“ปรัชญา” เปิดใจกลางป่าช้าวัดดอน ตลกร้ายโลกภาพยนตร์แค่เปลี่ยนชื่อจาก "อาบัติ" เป็น "อาปัติ" ก็มีสิทธิ์เข้าโรงฉาย ชี้เป็นกฎกติกา ยิ้มกริ่มหนังได้มากกว่าเสีย รายได้ทะยานสู่ 20 ล้าน เกินความคาดหมาย เล็งยื่นอุทธรณ์หวังให้หนังได้ฉายแบบอันคัต ไม่น้อยใจถูกเปรียบหนังอีโรติก บอกต่อให้เป็นหนังอีโรติกก็ต้องมีสิทธิ์ฉาย ไม่ควรมีหนังเรื่องไหนถูกแบน!
เอาให้ขนหัวลุกกันเลยทีเดียว สำหรับภาพยนตร์ “อาปัติ” โดยค่ายสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ที่จัดกิจกรรมพิเศษพาผู้ร่วมกิจกรรมจากแฟนเพจร่วม 200 ชีวิตไปเปิดประสบการณ์ด้วยการชมภาพยนตร์รอบพิเศษ “ดูหนังอาปัติกับเปรต” กลางป่าช้าวัดดอน (สุสานแต้จิ๋ว) ซอยเจริญกรุง 57 งานนี้ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ในฐานะโปรดิวเซอร์เลยขอเปิดใจกันกลางป่าช้า โดยยอมรับว่ายิ่งฉาวยิ่งดี เพราะตอนนี้รายได้กำลังทะยานสู่ 20 ล้าน ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมาย
“ก็ดีใจครับ แต่ดีใจมากกว่าคือคนดูชื่นชอบ อันนี้คือเรายื่นไปใหม่ ที่เปลี่ยนชื่อให้เหมือนกับว่านี่เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ถูกแบน เพื่อจะได้รับการพิจารณาใหม่”
“ฉากที่ตัดออกไปเป็นฉากที่ดูแล้วน่าตกใจสำหรับชาวพุทธ อย่างเห็นพระสงฆ์ดื่มสุรา เห็นเณรจูบสีกาในชุดผ้าเหลือง เนื้อเรื่องเหมือนเดิมเลย เนื้อเรื่องไม่ได้ไปแตะ แต่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับแรงขับของตัวละคร อย่างเห็นภาพเขาทำผิดขนาดนี้คนดูจะรู้สึกว่าโอ้ย ตัวละครตัวนี้ผิดขนาดนี้แล้วสุดท้ายเขาจะเจออะไร จะเป็นยังไง ส่วนที่หายไปก็อาจจะแค่รสชาตินิดหนึ่ง แค่ความเข้มเฉย ๆ นอกนั้นเหมือนเดิมหมด”
“หายไปไม่เยอะครับ รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณ 2 นาทีกว่า ๆ อารมณ์ก็เชื่อมโยง เราตัดให้ไม่โดดเลย มีอันเดียวที่โดด ตัดแล้วสมูท ผมว่าคนดู ๆ รู้ ฉากจับเศียรพระไม่อยู่ ที่เขาติงมาเราเอาออกหมด ตัดมากกว่า 4 ฉาก มันเป็นจุด ๆ เราไม่รู้จะพูดยังไง เป็นภาพเป็นจุด ๆ ไม่ได้เอาทั้งฉาก”
ยอมรับเปลี่ยนชื่อแล้วตลก แต่เป็นเรื่องจริงของโลกภาพยนตร์ ส่วนตนมองว่าตลกตั้งแต่หนังโดนแบนแล้ว
“เปลี่ยนเป็นอาปัติตามกฎกติกาของการพิจารณาภาพยนตร์ คือภาพยนตร์ที่ถูกแบนแล้วก็ถือว่าตัดสินไปแล้วว่าแบน แต่เราอยากทำอะไรให้ได้ก่อนการอุทธรณ์ ให้เร็วที่สุดคือการเอาเรื่องใหม่มานำเสนอ ฟังดูแล้วตลกแต่ว่ามันเป็นแบบนี้ ซึ่งตรงนี้เป็นกฎของกองพิจารณาภาพยนตร์ครับ ซึ่งถามผมว่าตลกไหมก็ตลกครับ(หัวเราะ) มันตลกตั้งแต่ถูกแบนแล้วล่ะ ว่าทำไมมองกันคนละเรื่องกันเลย อันนั้นก็งงแล้ว”
“ชาวเน็ตลงชื่อสนับสนุนให้หนังได้ฉายก็มีส่วนครับ ผมว่าทางกระทรวงหรือคณะกรรมการคงเห็นว่าการตัดสินใจครั้งนี้ก่อให้เกิดกระแสอย่างไร และเราต้องฟังประชาชนซึ่งเป็นประชาชนเยอะเหมือนกันไม่ใช่ไม่เยอะ หลายคนที่ได้ไปชมก็บอกว่าเนื้อหาดี ส่วนประเด็นที่เป็นปัญหาหลายคนดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องแบนหรือมีปัญหาตรงไหนใด ๆ เลย”
“เราก็ยังหวังอยากให้ต้นฉบับได้ฉายนั่นแหละครับ นั่นคือสิ่งที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอ ถามว่ามันต่างไหมมันก็ต่างกันมาก จริง ๆ ก็คล้ายกันแหละครับแต่คนทำงานเขาตั้งใจทำแบบนี้ ก่อนเขาสรุปให้หนังเป็นแบบนี้ มันผ่านการแก้ไขปรับปรุงไม่รู้กี่รอบ จนอันนี้คือดีที่สุดแล้ว แต่กลายเป็นว่าต้องมาถูกเอาออกไป ก็อยากจะฉายแบบนั้นมาก ๆ”
ลั่นยังเหลือเวลายื่นอุทธรณ์ คาดหวังอนาคตไม่ถูกจำกัดสิทธิสื่อกันเกินไป
“เวอร์ชั่นอันคัตตอนนี้ก็พยายามครับ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอุทธรณ์แล้วจะเป็นอะไรหรือเปล่า ก็ยังวางแผนกันอยู่ว่ายังไง เรายังเหลือเวลาอยู่ ถ้าฉายเมืองนอกก็อยากเอาฉบับเต็มไปฉาย ยังไงก็ตามก็ต้องผ่านการอนุญาตจากคณะกรรมการก่อนถึงจะเอาไปเมืองนอก ต้องผ่านคณะกรรมการพิจารณา กรณีนำหนังไปฉายต่างประเทศ”
“สำหรับคนทำหนังถ้ามั่นใจอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ภายใต้สิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร ถ้าคุณทำอะไรที่เป็นการละเมิดสิทธิ์คนอื่นไปทำความเดือดร้อนให้ใครไม่มีใครยอมหรอก แต่ในอนาคตถ้าเราไม่ถูกจำกัดสิทธิ์ จากกติกานี้แล้ว อาจมีองค์กรต่าง ๆ มาลุกฮือ คนทำหนังอาจถูกฟ้อง อาจถูกวิพากษ์ วิจารณ์ ในสิ่งที่ทำไปอีกรูปแบบหนึ่ง”
“ก็สอนว่าเราคงอยากมีอิสระในการทำงานอยากแสดงความคิดเห็นด้วยการไม่ถูกภาครัฐมาจำกัดสิทธิสื่อ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องรับผิดชอบสังคม ต้องมีจริยธรรมของเรา ยังไงก็ตามผมว่าคนทำหนังทุกคนคงรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ คงไปละเมิดสิทธิใคร ทำใครเดือดร้อน หรือไปทำลายสถาบันไหนก็ตามประชาชนเขาก็ไม่ยอมหรอก เขาต้องจัดการ ควรเป็นกติกาแบบเดียวกัน มาตรฐานเดียวกันทุกสาขาอาชีพ (จะทำหนังที่เกี่ยวกับศาสนาอีกไหม?) โดยส่วนตัวผมยังไม่มี ถ้าให้ผมเล่าเองไม่แน่อาจแรงกว่านี้ก็ได้นะ แต่ตอนนี้ยังไม่มี(ยิ้ม)”
ไม่น้อยใจถูกเปรียบเทียบหนังอีโรติก ฟุ้งได้มากกว่าเสีย รายได้หนังเกือบทะลุเป้า เข้าใกล้ 20 ล้านแล้ว
“ไม่น้อยใจนะครับเพราะเลิฟซีนก็ควรได้ฉาย เพราะคนทำหนังเรามีการจัดเรต แบ่งตามเรตก็จบแล้ว ไม่ควรมีหนังเรื่องไหนถูกแบน ต่อให้หนังรุนแรงโหดเกินไป ก็จัดที่ให้เขาได้ฉาย คนดูวิพากษ์วิจารณ์เอาเอง แต่เราแค่น้อยใจว่าทำไมเราไม่ได้ฉาย ไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกหรอก ที่ผ่านมาเราเชิญพระที่รู้จักส่วนตัวมาดู ซึ่งก็ยิ่งทำให้มั่นใจ เพราะจากที่ท่านดูแล้วก็บอกว่าไม่เห็นมีตรงไหนน่าเป็นห่วง”
“เรื่องรายได้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราก็คงได้ฉายตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ที่ผ่านมา ตอนนี้เราเสียรอบฉาย ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. และ 16 ต.ค. กลางวัน เพราะเราได้ฉายจริงตอน 16 ต.ค. กลางคืน สิ่งที่เสียไปกับสิ่งที่ได้มา เราได้มากกว่า(ยิ้ม) เราไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้ ดูตัวงานแล้ว 20 ล้านก็เต็มที่แล้ว ตอนนี้ก็ใกล้ ๆ 20 ล้านแล้วถือว่าดีกว่าที่คิดมาก”
“ส่วนหนังต้นฉบับตอนนี้ก็ได้แต่หวังครับ ต้องรอการพิจารณาจากคณะกรรมการ ยื่นอุทธรณ์ต้องไม่เกิน 15 วันหลังถูกแบน ตอนนี้เราก็ผ่านไป 8 วันแล้ว เราก็พยายามจะยื่น ดูว่าเราได้ผ่านเมื่อไหร่ ไม่รู้อุทธรณ์แล้วผ่านไหมก็ต้องผ่านศาลปกครอง ถึงขั้นตอนนั้นไม่รู้จะได้เมื่อไหร่ ต้องดูสถานการณ์ ถ้าเร็วมากเปลี่ยนได้ก็อยากเปลี่ยน แต่ถ้าไม่ทันก็ออกเป็นวิดีโอ”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม