xs
xsm
sm
md
lg

NO COMMENT “เคลลี่-กรีน” ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน แล้วที่ผ่านมาคืออะไร?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


..... รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ
ความรักเช่นนั้นให้โทษ
จะไปโกรธโทษรักไม่ได้
ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้รักจึงได้แรมรา

เนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลง “บุเพสันนิวาส” ดูเหมือนจะเข้ากับเรื่องราวความรักที่กลายเป็นความเศร้า ของคู่พระนางแห่งวิกหมอชิต “เคลลี่ ธนะพัฒน์” และ “กรีน-อัษฏาภรณ์ สิริวัฒน์ธนกุล” โดยเฉพาะท่อนที่ว่า

…..รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ…..

ที่แปลความได้ว่า “ความรัก” เปรียบเหมือนโคใหญ่ ที่คึกคะนอง เร่าร้อน มีพละกำลังมากมาย เกินกว่าที่ใครจะฉุดรั้งไว้ได้ เหมือนกับคนที่หน้ามืดตามัวเพราะความรัก จนใครทัดทานยังไงก็ไม่ฟัง
คำเปรียบเปรยดังกล่าว มาจากบทพระราชนิพนธ์มัทนะพาธา ของรัชกาลที่ 6 ที่ให้แง่คิด และมุมมองให้รู้จักพิษสงของความรัก เพราะความรักที่ขาดการไตร่ตรอง ขาดสติ ขาดการยับยั้งชั่งใจที่ดี อาจะนำพามาซึ่งความเจ็บช้ำใจในภายหลัง

…..ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแน่ไซร้ รักจึงได้แรมรา…..

ทำไม ? ถึงว่าเนื้อเพลงนี้สอดคล้องกับเรื่องราวรักร้างของเคลลี่กับกรีน ก็ถ้ายังจำกันได้ สมัยที่ยังรักกันจี๋จ๋า ชนิดชี้นกก็บอกว่าไม้ ทั้งคู่เลยสร้างตำนาน “รักพี่ต้องหนีพ่อ” จนเป็นข่าวคราวครึกโครม ถึงขนาดฟ้องร้องกันเป็นคดีความใหญ่โต

เหตุการณ์เริ่มมาจากเคลลี่ที่เปิดประเด็นยื่นฟ้องหมิ่นพ่อของกรีน โทษฐานที่อีกฝ่ายส่ง จม. ข่มขู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 เดือน ครั้งนั้นเคลลี่ให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงเรื่องนี้ กลางงาน 7 สีคอนเสิร์ต โดยมีกรีนยืนอยู่เคียงข้าง ฟังฝ่ายชายให้สัมภาษณ์เรื่องจะฟ้องพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองหน้าตาเฉย ก็ไม่แปลกหรอกที่กรีนจะถูกหมายหัวจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า.....เห็นผู้ชายดีกว่าพ่อ

ส่วนสาเหตุใหญ่ที่เป็นปฐมบทให้พ่อของกรีนไม่ปลื้มเคลลี่ ถึงขนาดมีการทำจดหมายร้องเรียนไปยังผู้จัดละคร รวมถึงส่งตรงถึงต้นสังกัด คือช่อง 7 สี ก็มาจากเหตุผลเดียวล้วนๆ คือเป็นห่วงลูกสาว ซึ่งคนอาจจะมองว่าทำเกินกว่าเหตุหรือเปล่า ? แต่อย่าลืมว่าคนเป็นพ่อที่มีลูกสาวอายุเพียงแค่ 24 ปี และกำลังคบหากับผู้ชายที่อายุมากกว่ากันถึง 19 ปี แถมมีข่าวว่าเจ้าชู้ระดับตัวพ่อ ก็ย่อมต้องเป็นห่วงลูกสาวเป็นธรรมดา ซึ่งพ่อคนอื่นก็อาจจะทำลักษณะเดียวกันนี้ เพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าว

ตอนนั้นเคลลี่ออกโรงปกป้องว่าเรื่องนี้กรีนไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของเขากับพ่อฝ่ายหญิง 2 คนเท่านั้น ถ้าใครยังพอจะจำได้ ครั้งนั้นเคลลี่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวประมาณว่าเรื่องฟ้องร้องครั้งนี้ กรีนเป็นกลาง พร้อมกันนั้นก็ย้ำว่าถึงจะมีปัญหากับพ่อฝ่ายหญิง แต่ก็ไม่บั่นทอนเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ฝ่ายกรีนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดถึงพ่อในเชิงว่ายังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน อยากให้ทั้งคู่ หมายถึงทั้งเคลลี่และพ่อ หันมาพูดจาตกลงกัน ยืนยันว่าไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ยอมรับว่าลำบากใจหากว่าพ่อบังคับให้ต้องเลิกกัน หรือต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง

หลังจากนั้นฝ่ายพ่อของกรีน ก็มีการตอบโต้โดยการโพสต์คลิปเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมเล่าให้ว่าเคลลี่เป็นคนออกปากเองว่าจะขอคบกับกรีน โดยตนเองก็ไม่ได้กีดกัน ขัดขวาง แต่ขอว่าให้กรีนเรียนให้จบก่อน ซึ่งเคลลี่ก็ยอมรับได้ แต่ไปๆ มาๆ ก็กลับเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงเสียเอง แถมยังไม่ยอมมาพูดคุยกัน แต่กลับพูดปัดว่ากรีนจะเป็นคนมาคุยกับพ่อแม่เอง ยอมรับว่ามีการส่ง จม.หาเคลลี่จริง แต่เป็น จม. ที่นัดมาพูดคุยกันมากกว่า แต่ก็ไม่เป็นผล แถมลูกสาวตัวเองก็ติดต่อไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่าลูกสาวตนเองรักอีกฝ่ายเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่ยังคาใจก็คือ ฝั่งเคลลี่นั้น รักกรีนมากน้อยแค่ไหน? ถึงอดทนรออีกหนึ่งปีให้กรีนเรียนจบไม่ได้

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงประมาณกลางๆ ปี 2556 จากนั้นตำนาน “รักพี่ต้องหนีพ่อ” ก็ยังคงดำเนินต่อมา จนกระทั่ง 2 ปีให้หลัง รักก็มาอับปางลง (จนได้) ท่ามกลางน้ำตาของทั้งคู่ฝ่ายที่ออกมายืนเคียงข้างกัน เพื่อเล่าแจ้งแถลงไขถึงต้นเหตุของรักร้าง โดยต่างคนต่างอ้างว่าสาเหตุมาจากเรื่องหน้าที่การงาน ทำให้ไม่มีเวลาให้กัน ขณะที่เคลลี่ก็เสริมว่าเป็นเพราะกำลังเครียดเรื่องที่แม่ป่วยด้วย แต่ก็ยังคงพูดคุย ปรึกษาหารือกันได้อยู่ ในฐานะ”พี่-น้อง” แต่มีอิสระระหว่างกันและกันมากขึ้น

แต่ที่ทำเอานักข่าวทุกสำนักสะอึกไปตามๆ กัน ก็คือคำให้สัมภาษณ์ของเคลลี่ที่บอกว่า

“ตั้งแต่ผมกับกรีนคบกันมา เราไม่เคยเดินออกมาประกาศว่าเราคบกันในแบบไหน เขาเป็นผู้หญิง ต้องนึกถึงความรู้สึกเขาด้วย ถ้าเขาเสียหาย เราบอกว่าคบกับเขาเป็นพี่เป็นน้อง รักกันคบกันตามรูปแบบของเรา ไม่ได้อยากมายืนบอกใครว่าต้องเป็นแบบนี้ ถ้าคุณจะตั้งชื่อสถานะว่าเป็นแฟน เป็นพี่เป็นน้อง เป็นคนรัก ก็แล้วแต่ แต่สำหรับผมกับกรีน เรามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน และทุกวันนี้ก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน”

งานนี้เคลลี่ก็เลยโดนนักข่าว และสารพันคำคอมเม้นต์ในสื่อออนไลน์ ที่สับจนเละเป็นโจ๊ก โทษฐานที่พูดจาแบบ “ไม่แมน” เลยสักนิด จริงอยู่ว่าไม่เคยออกปากว่าเป็นแฟน แต่ได้การกระทำที่ไปไหนมาไหนด้วยกันร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ โอบกอดจี๋จ๋ากันท่ามกลางธารกำนัล ถึงขนาดมีเรื่องมีราวกับพ่อฝ่ายหญิง นั่นใช่วิสัยของคนที่ไม่ได้คบกันลึกซึ้งฉันคนรักหรอกหรือ ?

