเราเอนทรานซ์ไม่ติด มันเลยทำให้ชีวิตเปลี่ยนเลยทำให้เราไปในทางอื่นที่เราไม่ได้ทำในตรงนั้นแล้ว ซึ่งแม่เองก็คงรับได้ในตรงนั้นแหละ(หัวเราะ) แต่พอเข้ามาประกวดแม่ก็ดีใจใหญ่ เพราะแม่เขาชอบให้เราอยู่หน้าจอทีวี ชอบให้ลูกแต่งตัวสวยๆ ซึ่งแม่กิ๊กก็ไม่ได้บังคับว่าเราต้องเรียนอะไร แต่คิดว่าเขาก็อยากให้เป็นครูแหละ เพราะทางบ้านของกิ๊กเป็นครูหมมดทั้งตระกูลเลย(หัวเราะ) แต่พอเราไม่ได้จริงๆ เหมือนเขาก็ลองเปิดใจ ก็คงอยากให้เราลองอย่างอื่นบ้าง แต่ก็ไม่ได้กดดันอะไรนะ"
"เราเรียนเกี่ยวกับการโรงแรมและการท่องเที่ยว เพราะจริงๆ ตัวกิ๊กเป็นคนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว และชีวิตกิ๊กเป็นสาวผจญภัย นิสัยกิ๊กจะห้าวมาก ห้าวจนแม่กลัวว่าจะเป็นทอม และพอกิ๊กได้มาแต่งตัวเป็นผู้หญิงแม่เขาจะรู้สึกดีมาก ว่ามันเป็นผู้หญิงแล้วนะ และพอเราไม่มีแฟนแม่ก็จะบอกว่า แม่ก็อยากมีผู้สืบสกุล(หัวเราะ) เราก็บอกเดี๋ยวแม่ใจเย็นๆ(หัวเราะ)"
"ท้อ" แต่ไม่เคยที่จะถอย
และตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงจะมีเรื่องราวที่ทั้งสุข และทุกข์ปะปนกันไป ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
"สำหรับกิ๊กเวลาที่เหนื่อย เวลาที่ท้อ หรือหมดกำลังใจ เราจะทำตัวให้ดูร่าเริงซึ่งมันอาจจะเป็นวิธีที่สิ้นคิดมาก แต่บางทีก็มีนะที่แอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ เพราะอย่างที่บอกมาอยู่กรุงเทพตัวคนเดียว (เสียงสั่น) เวลาที่เราท้อมันต้องมีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราท้อเสร็จเราก็บอกใครไม่ได้ ยิ่งบอกแม่ได้ไม่อยู่แล้ว ถ้าแม่รู้เขาก็ยิ่งเสียกำลังใจมากกว่าเรา เพราะเขาเป็นคนที่อยากให้เราเข้ามาทำงานในตรงนี้ เขาจะรู้สึกว่าทำไมลูกทำแล้วมันไม่มีความสุขหรอ พอเราท้อเสร็จมันก็จะมีความคิดอีกแบบหนึ่งว่า วันนี้เราเหนื่อย แต่คนอื่นเขาเหนื่อยกว่าเรา เขาไม่มีโอกาสมากกว่าเรา แต่ทำไมเราถึงคิดแค่ว่าเราเหนื่อยมากไม่ไหวแล้ว จริงๆ โลกมันมองได้หลากหลายรูปแบบ ถ้าหากกิ๊กลองเปลี่ยนมุมมองให้มันดีขึ้น มันจะทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น หรือไม่เราก็มองว่าเราพยายามมากพอหรือยังกับการท้อครั้งนี้"
"สิ่งที่กิ๊กภูมิใจมากที่สุด ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เรียนจบ ม. ขอนแก่น เพราะเป็นมหาลัยที่เราใฝ่ฝัน และพอเรียนจบก็มีงานที่ดี ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องขอเงินแม่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราภูมิใจที่สุดแล้ว และการที่เราเรียนจบคือเราไม่เคยคิดว่าเราจะเรียนจบพร้อมเพื่อนเลย