“ติ๋ม ทีวีพูล” ยอมรับทำธุรกิจล้มเหลวครั้งแรกในชีวิต ลุยดิจิตอลทีวี 1 ปี ขาดทุนยับพันกว่าล้าน บอกทุกช่องบาดเจ็บทั้งหมดเหมือนหนองใกล้แตก แค่ไม่พูดหวั่นหุ้นร่วง ยืนกราน กสทช. ผิด! ย้ำไม่ปิดธุรกิจหนังสือ เพราะเป็นบ่อเงินบ่อทองของลูก ล่าสุด ยังไม่ล้มละลาย กว่าศาลจะตัดสินคงมีเงินถึงหมื่นล้านมาจ่ายหนี้แน่นอน เดินหน้าฟ้องกลับ กสทช. พันกว่าล้าน เบนเข็มลุยธุรกิจท่องเที่ยว เปิดอีก 2 เว็บไซต์
ถูกสื่อตีข่าวว่าบริษัทขาดทุนกว่า 1,900 ล้านบาท จากการทำธุรกิจทีวีดิจิตอล 2 ช่อง ทั้งช่องไทยทีวี และช่องโลก้า โดยระบุว่า หาก กสทช. ยึดแบงก์การันตีจากธนาคารกรุงเทพ ผู้ออกหนังสือค้ำประกันแล้ว “ติ๋ม ทีวีพูล” หรือ “พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย” เจ้าแม่สื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยจะล้มละลายทันที ไม่เหลือแม้กระทั่งบ้านของตนเอง
กระแสแรงแบบนี้ เจ๊ติ๋มคงนิ่งเฉยไม่ได้ ล่าสุด วันนี้ (18 ก.พ.) ได้ควงทนายส่วนตัว “สุชาติ ชมกุล” และ “วีรวัฒน์ วรรณกุล” มาแถลงด่วนถึงประเด็นร้อน ที่ออฟฟิศทีวีพูล ซอยลาดพร้าว 101 ยอมรับเจ๊งยับแต่ไม่ล้มละลาย กว่าศาลจะตัดสินถึงตอนนั้นตนคงมีเงินถึงหมื่นล้านมาจ่ายหนี้แน่นอน
“เหตุผลที่เราต้องแถลงข่าววันนี้ เพราะว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเราได้รับจดหมายจากทาง กสทช. ว่าให้นำเงิน 1,748 ล้านไปจ่ายกับ กสทช. ภายใน 30 วัน มิเช่นนั้นก็จะดำเนินการตามอะไรของเขา ทางเราก็ได้ทำเรื่องขอคุ้มครองที่ศาลปกครองกลางไปเมื่อวันจันทร์ ก็จะมีการนัดไต่สวนกันในวันที่ 23 ก.พ. นี้ เวลา 13.00 น. ก็คงจะได้เห็นดิฉันกับทางกสทช.เจอกันอีกครั้งหนึ่งที่ศาล”
“ทีนี้เรื่องราวที่เราจำเป็นจะต้องแถลงข่าว เพราะเนื่องจากว่าเออี หรือคนขายโฆษณา คือดิฉันมีธุรกิจหลัก ๆ อยู่ 2 อย่างเวลานี้ คือ ธุรกิจทำนิตยสาร 3 เล่ม ก็คือ ทีวีพูล, สไปซี่ และ สตาร์นิวส์ และมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าจะปิด ซึ่งมันไม่เป็นความจริง และเรามีธุรกิจทำรายการทีวีที่ช่อง 5 ชื่อรายการทีวีพูลไลฟ์ และมีช่อง 44 เป็นดาวเทียมนะคะ เราไม่ได้ทำดิจิตอล แต่ก็ยกทั้งแผงของดิจิตอลมาลงที่ดาวเทียมที่ทำร่วมกับมูฟวี่ฮิต และธุรกิจที่กำลังเติบโตมากของเราคือเรื่องโซเชียล เรามีเฟซบุ๊ก 5 ล้านกว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ และเว็บไซต์ก็อยู่อันดับต้น ๆ และภายในปีนี้เราคงจะขึ้นอีกสัก 2 เว็บ และ 2 เฟซบุ๊กนะคะ มันเป็นโลกของโซเชียล เป็นสิ่งที่เราจะต้องก้าวตามให้ทัน”
