“แสตมป์ อภิวัชร์” เปิดใจกรณีออกจากรายการ “เดอะวอยซ์” โต้เรื่องมากจนโดนปลด แต่อินจัดเสียใจทุกครั้งที่ต้องเอาคนออก สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหวขอลาออกเอง เคลียร์ข่าวลือรายการจัดฉากจนรับไม่ได้
กลายเป็นกระแสดราม่าหนักมากกรณี “แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” ได้ถอนตัวจากการเป็นโค้ชรายการ “เดอะวอยซ์ ไทยแลนด์” ท่ามกลางกระแสข่าวมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่ากันว่า แสตมป์รับไม่ได้กับผลการตัดสินจนเกิดการดราม่าและตัดสินใจลาออก บ้างก็ว่าแสตมป์เรื่องเยอะจนโดนปลด ในขณะที่มีกระแสข่าวลือถึงการจัดฉากเขียนสคริปต์ของรายการ ซึ่งงานนี้แสตมป์ขอเคลียร์แบบชัดๆ ว่า ถอนตัวเองเพราะรับแรงกดดันไม่ไหว และเสียใจทุกครั้งที่จะต้องตัดสินให้ใครออก ทนมา 3 ปีแล้วและตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว โต้ทีมงานจัดฉาก
“ผมว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้น มันก็ผ่านไปแล้ว แต่ ณ เวลาที่เกิดเรื่องดราม่านี้ขึ้นในช่วงเวลานั้นมันก็มีผลกระทบต่อเรานิดหน่อยเรานอนไม่หลับ แต่พอเวลาผ่านไปคนก็ลืม ซึ่งเรื่องที่ผมเดินออกจากเดอะวอยซ์ เอาเป็นว่าผมไม่เหมาะกับการที่ผมไปอยู่ตรงนั้น ซึ่งในแง่มุมนึงมันก็เป็นการเปิดโอกาสให้ผมได้รู้จักคนมากมาย คนได้รู้จักเรา ซึ่งถ้าพูดตรงๆ เราไม่ชอบเป็นขี้ปากชาวบ้าน ซึ่งอันนี้มันก็เป็นจุดหนึ่ง แต่เราก็พูดแบบนั้นไม่ได้”
“ทุกครั้งที่ผมเอาคนออกจากรายการผมก็เสียใจนะ ผมเสียใจจริงๆ ทุกครั้งที่ต้องเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเอาคนใดคนหนึ่งออกจากรายการ ย้ำว่าทุกครั้งนะครับ ผมไม่สามารถที่จะเฉยๆ ได้กับการที่คนมาประกวด แล้วเราเอาเขาออกไป คือผมอินไง คนอื่นอาจจะมองว่านี่มันคือรายการ มันเป็นเกมส์ๆ หนึ่ง แต่สำหรับผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมคิดว่าทุกคนที่เขามาประกวด ทุกคนที่ผมเลือกนั้น เราผูกพันกัน เราเป็นเหมือนพี่น้องกันมากกว่า”
“พอพูดแบบนี้คำถามคือ ทำไมไม่ออกตั้งแต่ซีซั่นที่ 1 เลยล่ะ เอาจริงๆ นะมันติดสัญญา ตามสัญญาที่เซ็นไว้ เค้ามีกำหนดระยะเวลา 3 ปีตามฟอร์แมตรายการเหมือนที่ต่างประเทศ และผมคิดว่าผมน่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ อย่างพอผ่านมาถึงซีซั่นที่ 2 ผมก็รู้สึกว่าผมรับมือกับมันได้ดีขึ้นกว่าเก่า และพอมาซีซั่นที่ 3 ผมรับมือกับมันไม่ได้อีกแล้ว และพอรายการมันดังขึ้นคนดูก็ขยายขึ้น แต่ขอย้อนกลับไปเล่าว่าทุกครั้งที่ตัดสินคนออก รู้สึกว่าเสียใจมาก ซึ่งเสียใจถึงขั้นที่รับไม่ได้กับการที่เราเอาคนออก เราเข้าใจว่ามันเป็นเกมส์ แต่เราก็รู้ว่าเอาใครออก และมันมีกรุ๊ปไลน์กับเด็กที่เราเลือกมา เราก็คิดว่าเราจะคุยยังไง คุยแบบไหนกับเขาต่อดีล่ะ ผมไม่ชอบอยู่ในภาวะกดดัน”
