ดูเหมือนว่านับตั้งแต่มีข่าวคราวว่าเป็น “อัศวินขี่ม้าขาว” มากอบกู้สถานการณ์ให้กับ “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” หรือ “พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย” ด้วยการทุ่มเงินก้อนมหาศาลเพื่อต่อลมหายใจให้กับช่องดิจิตอลของเจ๊ติ๋ม ที่ขาดทุนแบบกระอักเลือดกว่า 300 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่มีแหล่งข่าวสำนักใด ได้รับฟังคำชี้แจงจากปากคำของ “กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ” ทายาทหมื่นล้านเจ้าของของธุรกิจกาแฟยักษ์ใหญ่
กระทั่งในงานอีเวนต์ล่าสุด “ช้าง มิวสิก คอนเนคชัน พรีเซ้นต์ กราวิตี้ ไทยแลนด์ 2016” สื่อมวลชนจึงเพิ่งมีโอกาสได้สอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งหนุ่มกึ้งก็ตอบคำถามแบบแบ่งรับแบ่งสู้ (เหมือนตอนถูกถามเรื่องเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณเปี๊ยบ) คือไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ฟันธง !!
“มีการพูดคุยและดูเรื่องทีวีดิจิตอลบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้อะไรมาก ส่วนที่มีข่าวว่าไปเทคโอเวอร์บริษัทไทยทีวีนั้น ก็ยัง ไม่ได้คุยใดๆ ถึงตรงนั้น และไม่ได้มองช่องไหนเป็นพิเศษ ด้านงานเอ็นเตอร์เทนเป็นสายที่ทำอยู่ ก็อยากจะขยายทำให้ครอบคลุม ส่วนเรื่องการทำหนังก็มีวางแพลนไว้ แต่ยังไม่ลงตัว"
เรียกว่างานนี้ก็เลยยังไม่รู้ว่าชะตากรรมในฐานะ (อดีต) เจ้าแม่สื่อบันเทิงของเจ๊ติ๋มจะออกหัวหรือออกก้อย
เพราะพิษภัยจากการขาดทุนแบบย่อยยับของช่องทีวีดิจิตอล ที่แม้เจ้าตัวจะออกมาประกาศกร้าวว่า ไม่ถึงกับหมดตัว แต่เบื้องหลังเบื้องลึก คนในบันเทิงต่างก็รู้ดีว่าสถานการณ์การเงินของเจ๊ติ๋ม ณ ปัจจุบันนั้นย่ำแย่อย่างหนัก จากที่เคยฟูเฟื่องเรืองอำนาจ มีสื่อในมือมากมาย โดยเฉพาะสื่อนิตยสารบันเทิงอันดับหนึ่งอย่าง “ทีวีพูล” มีพนักงานห้อมล้อมมากหน้าหลายตา ก็กลับพลิกผัน ถึงขนาดต้องมีการ “โละ” พนักงานออกเกือบหมดบริษัท ไม่ว่าจะเป็นฝั่งทีมงานนิตยสาร แม้กระทั่งผู้ประกาศข่าวทีวีก็ไม่รอด ที่เคยยืนยันว่าไม่มีวันไล่พนักงานออก ก็กลายเป็นแค่ข้ออ้าง เพื่อรักษาภาพ
แผลเดิมยังเรื้อรัง แผลใหม่ยังตามมาซ้ำอีกดอก เมื่อเจอกับพิษของเศรษฐกิจ ที่ไม่รู้ว่า “เผาหลอก”หรือ “เผาจริง” แต่ที่แน่ๆ ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจสื่อนิตยสาร ที่ขายโฆษณาได้น้อยลง โดยตอนนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 3 % ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเมื่อ 4 ปีก่อน (ปี 2011) ที่สื่อนิตยสารบูมสุดๆ มีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 6% (สูงเป็นอันดับ 3 รองจากสื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์)
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ที่จะเห็นข่าวคราวที่บรรดานิตยสารหลายๆ หัวต่างก็ทยอยปิดตัวลงไปทีละเล่ม สองเล่ม หนึ่งในนั้น ก็คือหนังสือผู้หญิงที่อยู่ยั้งยืนยงในวงการมานาน อย่าง “เปรียว” ที่แม้จะเป็นธุรกิจของตระกูลเงินถุงเงินถัง อย่าง “คำนวณ” ก็ยังเตรียมจะโบกมือลาจากบรรณพิภพในปลายปีนี้ แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่าง “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ยังต้องขายหัวหนังสือทั้งหมดในเครือให้กับเครือแอร์เอเชีย เพราะทนที่จะแบกตัวเลขขาดทุนต่อไปไม่ไหว
นิตยสารในเครือ “ทีวีพูล” ของเจ๊ติ๋มทั้งหมด ก็หนีไม่รอดมรสุมในครั้งนี้ โดยนิตยสาร “สตาร์นิวส์” จะวางแผงฉบับสุดท้ายในเดือนธันวาคมนี้ ก่อนจะปิดตัวลงไปอย่างถาวร ส่วนนิตยสาร “ทีวีพูล” ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ หล่อเลี้ยงบริษัทมายาวนาน เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของวงการบันเทิง รวมถึงนิตยสาร “สไปซี่” ก็จะปรับไปเป็นฟรีก๊อบปี้ในต้นปีหน้า
พูดง่ายๆ ว่าสถานการณ์ของเจ๊ติ๋ม ณ เวลานี้ ไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าแม่สื่ออีกแล้ว เพราะที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า เหตุที่เจ๊ติ๋มมีบารมีแผ่ไพศาลในวงการ เป็นที่เคารพยำเกรงของทั้งดารา ผู้จัด ผู้ผลิต เจ้าของรายการ บริษัทบันเทิงทั้งรายเล็ก รายใหญ่ รวมไปถึงเอเยนซีโฆษณา นั่นก็เพราะมีสื่อหลักอย่างนิตยสาร “ทีวีพูล” อยู่ในกำมือ ถึงวันนี้แม้ว่า “ทีวีพูล” จะไม่ถึงขั้นปิดฉากลงอย่างสิ้นเชิง แต่การปรับเปลี่ยนสถานะมาเป็นฟรีก๊อปปี้ ก็ย่อมมีส่วนทำให้ลดทอนบารมีของเจ๊ติ๋มไปไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่มั่นใจได้ว่า คนระดับเจ๊ติ๋มนั้น ไม่มีถอดใจง่ายๆ แน่นอน เพราะการก้าวเข้ามาเป็นเจ้าแม่สื่อผู้ยิ่งยงนั้น ไม่ใช่ว่าจะได้มาเพราะโชคช่วย แต่ต้องเรียกว่ามาจากมันสมอง และสองมือล้วนๆ แม้ว่าในยุคแรกของการเข้ามาตีตลาดสื่อสิ่งพิมพ์ จะอยู่ภายใต้ร่มเงาของ “ต้อย แอ็คเน่อร์” อดีตสามี แต่ภายหลังจากที่เลิกรากันไปแล้ว เจ๊ติ๋มก็รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหญิง นำพาบริษัท และนิตยสารในเครือ ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการบันเทิงได้อย่างสมภาคภูมิ
หลังจากปลุกปั้นนิตยสาร “ทีวีพูล” จนถูกจัดอันดับให้เป็นนิตยสารบันเทิงอันดับหนึ่งของเมืองไทยอย่างไม่มีใครล้มแชมป์ได้ เจ๊ติ๋มก็ขยายธุรกิจ ด้วยการลงทุนเปิดนิตยสารอีก 2 เล่ม เพื่อรองรับตลาดอื่น อย่าง “สไปซี่” ที่เน้นในเรื่องของแฟชั่น ความสวยงาม ขณะที่ “สตาร์นิวส์” เน้นในเรื่องของภาพข่าวปาปารัซซี่เป็นหลัก
จากวงการนิตยสาร เจ๊ติ๋มก็ก้าวข้ามเข้ามาสู่วงการโทรทัศน์ เป็นเจ้าของรายการทีวี อย่าง “ทีวีพูล ทูไนท์” , "ทีวีพูล ไลฟ์" ที่ออกอากาศทางช่อง 5 ก่อนจะเปิดช่องทีวีดาวเทียมเป็นของตัวเอง ในนาม “ทีวีพูล ชาแนล” ในยุคที่ช่องเคเบิ้ลบูมสุดๆ
แต่ความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา ก็เรียกว่าแทบจะอันตรธานหายสิ้น เมื่อเจ๊ติ๋มตัดสินใจกระโดดลงมาร่วมสนามแข่งในสมรภูมิทีวีดิจิตอล ในนามบริษัท ไทยทีวี จำกัด มีช่องข่าว THV (ทีเอชวี) และช่องเด็ก LOCA (โลก้า) อยู่ในมือ โดยหวังใจว่าจะโค่นแชมป์เก่าอย่างช่อง 3 และช่อง 7 และก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการทีวี แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่อธุรกิจทีวีดิจิตอลไม่ได้สวยหรูอย่างที่หวัง แถมยังทำเอาบริษัทที่มีตัวเลขกำไรมาตลอด กลับต้องประสบกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง นับแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท กระทั่งต้องตัดสินใจคืนสัมปทานทั้ง 2 ช่อง ให้แก่ กสทช. พร้อมกับยอมรับว่าเป็นการก้าวพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในฐานะนักบริหารสื่อ
ก็ต้องมาจับตาดูกันต่อไปว่า ย่างก้าวใหม่ของเจ๊ติ๋ม ในวันที่นิตยสาร “ทีวีพูล” ผันตัวเองไปเป็นฟรีก๊อปปี้ จะกลับมาผงาดในวงการ และทวงความยิ่งใหญ่ของตัวเองในฐานะเจ้าแม่สื่อบันเทิงได้เมื่อไหร่ ?
ที่มานิตยสาร ASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 319 19-25 ธันวาคม 2558