“ธุรกิจอีกอันหนึ่งคือ ที่เดอะ บลูม เป็นสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเขาใหญ่ มีห้องประมาณ 200 ห้องนะคะ ก็มีรับธุรกิจสัมมนา คือ เดิมก็เต็ม ๆ อยู่แล้วนะคะ เพราะมีมาสัมมานาประจำ และเสาร์ - อาทิตย์ ก็เป็นแขกท่องเที่ยว ทีนี้เออีซีมันเปิดก็อยากจะดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาด้วย ก็เลยมีการประชุมเซลล์ของทุกฝ่าย รวมถึงเซลล์ของเดอะ บลูมด้วยว่าจะช่วยกันทำยังไง ก็ได้เชิญทัวร์เอเยนต์มา”
“จากที่เราได้สัมผัสกับทัวร์เอเยนต์ ทุกคนตกใจมากกับข่าวที่ออกไปว่าดิฉันจะล้มละลาย เขาก็เลยคิดว่าเขาจะจองบุ๊คคิวได้ยังไง เพราะคอนแทกต์พวกคิวทัวร์มันเป็นปีนะคะกว่าจะรับออเดอร์กัน เขาก็บอกว่าจะล้มละลายแล้วจะทำยังไง เพราะกระแสมันแรงมาก เซลล์ที่ออกไปขายโฆษณาไม่ว่าจะหนังสือ ทีวี แมกกาซีน ขนาดคบกันมา 20 กว่าปี เพราะเซลล์เราเป็นเซลล์เก่าแก่กันทุกคนก็ยังเจอปัญหาที่ลูกค้ารู้จักเราดีมาถาม เพราะกระแสทันแรงมากว่าเราจะล้มละลาย”
เจอกระแสล้มละลายจนลูกพากันท้อ ลั่น กสทช. เป็นฝ่ายผิด
“รวมถึงครอบครัวดิฉัน ลูก ๆ ก็เล่าให้ฟัง เขาเติบโตที่เมืองนอก เรียนหนังสือที่เมืองนอกกันทุกคน บอกว่าเพื่อนต่างประเทศโทร.มาถามกันใหญ่ เป็นห่วงมากเลยว่าคนจะรู้สึกยังไงกับเขา เขาจะอยู่ได้ไหม ให้ช่วยอะไรไหม คนส่วนใหญ่จะโทร.มาอย่างนี้หมด เราเลยรู้สึกว่ามันซีเรียสมากแล้วสำหรับครอบครัวเรา สำหรับลูก ๆ 3 คน เขาบอกฟังไปฟังมาจนเขารู้สึกท้อตามไปด้วย”
“ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเรารู้ว่าเราไม่ผิด เรามั่นใจ ทาง กสทช. เป็นฝ่ายผิด แล้วคนดีทำไมต้องได้รับการลงโทษ ดิฉันไม่เชื่อ ดิฉันเป็นคนที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนามาก และมีหอสวดมนต์อยู่ที่ลำปางด้วย ดิฉันลงทุนไปเยอะมาก ก็อยากจะทำกุศลน่ะค่ะ มันเป็นช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว ทำอย่างนี้มา 4 ปีแล้ว ทีนี้ก็เลยคิดว่าเราต้องนัดเจอกัน เพื่อจะได้รู้ว่าเราจะเดินทิศทางยังไงกับคดีกับทางกสทช. เรื่องราวจะไปถึงจุดไหน ซึ่งต้องให้ทนายพูดค่ะ”
เผย กสทช. ไม่ทำตามแผนแม่บท แถมขอเวลาอีก 3 เดือนหาทางออกร่วมกันจนเข้าเนื้อร่วม 100 ล้านบาท
ทนายสุชาติ : “เรื่องการที่ไทยทีวีออกมาฟ้อง กสทช. เพราะว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม กสทช. ไม่ได้ทำตามแผนแม่บท ตามคำมั่นอะไรต่าง ๆ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลนะครับ ซึ่งคนถามกันมาเยอะว่าที่เราออกอากาศอีก 3 เดือน เป็นการต่อสัญญาหรือไม่ ตรงนั้นขอยืนยันเลยครับ วันนั้นที่มีการพูดคุยกันในศาล ทางคุณติ๋มก็ได้ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะทุกอย่างว่าเราต้องการยกเลิกเท่านั้น คือ เราไม่ทำแล้ว เพราะ กสทช. ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นอะไรต่าง ๆ กสทช. ก็เลยบอกว่าขออีกสัก 3 เดือนได้ไหม เรามาหาทางร่วมกันเพื่อที่จะหาทางออก”