“ผมคิดว่าผมก็ยังทำหน้าที่ในรายการไม่ดีพอ เพราะว่าถ้าผมทำหน้าที่ตรงนั้นดีพอ ทุกคนก็จะยอมรับ แต่ก็จะมีเสียงโต้ตอบกลับมาว่าทุกคนคิดไม่เหมือนกัน และผมเองก็ยังไม่มั่นใจในคำตัดสินของผมทุกคำที่ได้ตัดสินออกไป ซึ่งทุกคนที่ผมเลือกมานั้น ทุกคนดีหมด เรามั่นใจว่าเขาดีหมด และวันนี้เราตัดสินเอาเขาออกไป และพรุ่งนี้เขาพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม มันก็เหมือนคำตัดสินของเราตัดโอกาสของเขาหรือเปล่า เราอยากให้ทุกคนเข้ารอบหมดเลย แต่ด้วยกติกาที่มันเป็นแบบนั้นนะ และก็เสียใจยิ่งขึ้น เมื่อประชาชนยังมาซ้ำเติมผมอีกว่าทำไมไม่เลือกคนนั้น ทำไมตัดสินแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วผมอยากเอาทุกคนเข้ารอบ”
ยืนยันรายการไม่มีการจัดฉาก และให้สิทธิ์ในการตัดสินใจ
“ซึ่งอำนาจการตัดสินใจ เขาให้ผมเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกใคร และก่อนหน้านี้คนอาจจะมองว่ามันเป็นสคริปต์หรือเปล่า หรือเป็นการจัดฉากขึ้นมา แต่ผมขอพูดตรงนี้ว่ามันไม่ใช่สคริปต์ มันขึ้นกับตัวเรา ทางทีมงานเขาให้อำนาจในการตัดสินให้กับเราว่าเราจะเลือกใครผมก็เลยรู้สึกว่ามันกดดันนะ เราทำมา 3 ปีแล้วนะ มันโอเคแล้วล่ะ เราได้ลองในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เรารู้สึกว่าที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ของเรา เราก็คิดว่าเราไม่ได้ไปต่อ (หัวเราะ) ผมไม่ผ่านว่ะ และที่ตัดสินใจจริงๆ ก็คือตั้งแต่ซีซั่น 2 แล้วว่าเราไม่เหมาะ จริงๆ ก็คุยกับแฟนมาโดยตลอดว่าถ้าครบ 3 ปีแล้ว เราก็จะไม่ทำต่อสัญญา เราเต็มที่กับมันแล้ว 3 ปีที่ทำอยู่นั้น เรารู้สึกพอกับมันแหละ”
โต้เรื่องมากจนโดนรายการสั่งปลด
“ถ้าคนจะมองว่าเราเรื่องเยอะ จนทีมงานต้องขอเปลี่ยนตัวเราออก ผมมองว่าเราทำมา 3 ปีแล้ว เราได้ลองกับมัน เราได้เต็มที่กับมันแล้ว และมันมีอะไรอีกมากมายที่ผมอยากทำ ไม่ว่าจะเป็นงานเบื้องหลัง เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง รวมไปถึงเตรียมตัวในเรื่องของงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้อีก ซึ่งรายการเขาก็มีวาระในการที่เปลี่ยนตัวโค้ชออกในซีซั่นที่ 3 เอง ทางทีมเองก็ได้แจ้งมาว่าเขาจะมีนโยบายในการเปลี่ยนตัวโค้ชออก 1 คน มันก็ตรงกับความคิดที่เราคิดไว้ว่าครบ 3 ปีเราจะไม่ทำต่อ เราก็เลยคิดว่ายกมือก่อนดีกว่าเดี๋ยวพี่โจ้ (โจอี้ บอย) แย่งยกมือขึ้นก่อน (หัวเราะ) ซึ่งความจริง รายการมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนะ แต่พอถ้าใครได้มาอยู่ ณ จุดที่ผมอยู่นั้นก็จะเข้าใจกับความกดดันที่เกิดขึ้น และพี่ๆ ทั้งพี่โจ้ พี่คิ้ม พี่ก้อง เค้าแข็งแกร่งมากกว่า”
“ส่วนเรื่องกระแสดราม่ามันก็แค่เป็นส่วนนึง สมุมติว่าถ้ายกนิ้วขึ้นมา 10 นิ้ว เรื่องดราม่ามันอาจจะเป็นแค่ 2 ส่วนเรื่องความเหนื่อย ความกดดัน ความเสียใจ การเหนื่อยที่ต้องเลือกคนออก การเหนื่อยที่ต้องเลือกเพลง เราจะเอาเพลงอะไรมาเล่น มุกที่เราใช้ในการแย่งชิงก็หมดแล้วนะ มุกที่เราเอามาโชว์ก็หมดแล้วนะ ปีหน้าไม่รู้ว่าจะเล่นอะไรดีมันถึงเวลาที่เรารีเฟรชแหละ และคนเองอาจจะแค่ตกใจกับการเปลี่ยนตัว เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศเรา คนเลยสงสัย แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาของรายการตามฟอร์แมตของเมืองนอก ผมก็แค่ออกก่อนเท่านั้นเอง”
ยอมรับการเป็นโค้ชรายการเดอะวอยซ์ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีงานมากขึ้น
“ไม่เสียดายเลยนะครับกับการตัดสินใจในครั้งนี้ เพราะว่าเขาก็ให้โอกาสกับเรา เราทำเต็มที่จะออกมาดีหรือไม่ดี เราก็เต็มที่จริงๆ ไม่เสียดายเลย ซึ่งมุมดีๆ มันก็ได้ให้กับเรา ไม่ว่าจะทำให้คนได้รู้จักเรามากขึ้น มีงานเข้ามามากขึ้นเราได้ไปเล่นในที่ๆ เขาไม่เคยจ้างเราไปเล่น มีพรีเซนเตอร์เข้ามา เราแมสขึ้น แต่มันก็มีความรู้สึกว่าเราไม่ต้องแมสขนาดนั้นก็ได้มั้ง (หัวเราะ) ซึ่งขณะที่คนได้รู้จักเรามากขึ้น เราก็ต้องแบกรับอะไรมากขึ้น ความคาดหวังของคนมากขึ้น”
“การที่เป็นโค้ชเดอะวอยซ์ทำให้คนรู้จักมากขึ้นนอกจากที่มีคนรู้จักเพลงเราอยู่แล้ว แต่พอมันเป็นรายการได้อยู่ในทีวีเขาได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ได้ดูกับลูก เขาก็ได้รู้จักเราเพิ่มมากขึ้น แต่ผมไม่ได้คิดว่าการที่ผมเป็นโค้ชเดอะวอยซ์แล้วจะดังมากขึ้น หรือว่าใครจะฟังเพลงผมมากขึ้น แค่ก็อยากทำเพลง แล้วเพลงออกไป แค่มีคนเข้าใจก็พอแล้ว เราเลยรู้สึกว่าเรามาไกลไปแล้ว มาไกลเกินกว่าที่เราจะรับมือได้”
“อย่างคอนเสิร์ตไวตามิลล์ เสนอ แสตมป์ฟ้าผ่า ผมก็ทำใจยอมรับแล้วว่าถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคอนเสิร์ตเดี่ยวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในตอนที่ผมเป็นโค้ชเดอะวอยซ์ ซึ่งตอนนั้นมันพีคมาก แต่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้จะเป็นคอนเสิร์ตที่เกี่ยวกับตัวผมจริงๆ เป็นคอนเสิร์ตที่ผมอยากจะเล่นแล้วพอมีลูก ให้ลูกได้เห็นว่านี่แหละครั้งหนึ่งของพ่อ ซึ่งผู้ใหญ่ก็รับรู้ในเหตุผลนี้เช่นกัน”
ต่อไปนี้จะไม่รับงานเป็นกรรมการตัดสินให้กับรายการไหนอีกแล้ว เพราะทนแรงกดดันไม่ไหว
“ต่อจากนี้ถ้ามีใครติดต่อมาให้เป็นคอมเมนท์อีก ผมว่าคงพอแล้วล่ะ เราได้เรียนรู้กับมันเป็นเวลา 3 ปี เราได้ทดลองแล้วว่ามันไม่เหมาะกับเรา เราไม่เหมาะสมอยู่ท่ามกลางความกดดันแบบนั้น เราก็เลยคิดไปว่าไปทำอย่างอื่นที่เราวางแพลนไว้ดีกว่า”