คำพูดที่ว่า “ไม่เคยบอกว่าคบกันแบบไหน” ถ้าใช้ตอนสมัยเพิ่งคบกัน ยังพอทำใจได้ว่าเพื่อปกป้องฝ่ายหญิงไม่ให้เสียหาย หากมีการเลิกรากันในภายหลัง แต่เมื่อนำมาใช้ขณะที่คบกันถึงไหนต่อไหนกันมา 4 ปีแล้ว จนไปกันไม่รอดแล้ว มันออกจะเกินไปหน่อย เพราะมันแสดงออกถึงความไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และยิ่งทำให้ผู้หญิงเสียหายมากขึ้น

ส่วนกรีนเอง ก็โดนสื่อโซเชียลถล่มไม่น้อยเหมือนกัน ทำนองว่าอยากจะสงสาร แต่พอนึกถึงตอนที่ยืนเคียงข้างผู้ชายที่ประกาศจะฟ้องพ่อตัวเองได้อย่างหน้าชื่นแล้ว ทุกคนก็ทำใจให้สงสารไม่ลง บางคนหนักกว่านั้น เพราะใช้คำว่า “สมน้ำหน้า” ด้วยซ้ำ โทษฐานที่หลงผู้ชายจนไม่ฟังคำเตือนของพ่อ เชื่อว่าตอนนั้นพ่อน่าจะพอมองเห็นอะไรรางๆ แล้วล่ะ ว่าเคลลี่อาจจะไม่ได้จริงจังกับลูกสาวตัวเองถึงได้ออกโรงมากีดกัน แต่ฝ่ายกรีนกลับแปรความปรารถนาดีของพ่อเป็นอื่นไปเสียนี่

ลำพังผู้ชายบอกเลิกก็เจ็บจนน้ำตาร่วงแล้ว แต่ผู้ชายบอกว่าไม่เคยคบด้วยนี่ เหมือนโดนดูแคลนศักดิ์ศรีของผู้หญิงอย่างหนัก แต่กระนั้นกรีนก็ยังดูแมนกว่าเคลลี่ เพราะคำสัมภาษณ์ล่าสุด ก็ยังอุตส่าห์ออกมาพูดเชิงเห็นใจฝ่ายชายที่โดนถล่ม ซ้ำร้ายยังกางปีกปกป้อง โทษว่าตัวเองเป็นฝ่ายทำให้ผู้ชายเสียประวัติ

“ก็ตกใจกับฟีดแบ็กเหมือนกันค่ะ เพราะว่ากรีนต่างหากที่เป็นคนสร้างปัญหา กับคำพูดทำให้คนสับสน เหมือนวันนั้นมีโอกาสออกงาน แล้วพี่เขาเข้ามาเคลียร์ เราปรึกษากันแล้ว พี่เขาไม่อยากให้กรีนพูดเยอะ ยิ่งผู้หญิงพูดเยอะก็ยิ่งเสีย เลยกลายเป็นว่าให้พี่เคลลี่พูด พอพี่เคลลี่พูดปุ๊บ เขาก็อยากมาเคลียร์ คนเลยมองว่าเขาไม่สุภาพ ไม่แมนอีก

ที่กรีนร้องไห้เป็นน้ำตาจากคำพูดที่พี่เขาพูดว่าเขาก็ยังรัก ยังห่วงใยน้องอยู่ค่ะ ก็ยังคงรักเหมือนเดิม มันก็เลยเหมือนความรู้สึกของคนเคยผูกพันกันมา มันก็เลยมีน้ำตาออกมา เป็นความรู้สึกตื้นตันมากกว่า ถามว่าเครียดไหม ก็เครียดค่ะ แต่กรีนให้กำลังเขาตลอดและยังให้เกียรติกันเสมอมา

ส่วนกระแสที่บอกว่าเราไม่เชื่อคุณพ่อตั้งแต่ตอนนั้น จริงๆ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้วนะคะ กรีนขอไม่พูดถึงนะคะ ณ ปัจจุบันวันนี้ เรายังอยู่ในสถานะของพี่น้อง เพื่อนที่ร่วมงานกันได้ เราไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้เป็นศัตรูกัน

สิ่งที่ผ่านมากรีนก็อยากให้ทุกคนเข้าใจพี่เคลลี่ อยากให้ดูที่ผลงานค่ะ ดูที่ความสามารถ พี่เขาอยู่วงการมากี่สิบปีแล้ว จะมาเสียประวัติเพราะกรีนคนเดียว กรีนรู้สึกว่ามันไม่แฟร์สำหรับเขา และเขาเป็นคนดีจริงๆ กรีนสัมผัสและหลายๆ คนสัมผัสเขาได้ว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก ไม่เคยมีข่าวเสียๆ หายๆ”

OMG !! มุมหนึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นคำสัมภาษณ์ที่เลอค่ามาก แต่อีกมุมหนึ่ง หลายคนที่ติดตามเรื่องของคู่นี้มาทุกช่วงทุกตอน ก็คงอยากจะมอบ 3 คำให้กับกรีน

NO-COM-MENT

ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 286 25 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2558












กำลังโหลดความคิดเห็น