เจ๊ติ๋ม : เขาใช้คำพูดว่าหายใจรดต้นคอก็ทำไม่ทันที่จะช่วยเรา ที่จะเจรจานำพาคนที่คิดว่ามีเงินมาร่วมกับเรา บอกมันหายใจรดต้นคอนะ พี่ติ๋มต้องช่วยหน่อยนะ ซึ่งดิฉันก็คิดอยู่นานมากนะคะตอนนั้นที่จะขยาย ไม่อย่างนั้นเราก็จบไปนานแล้ว เพราะอีก 3 เดือนก็หมายถึงเงินเราจะหายไปอีก 50 ล้าน ส่วนใหญ่เราก็จะรู้กันว่าเดือน ๆ หนึ่งเรามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ไม่มีทางต่ำกว่า 30 ล้านต่อเดือน ไม่มีทางเลย ฉะนั้น 3 เดือนนี้เราหายไปอีกเกือบ 100 ล้าน ขี้เหนียวที่สุดก็ต้องมี 50 ล้าน ลดคนแล้วยังไงก็ต้องมี มันต่ำกว่านี้ไม่ได้”
ทนายสุชาติ : “แล้วทาง กสทช. ให้ข่าวว่าวันนั้นได้มีการเจรจาว่าจะให้เราจ่ายเงินงวดที่ 2 ซึ่งในกระบวนการพิจารณาไม่มีการพูดถึงเรื่องจ่ายเงิน วันนั้นที่เรามีการไกล่เกลี่ยยังมีการพูดกันว่าเรื่องเงินน่ะไม่ต้องพูด เพราะวันนี้ไทยทีวีเป็นฝ่ายฟ้องกสทช.อยู่พันกว่าล้าน ยังไม่รู้ผลคดีว่าวันนี้ไทยทีวีจะต้องจ่ายเงินให้ กสทช. หรือว่า กสทช. จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินให้ไทยทีวี เพราะฉะนั้นเรื่องเงินไม่ต้องพูดเลย”
เชื่อมั่นศาลต้องเมตตาในการคุ้มครองชั่วคราว รอศาลพิพากษาว่าใครต้องจ่ายใครกันแน่
ทนายสุชาติ : “วันนั้นหลักอีกประเด็นหนึ่งก็คือก่อนที่จะเข้าเจรจาวันนั้นได้มีหนังสือจาก กสทช. ที่จะยึดแบงก์การันตีเราประมาณ 1,600 กว่าล้านเศษ เราก็ไปยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในวันนั้นด้วย คือวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ต้องขอโทษพี่น้องสื่อมวลชนด้วยที่ไม่ได้แจ้ง เพราะเราต้องการยื่นเงียบ ๆ ปรากฏว่า วันนั้นคณะกรรมการ กสทช. มา 2 ท่าน คือ ดร.นที กับ คุณสุภิญญา มาระงับ โดยมาแถลงต่อศาลว่ามติของ กสทช. ไม่เคยมีว่าจะมีการยึดแบงก์การันตี ท่านผู้พิพากษาก็ได้ถามว่าในเมื่อยังไม่มีมติแล้วหนังสือออกมาได้อย่างไร แล้วที่เขามายื่นคำร้องนี่จะทำอย่างไร”
“กสทช. ก็ตอบว่าปกติเหมือนกับทำงานที่เรียกว่าล้อหลังแซงล้อหน้า อันนี้ก็ไปตีความหมายกันเอานะครับ วันนั้นเราก็เลยยื่นขอความคุ้มครองชั่วคราว เพราะเราเชื่อว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ณ วันนี้เราเป็นฝ่ายฟ้องคดี เราเป็นฝ่ายเสียหาย เราเชื่อมั่นว่าศาลท่านจะเมตตาเราในการคุ้มครองชั่วคราวให้เรายังไม่ต้องจ่ายให้ กสทช. จนกว่าคดีหรือมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เราเป็นคนจ่าย แต่ในเมื่อยังไม่มีการพิพากษาถึงที่สุดก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องจ่าย ฉะนั้นที่มีข่าวออกมา หรือที่ กสทช. มีมติออกมาว่าจะต้องจ่ายแบงก์การันตีที่มีหนังสือออกมา 1,700 กว่าล้านเศษ นั่นเป็นการทำตามระเบียบของ กสทช. ซึ่งถ้า กสทช. ไม่ทำจะเป็นการละเว้น ละเลย นั่นเป็นระเบียบของเรา เราก็คงไม่เข้าไปก้าวล่วงเขา”
“ส่วนเรื่องการจะยึดแบงก์การันตีได้ถ้าตามหลักจริง ๆ แล้ว กสทช. จะต้องนำคดีไปฟ้องศาล เพราะมันมีเรื่องพิพาทกันอยู่ในศาล ยังไม่รู้ว่าใครจะจ่ายใคร และยังไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายผิดสัญญา มีความเสียหายแค่ไหน อย่างไร ใครจะต้องเป็นผู้จ่ายและจ่ายแค่ไหนอย่างไร วันนี้เรายังไม่รู้ ฉะนั้น ถ้าบอกว่าถ้าจ่าย 1,700 กว่าล้านไป ถ้าศาลมีคำพิพากษาไม่ใช่ว่าเราต้องจ่าย แต่ทาง กสทช. จะต้องจ่ายให้เรา ความเสียหายในวันนั้นมันจะยากเกินกว่าที่เราจะเยียวยา รัฐก็เสียหายที่จะต้องมาเยียวยา ธนาคารก็เสียหาย ฉะนั้น รอให้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อนว่าใครจ่าย”
“วันนั่นเรามีจ่าย ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เงิน 1,700 กว่าล้าน แบงก์การันตีแล้ว หลักทรัพย์ที่เราเอาไปทำแบงก์การันตีมีมูลค่ามากกว่า ปกติแบงก์จะออกแบงก์การันตีประมาณสัก 40 - 50% นะครับ 1,700 กว่าล้านถือว่าน้อยมากกับหลักทรัพย์ที่เราไปค้ำประกันไว้ แต่ความเสียหายเกินกว่าจะเยียวยาตรงนี้มากกว่า ผลกระทบกับพนักงาน ธุรกิจต่าง ๆ ของทีวีพูล หรือไทยทีวี อีกหลายพันล้านในอนาคตอีก 7 - 8 ปีกว่าจะเสร็จคดี หรือจะ 10 ปีอาจจะขึ้นถึงหมื่นล้าน ใครจะรับผิดชอบ แค่นั้นเองครับ ลูกน้องเรา พนักงานเราอีก 400 - 500 คน ครอบครัวเขาถ้ารวมก็คงจะเป็นพันคน ใครจะรับผิดชอบ ฉะนั้นเราต้องใช้คำพิพากษาของศาลจะดีกว่านะครับ”
จวกรัฐอย่าปัดความรับผิดชอบให้เอกชน ทุกคนเห็นตรงกัน ซัด กสทช. ผิด!
เจ๊ติ๋ม : “ดิฉันก็นั่งคิดเล่น ๆ นะคะว่าแปลกใจมากว่างานครั้งนี้เราไม่ได้เป็นคนผิด และทางกสทช.เป็นที่ประจักษ์ทั้งประเทศว่าเขาผิดอะไร เขาผิดแน่นอน เพราะลูกน้องมาบอกว่าไปเจอลูกค้ามา 100 ราย ทุกรายก็บอกว่า กสทช. ผิด แต่ถ้าเกิดอำนาจรัฐมันสามารถจะข่มเหงประชาชนได้อย่างนี้ ดิฉันว่าสังคมก็คงจะยุ่งเหยิง นี่ยังเขียนปิดท้ายไว้ในเอกสารที่แจกให้ไปว่าเอกชนผิด รัฐให้เอกชนรับผิดชอบ แต่พอรัฐผิด รัฐยังให้เอกชนรับผิดชอบ มันคือความยุติธรรมในสังคมไทยหรือเปล่า”
