xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” ดิ้นสุดแรง ต่อชีวิตช่องดิจิตอล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ถ้าไม่มั่นใจว่าจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 จะไม่ทำ”

ประโยคข้างต้นคือคำสัมภาษณ์ของ "พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี จำกัด หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” ใน นสพ. ประชาชาติธุรกิจ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์เมื่อปีที่ผ่านมา ขณะที่สมรภูมิของการแข่งขันในเรื่องของทีวีดิจิตอลกำลังห้ำหั่นกับแบบเอาเป็นเอาตาย

โดยในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ยังย้ำว่าเจ๊ติ๋ม ซึ่งได้สัมปทานช่องทีวีดิจิตอลมา 2 ช่อง คือช่องข่าวสารและสาระ (THV.) และช่องเด็ก ครอบครัวและเยาวชน (LOCA) พร้อมเดินหน้าเต็มกำลังในสนามแข่งใหม่ ถึงขนาดยอมทุบหม้อข้าวตัวเอง ด้วยการยกเลิกรายการที่ผลิตให้แก่ฟรีทีวีทุกช่อง รวมถึงหยุดออกอากาศช่องทีวีพูลแชแนล และทีวีพูลมิวสิกที่ออกอากาศผ่านทีวีดาวเทียม เพื่อมารุกทีวี
ดิจิตอลอย่างเต็มตัว ด้วยหมายมั่นว่าทั้ง 2 ช่อง จะต้องติดตลาดครองใจผู้ชมตั้งแต่วันแรกที่เริ่มออกอากาศ โดยเป้าหมายของ THV. ที่วางไว้คือ การก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ภายใน 5 ปี ขณะที่เป้าหมายของช่อง LOCA นั้น ไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องของกำไร แต่เน้นการคืนกำไรกลับสู่สังคม

ทั้งนี้ คาดหมายว่าช่องทีวีดิจิตอลในมือทั้ง 2 ช่องนี้ จะสามารถคืนทุนได้ในปีแรกที่เริ่มออกอากาศ และจะคุ้มทุนภายในปีที่ 2 ส่วนปีที่ 3 จะเป็นปีที่มีกำไรเข้ามา ก่อนจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นใน 5 ปีจากนี้ โดยตั้งเป้าตัวเลขไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท

แต่เพียง 1 ปีให้หลัง ความฝันของเจ๊ติ๋มก็ดูเหมือนจะพังภินท์ไปเสียสิ้น คือแทนที่จะกำไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือเสมอตัว ทว่ากลับขาดทุนยับเยิน ด้วยยอดตัวเลขที่พุ่งทะยานสูงถึง 300 ล้านบาท !!

ครานี้เจ้าแม่สื่ออย่างเจ๊ติ๋ม ถึงกับยอมเปิดใจกับนิตยสาร Positioning ยอมรับว่า “คาดการณ์ผิด” หลังจากที่ควักทุนตัวเองลงทุนในธุรกิจนี้สูงถึง 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นค่าใบอนุญาตประมูลคลื่นทีวีดิจิตอล 400 ล้านบาท ค่าลงทุนผลิตละคร 200 ล้านบาท รวมถึงค่าบริหารจัดการอื่นๆ

และวาทะเด็ดที่ทำเอาสื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นเมือง ก็คือ

“ใครจะจ่ายก็จ่ายไป แต่เราและอีกหลายช่องไม่ยอมจ่ายแน่ๆ ยอมรับว่าเราคาดการณ์ผิดพลาด ที่ไปประมูลมา 2 ช่อง เหมือนล่องเรืออยู่แล้วเห็นสิ่งใหม่ดีกว่า ก็ไปร่วมและก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้”

คำว่า “ไม่จ่าย” นั้น หมายถึง “ค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอล”

งานนี้เจ๊ติ๋มโดนถล่มเละ ในฐานะที่ได้ “ของฟรี” จนเคยตัว เพราะที่ผ่านมาเมื่อธุรกิจในเครือ “ทีวีพูล” จะหยิบจับงานอะไรขึ้นมา ล้วนแล้วแต่มีบรรดาพันธมิตรพร้อมจะเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นดารา,นักแสดง,นักร้อง,ค่ายหนัง,ค่ายเพลง,ค่ายละคร รวมถึงผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นต้องอาศัยฐานของทีวีพูลเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ เรียกว่าเจ๊ติ๋มสามารถจัดงานพรมแดงได้โดยแทบไม่ต้องควักเงินตัวเองแม้แต่บาทเดียว

ครั้นพอถึงคราที่ตัวเองจะต้องควักเงินจ่าย “ค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอล” ตามกติกา กลับทำท่าจะบิดพลิ้ว โดยโยนความผิดให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ที่เป็นต้นเหตุให้ธุรกิจทีวีดิจิตอลของเธอขาดทุน

หลายคนจึงมองว่า งานนี้เข้าทำนอง....รำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง...

คือคอนเทนต์ในช่องไม่ดี ไม่มีคนดู โฆษณาไม่เข้า ก็โบ้ยความผิดให้คนอื่น โดยหนึ่งในตัวอย่างคำวิพากษ์วิจารณ์ และการแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ที่เจ๊ติ๋มพึงระลึกไว้เพื่อเป็นกรณีศึกษา ก็คือ

“ในสัญญาสัมปทาน มีข้อไหนที่บอกว่า ถ้าขาดทุนไม่ต้องจ่ายสัมปทานบ้างไหมครับ ? ถ้าไม่มี ก็ต้องจ่าย ถ้าไม่จ่าย ก็จะยิ่งโดนหนักกว่าเดิม เข้าขั้นโกงสัมปทาน โกงชาติเลยนะครับ

ถ้าคุณคาดการณ์ธุรกิจผิดเอง คุณจะปัดความรับผิดชอบมาให้ประเทศชาติ และคนไทยทั้งชาติได้อย่างไร

สมัยก่อน ทีวีช่อง 3 เขาเริ่มกำเนิดเมื่อ 45 ปีก่อน เขาก็ขาดทุนเหมือนกันนั่นแหละ แต่ก็ต้องอดทนให้ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านไปก่อน”

การประสบความสำเร็จในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ อย่างนิตยสารทีวีพูล ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โฆษณาวิ่งเข้ามาชน จนทีมขายแทบไม่ต้องวิ่งหา นั่งรอรับโทรศัพท์เปิดออเดอร์จากลูกค้าอย่างเดียว ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อลุกขึ้นมาบริหารช่องทีวีดิจิตอลแล้วจะประสบความสำเร็จไปด้วย หากไม่มีความแม่นยำ และชำนาญการที่มากพอ ในขณะที่ช่องทีวีผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่ก้อนเค้กที่จะมาซื้อโฆษณายังมีเท่าเดิม แน่นอนว่าลูกค้าย่อมต้องเลือกลงโฆษณากับช่องที่มีเรตติ้งดีที่สุด และลดหลั่นลงมาตามลำดับ ส่วนช่องที่เรตติ้งต่ำเตี้ยเรี่ยดินนั้น อาจจะไม่เหลือขนมเค้กให้กัดกิน

ตัวเลขขาดทุน 300 ล้านบาทนั้น จึงเป็นที่มาของการเจรจากับบริษัท MV Television (MVTV) ของ “ชัยยุทธ ทวีปวรเดช” ผู้คร่ำหวอดอยู่ธุรกิจทีวีดาวเทียม และช่องเคเบิล และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หนังชุดและซีรีส์จากผู้ผลิตในฮ่องกงมานาน เพื่อให้เข้ามาเป็นพันธมิตรผลิตรายการในทีวีดิจิตอลทั้ง 2 ช่อง ตามช่องทางที่กฎหมายเปิดให้ คือ 40% หรือ 9 ชั่วโมงต่อวัน โดยยืนยันว่าไม่ได้ขายหุ้นอย่างที่เป็นข่าว แต่เป็นข้อตกลงการทำธุรกิจร่วมกัน 5 ปี และนำพามาสู่การที่ MVTV เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ในช่อง LOCA พร้อมกับปรับเปลี่ยนชื่อสถานีใหม่ว่า “MVTV family” หลังจากพยายามจะทำเรื่องของไปยัง กสทช. เพื่อขอเปลี่ยนชื่อ LOCA เป็น MVTV แต่ไม่ได้รับอนุมัติ
และล่าสุด ทางไทยทีวี ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 200 ล้านบาท เป็น 800 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 8% พร้อมกับมีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสถานีคนใหม่ จาก “ภิญโญ รู้ธรรม” มาเป็น “พลโทสุนทร โสภณศิริ” อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 5

นอกเหนือจากนั้นก็จะกลับไปสู่อู่ข้าวอู่น้ำเดิม คือการปัดฝุ่นช่องทีวีพูลบนทีวีดาวเทียมอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนการทำธุรกิจของบริษัทไทยทีวี จำกัด พบว่านับตั้งแต่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.52 ซึ่งมีทุนเริ่มต้น จำนวน 1 ล้านบาท บริษัทฯ มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนจำนวน 4 ครั้ง

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 ต.ค.56 เพิ่มเป็นวงเงิน 200 ล้านบาท

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 29 ม.ค.57 เพิ่มเป็นวงเงิน 400 ล้านบาท

ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.57 เพิ่มเป็นวงเงิน 600 ล้านบาท

และล่าสุดครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 8 พ.ค.57 เพิ่มเป็นวงเงิน 800 ล้านบาท