เพราะอุปสรรคมันเยอะ ทั้งการเรียน และการทำงาน แค่ในกรุงเทพเราก็ว่ายากแล้ว แต่นี่คือต่างจังหวัดด้วย บางครั้งอาจารย์บางท่านเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เราก็ต้องพยายามมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น พอมันมาถึงวันที่เราเรียนจบจริงๆ เราก็คิดว่ามันสำเร็จแล้วนะกับการที่เราพยายามทำ และแม่เขาก็ดีใจที่เราทำได้แล้วทั้งสองอย่าง ตามที่เขาอยากเราให้ประสบความสำเร็จ แค่เข้ามาทำงานในวงการ เขาเห็นเราได้ออกทีวี นั้นก็เป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเราประสบความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง เขาก็ชอบ กิ๊กเลยคิดว่า เราทำให้แม่ดีใจ ก็เป็นความน่าภาพภูมิใจของเรามากที่สุดแล้ว(ยิ้ม)"
"รัก" ที่ไม่ต้องทน คือ รักคนที่ "เขารักเรา"
และเมื่อมาถึงคำถามที่หลายคนอยากทราบสเป็กหนุ่มๆ ของนักแสดงสาว "กุ๊กกิ๊ก" เธอบอกเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า จริงๆ ก็ไม่ได้มีสเป็กผู้ชายในฝันอะไร ขอแค่เข้าใจซึ่งกันและกันเท่านั้นก็พอแล้ว
"เป็นคนที่ไม่มีสเป็กผู้ชายอยู่ในหัวเลย แต่สำหรับกิ๊กคิดว่าผู้ชายสไตล์อารมณ์ดีคิดว่าเหมาะกับเรามากที่สุดแล้ว แบบยิ้มง่าย ไม่ต้องซีเรียสกับชีวิตเยอะมาก คุยกันแบบเข้าใจ ถามว่าตอนนี้มีคนคุยด้วยมั้ยหรอ ก็มีเรื่อยๆมากกว่า คุยบ้างหายบ้าง(หัวเราะ) ก็มีมาเรื่อยๆแหละมีมาตลอด แต่เราก็คุยในระดับที่กลางๆมากกว่า เพราะเหมือนเราทำงานตรงนี้น้อยมากที่จะรับได้ในเรื่องของเวลา และผู้ชายหลายๆคนไม่ชอบให้แฟนตัวเองไปทำงานกับคนหล่อๆ เขาก็บอกว่าห้ามแต่งตัวแบบนี้ ห้ามคุยกับคนนี้ ห้ามมีบทแบบนี้ คือเรารู้สึกว่ามันไม่ได้ เราเป็นนักแสดง เรามีบทหอมแก้มแบบนี้ จะมาว่าเราไม่ได้ คือเราต้องทำงาน มันต้องเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราต้องคุยในระดับกลางๆไปก่อน โอเคถ้าเราเข้ากันได้ค่อยมาว่ากัน"
"กลัวมั้ยกับเรื่องข่าวฉาวๆ เกี่ยวกับความรัก(คิดพักนึง) จริงๆกิ๊กไม่กลัวนะ เพราะการที่คนจะชอบเราหรือรักเรา เขาก็น่าจะรักที่กิ๊กเป็นตัวของกิ๊กมากกว่า หรือชอบผลงาน หรือนิสัยของกิ๊ก ซึ่งถ้ากิ๊กรักใครเขาก็น่าจะโอเคกับกิ๊กเหมือนกัน เพราะคนที่มาเป็นแฟนกิ๊กเขาก็คงไม่ได้เป็นฆาตกรโรคจิตอะไรแบบนี้ แฟนคลับเขาก็น่าจะรับได้นะในเรื่องตรงนี้(หัวเราะ)"
ลั่นมีหนุ่มๆ ทั้งในและนอกวงการตามขายขนมจีบเพียบ
"มีค่ะ แต่กิ๊กไม่ชอบคนในวงการ จริงๆก็มีมาเรื่อยๆแหละ มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายช่อง เราก็คุยได้นะ ถามว่าเขามาตามจีบเรายังไง อันนี้เราก็งงเหมือนกัน(หัวเราะ) ช่วงที่เราเข้าวงการมาแรกๆ เราก็งงมากมารู้จักเราได้ยังไง บางทีก็คนนี้แนะนำให้รู้จักตามงาน ซึ่งตอนนั้นเราก็เป็นเด็กเลยไม่ได้สังเกตุ ช่วงแรกๆก็มีเข้ามาเยอะเหมือนกัน คนที่เข้ามาจีบก็ไม่ถึงขั้นพระเอกแต่ก็พอเป็นที่รู้จัก แต่คือเราก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงจ้าแบบที่ผู้ชายเขาคิดไว้เนอะ ในลุคของเรา ในภาพที่เห็น มันอาจจะเป็นผู้หญิงที่สวยหวานน่ารัก แต่ในความเป็นเราคือเราไม่ใช่อย่างนั้น บางทีอาจจะคุยแล้วมันไม่ใช่ก็เลยกลายมาเป็นพี่น้องกันดีกว่า หรือไม่เขาก็หายๆ หรือไม่ก็คุยกันธรรมดาไม่ได้แบบจีบอะไรก็เป็นพี่น้องกันตามปกติมากกว่า"
เป็นคนกลัวผีที่หาญกล้า
ว่ากันว่าเรื่องผีๆ สางๆ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นผี และประสบการณ์ผีของแต่ละคนมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน ซึ่งสาว "กุ๊กกิ๊ก" เผยกับเราว่า ตนเองเป็นคนที่กลัวผีระดับ 8 งานนี้เจ้าตัวเลยมาบอกเล่าเรื่องสยองขวัญชวนขนหัวลุก โดยเล่าให้ทีมงานฟังว่า ครั้งหนึ่งไปทำงานเขาค้อแล้วนอนอยู่กับน้องทีมงาน พอกลางดึกตื่นพลิกตัวไปปรากฏว่าหน้าที่เห็นไม่ใช่น้องที่รู้จัก
"เคยเจอผีตอนนั้นอายุ 20 ต้นๆ เจอแบบตามเลย เจอจนบางทีมันหลอนๆ คือตอนนั้นไปถ่ายรายการคนอวดผี แล้วก็เจอผู้หญิงคนนึง ซึ่งหลังจากที่เราถ่ายทำรายการเสร็จเราก็เจอผู้หญิงคนเดิมอีก ตอนแรกก็คิดว่าตาฝาด คิดว่าเขาคงจะจัดฉากหรือเปล่า แต่หลังจากนั้น เรากลับบ้านที่ขอนแก่นก็ยังเจอไม่รู้ว่าเขาตามไปหหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าเราเห็นแบบเป็นรางๆ ครั้งหนึ่งไปทำงานเขาค้อแล้วนอนอยู่กับน้องทีมงาน พอกลางดึกๆ ตี 2-3 ดเราตื่นพลิกตัวไปปรากฏว่าหน้าที่เห็นไม่ใช่น้องที่รู้จัก ตอนแรกก็คิดว่าฝันนะคะ ซึ่งกิ๊กก็พยายามหลับตาอยู่หลายรอบ มันก็ยังเจอเหมือนเดิม และกิ๊กกรี๊ดก็ไม่ได้ วิ่งออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เพราะอยู่กลางป่า ตอนนั้นเรานอนหลับตาแล้วนโมตัสสะ ภควโต ท่องบทสวดทุกอย่างเลย แล้วหลับไป
เคยมีมาในแบบอื่น เดินผ่านหน้าบ้าง เลยมานั่งคิดว่าเมื่อก่อนไม่เคยเป็น วิเคราะห์ว่าเพราะไปออกรายการคนอวดผีหรือเปล่า จึงไปทำบุญ ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ต่อมาได้คุยกับน้องที่เคยไปออกรายการแล้วเขาไปสถานที่เดียวกันคือโรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่าเจอเรื่องคล้ายกัน เหมือนบางอย่างตามมาจากที่นั่น และช่วงนั้นกิ๊กทำบุญหนักมาก ทั้งถวายพระประธาน ตอนนี้กิ๊กก็ไม่ได้เห็นหรือเจออีกเลย(ยิ้ม)"
ผลงานล่าสุดคือ "ดิแองเจิล นางฟ้าล่าผีปี 2" เล่นบทเป็น "แอนนา"
"สิงห์สาวนักสืบเอกชน เป็นคนสวย เฉลียวฉลาด ไหวพริบดีเยี่ยมและรู้จักบริหารเสน่ห์ให้สำเร็จ ตามวัถุประสงค์ ทำงานต้องมีผลตอบแทน และเป็นคนที่มีเส้นสายทั้งตำรวจและอาชญากร นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเรื่องราวลึกลับและภูตผีวิญญาณเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ"
"และบทนี้ยอมรับว่ายากในระดับหนึ่ง แถมยังกดดันที่มาประกบคู่กับพี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ในละครเรื่องนี้อีก เพราะพี่เขาเป็นคนที่นิ่ง เป็นผู้ใหญ่ที่ว่างตัวดี ซึ่งบทที่เราพูดจะมีสั้นบ้างยาวบ้าง แต่ของพี่ต่ายบทพูดจะยาวมาก เหมือนเป็นการเล่าประวัติของเรื่องที่เกิดขึ้น คือพี่ต่ายแปปเดียวเขาก็จำบทได้ ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเราพลาดแม้แต่ประโยคเดียวคือเราจบเลยนะ เลยรู้สึกกดดันและเกร็งมาก ส่วนเรื่องผิดคิวมีอยู่แล้ว ก็มีช้ำที่ขา แล้วเรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะใช้พลังเยอะ แต่ก็ชอบนะ เพราะดูเป็นผู้หญิงเถื่อนๆดี (หัวเราะ) แถมยังได้ห้อยโหน ห้อยสลิง ต้อยมวย เป็นคนที่ชอบความรุนแรง ถึงตัวเองจะช้ำก็ไม่เป็นไร คือมันสนุก ก็เลยคิดว่าเป็นอีกงานอีกรูปแบบหนึ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน"
สุดท้ายนี้ถือว่าเป็นปีแห่งงานในวงการบันเทิงรู้สึกอย่างไรบ้าง?
"รู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสหลายๆทางแบบนี้ แต่ละบทที่เราได้รับมันแปลกมาก บางคนก็บอกว่า เรื่องนี้เล่นเป็นผี เรื่องนี้เล่นเป็นคนตาบอด เรื่องนี้เล่นเป็นตำรวจ แล้วเรื่องหน้าเล่นเป็นอะไร (หัวเราะ) คือหลายๆ คนเขาก็จะชอบแซว แล้วก็คิดว่าแต่ละบทบาทที่เราได้รับมันเป็นสิ่งที่ท้าทายกับตัวเรา ทำให้เราต้องไปศึกษาอะไรใหม่ๆตลอด มันแตกต่างกันออกไปในแต่ละด้าน มันทำให้เราศึกษาข้อมูลเยอะขึ้น ได้ดูหนังเยอะขึ้น ได้เรียนรู้ชีวิตของแต่ละคนแต่ละอาชีพมากขึ้น คือเป็นเหมือนประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นโอกาสที่ดีในช่วงชีวิตมากกว่า ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดี"
ก็อยากให้ทุกคนติดตามผลงานซีรีส์แนวใหม่ นางฟ้าล่าผีปี 2 เป็นละครที่ไม่ค่อยมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักเท่าไหร่ เป็นซีรีส์ที่เน้นเรื่องราวของการแอ็คชั่น เน้นผีแต่ละคน และเรื่องนี้รับลองน่ากลัวกว่าหอแต๋วแตกอีกอ่ะ ซึ่งเราเป็นคนเล่นเราก็อยากติกตามว่า ตัดต่อออกมาแล้วเป็นอย่างไร เราก็เลยคิดว่าคนอื่นก็น่าจะชอบซีรีส์ที่เป็นเรื่องผีแบบนี้บ้างค่ะ (ยิ้มหวานๆ)