“ดิฉันก็มั่นใจนะคะว่าเราไม่ผิด มันเป็นที่ประจักษ์นะ เอาหินโยนไปทางไหนก็ได้แล้วถามว่าครั้งนี้ กสทช. ผิดหรือเปล่า รับรองได้ทุกคนต้องบอกว่า กสทช. ผิด ตั้งแต่เรื่องกล่องทุกวันนี้ซึ่งยังไม่ได้แจกที่ว่า 22.9 ล้าน จนถึงวันนี้ผ่านมา 2 ปีแล้วก็ยังไม่แจก แผนประชาสัมพันธ์ที่จะต้องทุ่มมาก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเลย ยังประมูลกันยังไม่ได้เลย อย่างที่ฝรั่งเศสเขาเปิดดิจิตอลสองฟากถนนนี่บิลบอร์ด คัตเอาต์ วิทยุ โทรทัศน์เป็นเทศกาลเลย เปิดตรงไหนก็เจอ คือมันเป็นเรื่องตื่นเต้นของประเทศเขามาก”
“แต่ของเรามันเงียบมาก จนเราคนที่มีการศึกษาเสพสื่อทุกวันยังไม่ค่อยจะรู้กันเลย ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการจะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันสำคัญต่อประเทศมากแค่ไหน ทีวีดิจิตอลมีความสำคัญต่อประเทศมากเพราะมันเป็นสื่อสาธารณะคนจนคนรวยทุกคนควรจะได้รับเสพ ทุกคนมีสิทธิเท่ากันที่จะได้รับเสพ และทุกประเทศของโลกก็มีสื่อทีวีดิจิตอลกัน ไม่มีประเทศไหนที่ไม่มี เพราะความถี่มันเป็นของมีค่า ถ้าทำเป็นดิจิตอลมันจะได้ช่องมากขึ้น ความถี่ยังเหลือก็เอาไปทำอะไรได้อีกเยอะ ทำวิทยุ ทำ 3G 4G ได้อีกเต็มไปหมด ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของชาติ เราจะมาใช้กับระบบอนาล็อกเดิม ๆ ใช้มากมาย แต่มีช่องแค่ 4 - 6 ช่อง เหมือนเดิมมันก็ไม่ใช่ เพราะโลกมันเปลี่ยนไป”
พ้อเก็บเงินทั้งชีวิตทุ่มให้งานนี้ทั้งหมดเพราะคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง แต่กลับถูกทำร้าย ไม่คาดคิดจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
“วันนี้เราได้ฟ้องศาลปกครองแล้ว ศาลท่านก็คงจะเมตตาและคงจะเข้าใจ เพราะได้ขึ้นศาลมา 2 ครั้งแล้ว และเราก็เช็กกระแสสังคมตลอดเวลา ลูกต้องออกไปขายของ ออกไปเจอใคร ทุกคนก็ถามก็บ่น พวกสื่อเองก็เป็นดิจิตอลกันเยอะ คงจะรู้ว่าเป็นยังไง เราเหนื่อยกันแค่ไหน กสทช.ทำร้ายเรายังไงบ้าง ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปอย่างนี้ วันที่เราประมูลได้ก็ยังคุยกันสนุกสนานกับเจ้าของหลายๆ เจ้า พี่บูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ยังบอกว่าจำได้ไหมวันที่เราประมูลได้มีใครบ้างที่กลับบ้านแล้วไม่ได้เปิดแชมเปญ ทุกคนเปิดแชมเปญดีใจมากที่ได้ เพราะไม่มีใครคาดฝัน”