โดยแหล่งเงินที่นำมาใช้ในการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 200 ล้านบาท ครั้งที่ 1 ของบริษัทฯ เป็นเงินส่วนตัวของเจ๊ติ๋ม และลูกชายทั้ง 3 คน ได้แก่ นายกันต์พงษ์ ศกุณต์ไชย , นายโชกุล ศกุณต์ไชย และนายนันท์ธกุณฑ์ ศกุณต์ไชย
ส่วนการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นั้น เป็นของเงินของเจ๊ติ๋มล้วนๆ
และที่น่าจับตามอง ก็คือการเพิ่มทุน ครั้งที่ 3 นั้น แหล่งเงินถูกระบุว่ามาจาก บริษัท โอสถสภา จำกัด จำนวน 10 ล้านบาท ของเจ๊ติ๋มเอง อีก 110 ล้านบาท รวมกับจากบุคคลอื่นอีก ได้แก่ นายณัฐกิตติ์ โสภาคดิษฐพงษ์ , นายธรรมจักร พานิชชีวะ , นายประธาน ไชยประสิทธิ์ , นายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ และนายธนา ไชยประสิทธิ์

อนึ่ง เมื่อสืบค้นข้อมูลของแหล่งที่มาของการเพิ่มทุนในครั้งที่ 3 นั้น มีข้อมูลเพิ่มเติมว่านายธรรมจักร พานิชชีวะ เป็นบุตรชายนายสมศักดิ์ พานิชชีวะ เจ้าของหุ้นส่วนกระจกไทยอาซาฮี และเป็นหุ้นส่วนทางด่วนโทลล์เวย์ ส่วนนายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เป็นประธานกรรมการบริษัท โอสถสภา จำกัด คนปัจจุบัน นายประธาน ไชยประสิทธิ์ และนายธนา ไชยประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัท โอสถสภา จำกัด นั่นหมายถึงว่าการเพิ่มทุนครั้งนี้ มีที่มาจาก 2 แหล่งใหญ่ๆ นั่นคือโอสถสภา และกระจกไทยอาซาฮี โดยเฉพาะจากโอสถสภานั้น มีมูลค่ารวมสูงถึงกว่า 50 ล้านบาทเลยทีเดียว
ขณะที่การเพิ่มทุน ครั้งที่ 4 อีก จำนวน 200 ล้านบาท รวมเป็น 800 ล้านบาท เป็นเงินของเจ๊ติ๋มเพียงคนเดียว
โดยรายชื่อของบุคคลเหล่านี้ เริ่มเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไทยทีวีฯ ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 57 จนถึงปัจจุบัน และล่าสุด เมื่อวันที่ 23 มี.ค.58 บริษัท ไทยทีวีฯ ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการใหม่ เป็น 8 ราย จากเดิมที่มีชื่อของเจ๊ติ๋มเป็นกรรมการเพียงคนเดียว

โดยรายชื่อ กรรมการบริษัทใหม่ ประกอบไปด้วย

เจ๊ติ๋มทีวีพูล
นายธวัชชัย สมุทรสาคร พลเอกมงคล เผ่าพงษ์คล้าย ดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
นายธนะชัย สันติชัยกูลนายวิทัย รัตนากร
นายอภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ
นายธนาไชยประสิทธิ์
นายโชกุล ศกุณต์ไชย

และหลังจากนี้ ยังมีการระบุเพิ่มเติมอีกว่า เจ๊ติ๋มกำลังวิ่งหาพันธมิตรรายใหญ่ เพื่อเข้ามากอบกู้วิกฤตในครั้งนี้ ภายหลังจากการเปิดเจรจากับ MV Television (MVTV) ที่ปิดดีลกันไปเรียบร้อยแล้ว โดย “Astv ผู้จัดการสุดสัปดาห์” ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข่าวภายในของ MVTV ว่า เจ๊ติ๋ม ทีวีพูลกับชัยยุทธ ทวีปวรเดช เป็นคู่ค้า ที่มีสัมพันธภาพที่ดีกันมาช้านานแล้ว จากการซื้อขายหนังจีน
ซีรีส์ต่างๆ มาลงในช่องทีวีดาวเทียม จนนำมาสู่การจับมือร่วมกันในการร่วมกันกอบกู้สถานการณ์ของช่องดิจิตอล อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นดังที่เจ๊ติ๋มให้สัมภาษณ์ไว้จริงๆ คือไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่ได้มีการซื้อขายสัมปทานช่องอย่างที่หลายคนตั้งข้อสังเกต หนึ่งด้วยกติกาของ กสทช. ที่ห้ามซื้อขายถ่ายโอน และสองทางเจ๊ติ๋มเองก็คงไม่ปล่อยให้ช่องดิจิตอลหลุดมือไปง่ายๆ และสาม ทาง MVTV ก็ไม่ได้มีขุมทรัพย์มากพอในการที่จะซื้อสัมปทานทีวีดิจิตอลมาทั้งช่อง ในขณะเดียวกัน ทาง MVTV.ก็ยังเป็นพันธมิตรกับช่องดิจิตอลอื่นๆ ด้วย เช่นช่องไทยรัฐทีวี ที่มีการซื้อขายซีรีส์ยอดนิยมอย่าง “เปาบุ้นจิ้น”

ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 288 9-15 พฤษภาคม 2558







ภิญโญ รู้ธรรม อดีตผู้อำนวยการสถานีไทยทีวี
ชัยยุทธ ทวีปวรเดช แห่ง MV Television (MVTV) พันธมิตรรายใหญ่ของเจ๊ติ๋ม
กำลังโหลดความคิดเห็น