“ดิฉันอยู่วงการสื่อมา 30 ปี จบมาอายุ 21 จบไฟแนนซ์ แบงค์กิ้งมา แต่ทำสื่อมาตลอดเลย ทำบิสิเนส ไทม์ก่อน แล้วก็ทำเดอะ เนชั่น ไปอยู่บริษัทโฆษณา 3 ปี กลางคืนก็เป็นนักจัดรายการวิทยุ ทำจ๊อบทุกวันเลย เหนื่อยมากกว่าจะมีเงินมากแบบนี้ เงินที่สะสมมาตลอดชีวิต ทุ่มเทสำหรับงานนี้ทั้งหมด เพราะคิดว่ามันเป็นชิ้นโบว์แดง ไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“และเชื่อว่า ถ้า กสทช. ทำทุกอย่างที่เขาให้คำมั่นที่เขาไปโฆษณาทั้งหลายออกรายการต่างๆ ถ้าเขาทำตาม ไม่มีใครเจ็บตัว ทุกคนอยู่ได้ แต่ตอนนี้ถามเลยว่ามีใครไม่เจ็บตัวบ้าง เจ็บตัวกันทุกคน เพียงแต่ว่าเขาจะทนมากหรือทนน้อย ดิฉันยังบอกว่ามีสติ พระพุทธเจ้าบอกว่าเมื่อเจ็บเราต้องรู้ตัวว่าเราเจ็บและเราควรจะทำอะไร มันมีเกิดแก่เจ็บตาย เราจะถึงขั้นตายถ้าตอนนี้เราเจ็บแล้ว ถ้าเราไม่มีทางเยียวยา ยังดันทุรังอยู่ แต่ไม่เป็นไร หลาย ๆ บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็ยังสามารถออกหุ้นกู้อะไรได้อีกเยอะที่ตะลุยสู้”
ยอมรับเป็นโปรเจ็กต์แรกในชีวิตที่ทำแล้วล้มเหลว
“ดิฉันก็ยังฝันถึงแม้จะออกจากกลุ่มของดิจิตอลแล้วก็ยังฝันอยากจะให้ดิจิตอลเกิดอย่างแข็งแรง เขาต้องเยียวยา ต้องแก้ไขปัญหา ไม่ใช่โยนปัญหาไปให้กับผู้อื่น กสทช. เป็นผู้สร้างปัญหาเอง เป็นคนทำผิดเอง ต้องแก้ปัญหาเองว่าควรจะทำยังไงบ้างที่จะให้เขาอยู่ได้ดิฉันพูดเลยว่าเขาเป็นคนผิด พวกเราไม่ใช่ไม่เก่งนะคะ เรา 17 บริษัท 24 ช่อง เราอยู่วงการอย่างเชี่ยวชาญ ดิฉันตั้งแต่อายุ 21 จน 60 ที่อยู่วงการสื่อมา ในชีวิตยังไม่เคยทำอะไรล้มเหลวเลย เพิ่งเป็นโปรเจ็กต์แรกในชีวิตที่ทำแล้วมันล้มเหลว”
อนาคตดิจิตอลทีวีเหมือนหนองใกล้แตก บาดเจ็บทุกฝ่าย แต่พูดไม่ได้หวั่นหุ้นร่วง
“มันน่าเชื่อไหมว่าคนเก่ง ๆ 24 ช่อง ถึงบางช่องเขาไม่ใช่เป็นคนสื่อมา แต่เขาก็รับเอาคนสื่อเข้าไปทำงาน ไปบริหาร ไปเป็นซีอีโอ บอกได้เลยว่า 24 ช่องนี้คือคนสื่อทั้งนั้น ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในชีวิตมาตลอด เคยทำเงินมหาศาล เคยทำสิ่งดีงามให้กับประเทศชาติเยอะแยะ แต่วันนี้ทุกคนเลือดสาดนองหมดเลย ดิฉันรู้จักทุกคนนะเพราะอยู่วงการมานาน เราได้คุยกันตลอด มีใครบ้างไม่เจ็บตัวทุกวันนี้ แต่บางทีมันพูดหนักไม่ได้ หลายบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ พูดหนักเดี๋ยวหุ้นก็ร่วงอีก”
“แต่ช่วงนี้มันเหมือนหนองใกล้แตกแล้วน่ะ ทุกคนอยู่ในสภาพนั้นเลย มันเป็นหนองจะแตกกันแล้ว แต่ยังทนกัน เพราะบางแห่งเขามีเหตุผล มีธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็คงจะไม่ฟรีเท่าเรา เราก็เลยขอออกมา ถ้าเราไม่ออกมาสู้ครั้งนี้ กสทช.จะยิ่งเดินช้ากว่านี้เยอะเลย คิดว่ายังไม่คิดอะไรด้วยซ้ำไปว่าจะต้องทำอะไร พอเริ่มมีการฟ้องเราก็ฟ้องไป 2 ข้อว่าต้องแก้อะไรบ้าง แล้วตอนนี้ได้ทำหรือยัง ได้เริ่มต้นแต่ยังไม่สำเร็จ แม้กระทั่งการเรียงแพลตฟอร์มก็ยังไม่สำเร็จ เคเบิ้ลก็ยังไม่เรียงให้ ทรูก็ยังไม่เรียงให้ การประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม กล่องก็ยังแจกไม่ได้ วิธีการแจกกล่องก็รับยากเย็น เอาไปคนก็ไม่เปิด คุณภาพกล่องก็ยังไม่ได้ ปัญหามากมายเลย”
ยอมรับเศร้า เอาธรรมะเข้าข่ม ลั่นถ้าเป็นคนอื่นคงกระโดดตึกตายไปแล้ว
“จริง ๆ ก็เศร้านะ แต่เอาธรรมะเข้าข่ม ไม่ไปกระโดดตึก คนอื่นเขาอาจจะกระโดดตึกแล้ว หมดเป็นพันล้าน แต่เผอิญ 4 ปีหลังนี้โชคดีมากเลย ทุกคนถ้ามีปัญหาให้เอาธรรมะเข้าตั้งนะ มีปัญหาอกหักจะได้ไม่โดดตึก เห็นดิฉันรุนแรงมากอย่างนี้นะ แต่ยังรู้สึกว่าอยู่ได้สบาย ๆ เพราะเรามีสติ”
มั่นใจกว่าจะถึงศาลพิพากษาล้มละลาย ตอนนั้นคงมีเงินหลายหมื่นล้านแล้ว
เจ๊ติ๋ม : “ถามว่าจะล้มละลายไหม อันนี้ยังไม่รู้ และเรื่องการจะยึดแบงก์การันตีมันยังเป็นขั้นตอนอีกยาวมาก เพราะตอนนี้ยื่นขอศาลคุ้มครองอยู่ คงไกลมากเลย ป่านนั้นดิฉันคงมีหลายหมื่นล้านแล้ว เพราะเรายังคงทำธุรกิจอยู่ ต้นทุนเราไม่มีเลย ตั้งแต่จบการศึกษามา คุณแม่ก็ให้ทุนมา มีต้นทุนแค่สมองกับความขยันและความซื่อสัตย์ ดิฉันมั่นใจว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ต้นทุนดิฉันมีแค่นี้ ดิฉันยังสามารถมีเงินประมาณ 2,000 - 3,000 ล้านได้ มั่นใจว่าอีกนาน อย่างที่ทนายสุชาติบอกว่ามันต้องฟ้องร้องอีกหลายช่วงมากถ้าจะถึงขั้นล้มละลาย ไม่รู้มันจะกินเวลาเป็นสิบ ๆ ปียังไงเลย อีกนานมาก ธุรกิจเราก็ยังทำปกติ เรื่องอย่างนี้มันเหมือนท่อน้ำแตกเลยนะ”
ทนายสุชาติ “เรื่องที่เรายื่นขอคำร้องชั่วคราวคือเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด เราเป็นผู้เสียหาย เราเป็นฝ่ายฟ้องคดี สองคือเราต้องรอคำพิพากษาถึงที่สุดด้วย ประเด็นสำคัญก็คือหากมีการยึดแบงค์การันตีจะทำให้ธุรกิจเสียหาย เจ้าหน้าที่พนักงาน ซึ่งเรามีอยู่หลายร้อยคน ได้รับผลกระทบเกินกว่าจะเยียวยา ฉะนั้นกสทช.จะยึดช้ายึดเร็วก็ได้เงินอยู่แล้ว แต่วันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายจ่ายให้กสทช. หรือกสทช.เป็นฝ่ายจ่ายให้เรา ทุกฝ่ายต้องรอคำพิพากษาถึงที่สุดก่อน เราจะไปก้าวล่วงดุลยพินิจของศาลไม่ได้ ขอยืนยันว่าการขอแบงก์การันตีที่ถูกต้อง ต้องรอคำพิพากษาจากศาลเท่านั้นครับ”
เจ๊ติ๋ม : “เรายื่นฟ้องกสทช.ไปพันกว่าล้านค่ะ เกิดจากค่าโอเปอเรชั่น ซึ่งมันเรียกกลับคืนไม่ได้ พนักงานทั้งหมดเกือบ 500 คนตอนนั้น มันรันเป็นธุรกิจไม่ได้ แต่มันไม่ใช่ความผิดของเรา ดิฉันมั่นใจว่าถ้าทำตามที่ประกาศมา ทำตามที่ให้คำมั่นกับพวกเรามาไม่มีช่องไหนเจ็บตัวหรอกค่ะ ทำได้ เพราะงบในตลาดมีตั้ง 70,000 ล้าน ทุกคนจะมีศักยภาพที่เท่ากันใน 24 ช่อง ทุกคนจะดูผ่าน 24 ช่องนั้น ไม่ต้องดูผ่านดาวเทียม มันก็จะแข่งกันอยู่ 24 ช่อง 70,000 ล้านจะกระจายอยู่ 24 ช่อง”
ยันไม่ปิดทีวีพูลเป็นบ่อเงินบ่อทองลูก แต่ยอมรับธุรกิจหนังสือ 3 เล่มไม่ดีเท่าเดิม เพราะคนเสพข่าวน้อยลง
“ยืนยันว่า ทีวีพูลไม่ปิดแน่นอนค่ะ อันนี้เป็นบ่อเงินบ่อทองของลูกดิฉัน คือ ทุกวันนี้ตัวดิฉันไม่ได้ยุ่งกับตัวทีวีพูล, สไปซี่ และ สตาร์นิวส์ แล้วนะคะ เพราะลูก ๆ จบมากันหมดแล้ว จบทางด้านนี้กันหมด คนโตจบจากลอนดอน คอลเลจ จบทางด้านบรอดคาซท์เลย คนที่สองจบทำหนั.มา ก็จะได้เห็นหนังเขาประมาณปลาย ๆ ปีนี้และอาจจะบินไปทำหนังฮอลลีวูดด้วยอีกเรื่องหนึ่ง คนเล็กก็เพิ่งกลับมาได้ 3 เดือน จบทางด้านดิจิตอล เมเนจเมนต์ ให้ลูกๆ เรียนทางด้านนี้หมดเลย เพราะเราไม่ได้ทำโรงงาน และธุรกิจของนิตยสารทั้ง 3 เล่มยังดีอยู่นะคะ เพียงแต่ไม่ดีเท่าของเดิม เพราะเป็นเรื่องของทั่วโลกที่คนเสพข่าวน้อยลง แต่ทีมข่าวเราตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างเดียวแล้ว ต้องไปช่วยทำโซเชียลด้วย ก็ทำให้โซเชียลของเราแข็งแรงมาก ทุกวันนี้เฟซบุ๊กของเราขึ้นอันดับต้นๆ ของไทยเลย เว็ปไซต์เราก็ติดท็อป 15 ที่เรามุ่งมั่นกับมันมา 1 ปี ปีนี้ก็จะมีขึ้นอีก 2 เว็บค่ะ”
ทุ่มเงินรีโนเวทเดอะ บลูม เชื่อธุรกิจท่องเที่ยวไปได้สวย เล็งลุยต่อที่เขาค้อ บอกลูกมีที่ดินอีก 500 ไร่
“ในเรื่องของทีวี ตอนนี้ก็มีเมืองนอกมาคุยกับเราบ้างแล้วเหมือนกัน ถ้าเราได้ร่วมหุ้นกับเมืองนอกซึ่งมีคอนเทนต์ดี ๆ มันก็อาจจะมีการแถลงข่าวใหญ่ ซึ่งอาจจะอะเมซิ่งมากเลย ลูกดิฉันก็เรียนหนังสือเมืองนอกกันหมดก็มีสายสัมพันธ์ที่ดี แต่ธุรกิจท่องเที่ยวที่เดอะ บลูมตอนนี้ดีมาก เพิ่งทุ่มทุนไปอีก 20 กว่าล้านรีโนเวทห้อง ทำขยายขึ้นอีก 2 ตึก เพื่อรองรับต่างชาติ ตอนนีัธุรกิจท่องเที่ยวค่อนข้างที่จะดี สวนกระแสกับธุรกิจสื่อ และคงจะทำที่เขาค้ออีก อันนี้คือสมบัติของลูกดิฉัน ของดิฉันก็ต่อสู้กับกสทช. ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีแค่ไทยทีวีเฉยๆ แต่ลูกๆ ยังมีที่ดินที่เขาค้ออีก 500 ไร่ เราก็คิดว่าจะไปทำโครงการที่เขาค้ออีกค่ะ”
“ถามว่าจะมีคนมาร่วมหุ้นไหม อาจจะมีก็ได้ เราก็เหวี่ยงไป เหมือนครั้งที่แล้วที่จะทำเรื่องดิจิตอลหาคนร่วมทุน ก็มีคนมาคุยเยอะแยะ ตอนแรกก็เกือบจะจบอย่างที่เป็นข่าว เราก็ไม่ต้องปิดหน้าจอ แต่พอกสทช.ออกมาพูดว่าจะต้องเก็บ 288 ล้าน ต้องปิดเลยทันที จะไม่ให้ออกอากาศ ฝรั่งเห็นก็ตกใจแล้วว่าอะไรเกิดขึ้น ยูไปทะเลาะอะไรกับเขาถึงต้องเกรี้ยวกราดอย่างนี้ เพราะที่จริงมันอาจจะไม่ต้องจ่ายก็ได้ ในที่สุดฝรั่งเลยหนีกลับบ้านไป ก็ต้องไปตามกลับมาใหม่”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม