เป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวกับกรณีที่นายอานนท์ มิ่งขวัญตา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ "พจน์ อานนท์" ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่ใช้ชื่อแฟนเพจ "นนนี่ ขี้ไม่ราด" เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา
สาเหตุที่ต้องมีการฟ้องร้องกันดังกล่าวทางเจ้าตัวได้เปิดเผยว่าก็เนื่องมาจากการที่อีกฝ่ายนั้นได้มีการโพสต์คลิปหมิ่นประมาทตนเองในฐานะผู้กำกับภาพยนต์เรื่อง "มอ 6/5 ปากหมาท้าผี 3" อย่างเสียๆ หายๆ ในลักษณะทำนองว่าตนไม่มีความสามารถในการทำหนัง ไม่มีฝีมือ ทำหนังทุนต่ำมาหลอกเอาเงินคนดู ฯ ซึ่งทำให้ตนและบริษัทผู้สร้างเสียหาย ทั้งๆ ที่ผู้โพสต์นั้นยังไม่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
โดยผู้กำกับคนดังยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้ตนจะรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะยื่นเรื่องเอาผิดอีกฝ่ายทั้งทางแพ่งและทางอาญาและจะขอเอาเรื่องให้ถึงที่สุด รวมถึงใครก็ตามที่มีการโพสต์คลิปตลอดจนข้อความในลักษณะนี้หากมีหลักฐานตนก็จะเอาเรื่องด้วยเช่นกัน
กับข่าวที่ออกมา ทำให้ในโลกโซเชียลเองได้มีการแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้กันอย่างมากมาย โดยบางส่วนก็เห็นด้วยกับการกระทำของผู้กำกับภาพยนตร์ ขณะที่บางส่วนก็มองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและมองว่าเป็นการริดรอนสิทธิ์ในการที่จะแสดงความคิดความเห็น ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เส้นกั้นระหว่างการใช้ถ้อยคำ-ข้อความที่ถูกมองว่าเป็นการแสดงความเห็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ กับถ้อยคำ-ข้อความอาจจะเข้าข่ายเป็นการดูหมิ่นประมาทนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาถามหามาตรฐาน
จากใจผู้ถูกด่า?
"คือพี่ไม่ใช่คนพิจารณานะ ตำรวจกับทนายความต่างหากที่จะเป็นคนพิจารณาว่าแบบไหนฟ้องได้ฟ้องไม่ได้ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นทางตำรวจกับทนายเขาก็บอกว่าแบบนี้มันฟ้องได้..." คำบอกเล่าจาก "พจน์ อานนท์" ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ตกเป็นข่าวเปิดเผยกับทีม Super บันเทิง
"ที่ผ่านมาๆ ที่เราไม่ฟ้องเพราะเราไม่อยากไปมีปัญหา แต่อย่างตอนนี้มันเยอะเกินไปก็ทนไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่นคุณยังไม่ได้ดูหนังแล้วคุณไปพูดชวนคนอื่นว่าอย่ามาดูเลยหนังเรื่องนี้ อันนี้ฟ้องได้ ตำรวจบอกฟ้องได้เป็นลักษณะของการพูดในเชิงที่ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพราะว่าตำรวจเขาสืบได้อยู่แล้วว่าคุณไปดูหนังเรื่องนี้หรือไม่ได้ดู"
"คือหนังยังไม่ทันจะฉายเลยแต่คุณมาด่าแล้ว พจน์ อานนท์เลิกทำหนังเถอะ พจน์ อานนท์ไม่มีความสามารถ พจน์ อานนท์ไม่รู้จักพัฒนาฝีมือ พจน์ อานนท์หลอกเงินคนดู ทำหนังแค่ล้านเดียวกินกำไรตั้ง 39 ล้าน อย่างนี้พูดไม่ได้นะ เพราะหนังผมลงทุนตั้ง 20 กว่าล้าน แล้วมาพูดเอาเงินเข้า 39 ล้านนะ คุณก็ผิดแล้ว คุณบอกว่าไม่พัฒนาคุณไปดูหนังหรือยัง หรืออย่างคุณพจน์ไม่มีฝีมือ ไม่มีความสามารถ ไม่มีแต่ผมยังทำหนังมาได้ยังไงตั้ง 27 เรื่องแล้ว"
ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่าการฟ้องในลักษณะเช่นนี้แง่หนึ่งมันก็ทำให้ใครหลายคนมองว่าตกลงตัวผู้กำกับคนนี้จะไม่ยอมรับในเสียงวิจารณ์ทางด้านลบของคนอื่นๆ ที่มีต่อผลงานของตนเองเลยหรือ? เรื่องนี้เจ้าตัวเผยว่าพูดถึงงานตัวเองได้ แต่ต้องแยกแยะระหว่างการวิจารณ์กับด่า
"พูดถึงได้ แต่มันต้องแยกแยะกันนะระหว่างวิจารณ์หรือด่า อย่างถ้าบอกหนังส้นตีนแบบนี้มันอะไรล่ะ เป็นคุณๆ โกรธมั้ย แบบนี้เรียกว่าวิจารณ์ตรงไหน..."
(ผู้สื่อข่าว) แล้วถ้าเกิดมีคนไปดูหนังมาแล้วมาพิมพ์มาโพสต์บอกประมาณว่า หนังห่วยจัง แบบนี้ล่ะ?
"คุณก็ต้องบอกว่ามันห่วยยังไง คุณจะวิจารณ์คุณก็ต้องมีความรู้ ถ้าคุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนังเลย คุณก็มั่วสิอย่างนั้น..."
เชื่อคนที่ด่าไม่ใช่แฟนหนังตนเอง ก่อนบอกเจ้าหน้าที่รู้ตัวคนที่ปล่อยคลิปแล้ว ตอนนี้ตนกำลังให้ทนายความทำเรื่องเก็บข้อมูลหลักฐานต่างๆ เพื่อเตรียมจะยื่นอาทิตย์หน้า รวมถึงกำลังดูด้วยว่ายังมีข้อความไหนที่เข้าข่ายลักษณะเดียวกันอีก
"เห็นเจ้าหน้าที่ว่ากำลังตามตัวอยู่นะ ตอนนี้ก็ให้ทนายความทำเรื่องเก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด อาทิตย์หน้าจะยื่น แล้วก็กำลังดูอยู่ว่าข้อความไหนที่มันด่าๆๆ ด่าที่แบบนังไม่ทันดูหนัง คือพวกนี้เราก็จะเอาให้เจ้าหน้าที่ดู ถ้าเขาเห็นว่าฟ้องได้ก็จะฟ้องเลย แจ้งจับก็แจ้งจับ ผมไม่สนใจหรอก ทีคุณยังด่าผมเลย"
"ก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ ทีบริษัทอื่นเขาไม่ค่อยโดน สังเกตดู ผู้กำกับมีตั้ง 50-60 คน มารุมด่าแต่เรา ก็งงว่าพี่ไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อนหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่รู้จักผู้กำกับคนอื่นๆ ผมไม่ได้อะไรหรอก ไม่อยากมีเรื่องเลย ปล่อยมาตั้ง 20-30 ปี แต่รำคาญ โดนด่าแบบผม โดนด่าทุกวัน โดนด่าอย่างไม่มีเหตุผลน่ะ แล้วคนที่เสียหายคือบริษัทที่เขาสร้างหนัง"
"คือจะตามล้างตามผลาญไปจนตายเลยหรือ ก็ไม่ไหวก็ต้องเอาเสียหน่อย แน่นอนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูดหรือแสดงความเห็น แต่คนที่ถูกพาดพิงเขาก็มีกฏหมายที่จะถูกคุ้มครองอยู่เช่นกัน"
...
แบบไหนเรียกวิจารณ์?
ขณะที่ทางด้าน "หมู สุภาพ หริมเทพาธิป" บรรณาธิการ นิตยสาร BIOSCOPE หนึ่งในผู้คลุกคลีอยู่กับแวดวงภาพยนตร์มานานแสดงทัศนะคติว่า ในการแสดงความเห็นที่เป็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะด้วยการใช้ถ้อยคำที่เรียบร้อยหรือรุนแรงนั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องดูกันที่เรื่องของเหตุผล เจตนา และประโยชน์ที่จะตามมาเป็นหลัก
"กรณีทีเกิดต้องถือว่าเป็นครั้งแรกของบ้านเรานะที่มีการฟ้องร้องในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเราสนับสนุนให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นะ แต่คือมันต้องดูท่าทีของคนพูดด้วย ถ้าพูดหรือด่ากันแบบไม่ไมีเหตุมีผลเลยมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นน่ะ ตัวคนทำหนังเองก็ไม่รู้ว่าข้อดี-ข้อด้อยของตนเองคืออะไร ตรงนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ แล้วยิ่งมาด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรด้วยมันก็ไม่มีใครอยากฟัง"
"แต่ถ้ามองกันในแง่ของการวิจารณ์ มันต้องมีเจตนาที่ดี เป็นการวิจารณ์เพื่อให้งานมันเกิดการสร้างสรรค์ ซึ่งมันก็อาจจะมีทั้งที่ปากดี ปากร้าย แต่ละคนแตกต่างกันไป ตรงนี้เราก็เห็นด้วยและก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่ไม่น่าจะต้องไปปิดกั้นอะไร แต่ทั้งนี้ด้วยความที่ปัจจุบันที่โลกโซเชียลมันเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันก็เหมือนกับว่าคนกล้าจะด่ามากขึ้น คือจริงๆ ก็เหมือนกับสมัยก่อนที่เราคุยกันด้วยคำหยาบๆ นั่นแหละ"
"เพียงแต่ตอนนี้ถ้ามันไปปรากฏบนพื้นที่ๆ มันเป็นพับบลิค(Public) เพราะฉะนั้นคนพูดเองก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือพิมพ์ด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราไปด่าเขาซึ่งๆ หน้า เราก็โดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้ เพราะฉะนั้นต้องยอมรับกันในตรงนี้ทั้งสองฝ่าย"
...
โพสต์อย่างไรไม่ให้โดนข้อหาหมิ่นประมาท? (จากบทความ "ระวังผิดหมิ่นประมาทเพราะเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ต" โดย อ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช)
ปัจจุบันนี้การเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย การเขียนข้อความแบบไหนล่ะ ถึงจะเรียกว่าหมิ่นประมาท
กระทรวงไอซีทีและสารสนเทศเปิดเผยพบการกระทำผิดเกี่ยวกับเว็ปไซด์ทางอินเตอร์เน็ต การแสดงความคิดเห็น การโพสต์คลิปเกี่ยวกับข่าวดารา นักแสดงซึ่งล้สนเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทและมีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อีกด้วย
เท่าไหร่ แค่ไหนเป็นการหมิ่นประมาท
การเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ตที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท นั้นคือการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยการใส่ความผู้อื่นเป็นการหมิ่นประมาทที่มีอยู่หลายทาง อาจจะเขียนข้อความถึงการแสดงพฤติกรรมอันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดอยู่(เช่น การบอกว่าคนตายเสียชีวิตเพราะโกงชาติแบบนี้ลูกหลานสามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้เลย) หรือเขียนข้อความถึงบุคคลที่สามว่ามีประพฤติชั่วในทางประเวณีหรือทุจริตในหน้าที่การงาน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตามก็เข้าข่ายเป็นความผิดหมิ่นประมาททั้งนั้น เช่น "นางสาว ต.เป็นชู้" "นาง ส.โกงเงินบริษัท" "นาย ว.เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกิน" "ยาย น.เป็นข้าราชการที่คอรัปชั่น"
บทลงโทษการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต
การเขียนหรือโพสต์ข้อความหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ตมีโทษแรง เพราะเป็นการหมิ่นประมาททางสาธารณะตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีความผิดฐานเขียนข้อความเผยแพร่ทางเว็บไซด์ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาทอีกด้วย
โพสต์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นผิดเต็มๆ
ผู้ที่ถูกฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท(ผู้ปล่อยข่าว) ตามกฎหมายไทยนั้นไม่ต้องรับโทษหากสิ่งที่เค้าพูดหรือเผยแพร่ได้รับการพิสูจน์ในชั้นศาลว่าเป็นความจริง แต่กฎหมายไม่ให้สิทธิ ในการพิสูจน์เรื่องส่วนตัวและพิสูจน์ความจริงนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นการเขียนข้อความประเภท ใครรีดลูก ใครเป็นชู้กับใคร ถึงแม้จะเป็นความจริง ผู้เขียนข้อความก็ต้องรับโทษตามคดีหมิ่นประมาท เพราะศาลไม่ให้สิทธิในการพิสูจน์ความจริงในเรื่องส่วนตัว
แต่ถ้าเป็นการยักยอกเงิยบริษัท การโกงกินแผ่นดินหรือการหรือทำตัวเป็นเฒ่าหัวงู ลามกกับสาวๆไปทั่ว แบบนี้ศาลให้พิสูจน์เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง ผู้เขียนข้อความไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะถือว่าช่วยเป็นหูเป็นตาให้สังคมได้ตรวจสอบผู้คนที่เป็นพิษภัยต่อสังคม
ในทางกฎหมายไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ประเภทที่ว่าเค้าหมิ่นประมาทคุณผ่านเว็ปไซด์ หรือเว็ปบอร์ดทางอินเตอร์เน็ต คุณก็ตอบโต้เค้าด้วยวิธีเดียวกัน คือเขียนประจานเค้าทางอินเตอร์เน็ตกลับไปบ้าง ไม่ฉลาดเลย ถ้าจะใช้วิธีโจรตอบโต้โจร จะกลายเป็นว่าคุณก็หมิ่นประมาทเค้าเช่นกัน แบบนี้ต้องรับโทษในข้อหาหมิ่นประมาททั้งสองฝ่าย
สาเหตุที่ต้องมีการฟ้องร้องกันดังกล่าวทางเจ้าตัวได้เปิดเผยว่าก็เนื่องมาจากการที่อีกฝ่ายนั้นได้มีการโพสต์คลิปหมิ่นประมาทตนเองในฐานะผู้กำกับภาพยนต์เรื่อง "มอ 6/5 ปากหมาท้าผี 3" อย่างเสียๆ หายๆ ในลักษณะทำนองว่าตนไม่มีความสามารถในการทำหนัง ไม่มีฝีมือ ทำหนังทุนต่ำมาหลอกเอาเงินคนดู ฯ ซึ่งทำให้ตนและบริษัทผู้สร้างเสียหาย ทั้งๆ ที่ผู้โพสต์นั้นยังไม่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
โดยผู้กำกับคนดังยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้ตนจะรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะยื่นเรื่องเอาผิดอีกฝ่ายทั้งทางแพ่งและทางอาญาและจะขอเอาเรื่องให้ถึงที่สุด รวมถึงใครก็ตามที่มีการโพสต์คลิปตลอดจนข้อความในลักษณะนี้หากมีหลักฐานตนก็จะเอาเรื่องด้วยเช่นกัน
กับข่าวที่ออกมา ทำให้ในโลกโซเชียลเองได้มีการแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้กันอย่างมากมาย โดยบางส่วนก็เห็นด้วยกับการกระทำของผู้กำกับภาพยนตร์ ขณะที่บางส่วนก็มองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและมองว่าเป็นการริดรอนสิทธิ์ในการที่จะแสดงความคิดความเห็น ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เส้นกั้นระหว่างการใช้ถ้อยคำ-ข้อความที่ถูกมองว่าเป็นการแสดงความเห็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ กับถ้อยคำ-ข้อความอาจจะเข้าข่ายเป็นการดูหมิ่นประมาทนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาถามหามาตรฐาน
จากใจผู้ถูกด่า?
"คือพี่ไม่ใช่คนพิจารณานะ ตำรวจกับทนายความต่างหากที่จะเป็นคนพิจารณาว่าแบบไหนฟ้องได้ฟ้องไม่ได้ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นทางตำรวจกับทนายเขาก็บอกว่าแบบนี้มันฟ้องได้..." คำบอกเล่าจาก "พจน์ อานนท์" ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ตกเป็นข่าวเปิดเผยกับทีม Super บันเทิง
"ที่ผ่านมาๆ ที่เราไม่ฟ้องเพราะเราไม่อยากไปมีปัญหา แต่อย่างตอนนี้มันเยอะเกินไปก็ทนไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่นคุณยังไม่ได้ดูหนังแล้วคุณไปพูดชวนคนอื่นว่าอย่ามาดูเลยหนังเรื่องนี้ อันนี้ฟ้องได้ ตำรวจบอกฟ้องได้เป็นลักษณะของการพูดในเชิงที่ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพราะว่าตำรวจเขาสืบได้อยู่แล้วว่าคุณไปดูหนังเรื่องนี้หรือไม่ได้ดู"
"คือหนังยังไม่ทันจะฉายเลยแต่คุณมาด่าแล้ว พจน์ อานนท์เลิกทำหนังเถอะ พจน์ อานนท์ไม่มีความสามารถ พจน์ อานนท์ไม่รู้จักพัฒนาฝีมือ พจน์ อานนท์หลอกเงินคนดู ทำหนังแค่ล้านเดียวกินกำไรตั้ง 39 ล้าน อย่างนี้พูดไม่ได้นะ เพราะหนังผมลงทุนตั้ง 20 กว่าล้าน แล้วมาพูดเอาเงินเข้า 39 ล้านนะ คุณก็ผิดแล้ว คุณบอกว่าไม่พัฒนาคุณไปดูหนังหรือยัง หรืออย่างคุณพจน์ไม่มีฝีมือ ไม่มีความสามารถ ไม่มีแต่ผมยังทำหนังมาได้ยังไงตั้ง 27 เรื่องแล้ว"
ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่าการฟ้องในลักษณะเช่นนี้แง่หนึ่งมันก็ทำให้ใครหลายคนมองว่าตกลงตัวผู้กำกับคนนี้จะไม่ยอมรับในเสียงวิจารณ์ทางด้านลบของคนอื่นๆ ที่มีต่อผลงานของตนเองเลยหรือ? เรื่องนี้เจ้าตัวเผยว่าพูดถึงงานตัวเองได้ แต่ต้องแยกแยะระหว่างการวิจารณ์กับด่า
"พูดถึงได้ แต่มันต้องแยกแยะกันนะระหว่างวิจารณ์หรือด่า อย่างถ้าบอกหนังส้นตีนแบบนี้มันอะไรล่ะ เป็นคุณๆ โกรธมั้ย แบบนี้เรียกว่าวิจารณ์ตรงไหน..."
(ผู้สื่อข่าว) แล้วถ้าเกิดมีคนไปดูหนังมาแล้วมาพิมพ์มาโพสต์บอกประมาณว่า หนังห่วยจัง แบบนี้ล่ะ?
"คุณก็ต้องบอกว่ามันห่วยยังไง คุณจะวิจารณ์คุณก็ต้องมีความรู้ ถ้าคุณไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนังเลย คุณก็มั่วสิอย่างนั้น..."
เชื่อคนที่ด่าไม่ใช่แฟนหนังตนเอง ก่อนบอกเจ้าหน้าที่รู้ตัวคนที่ปล่อยคลิปแล้ว ตอนนี้ตนกำลังให้ทนายความทำเรื่องเก็บข้อมูลหลักฐานต่างๆ เพื่อเตรียมจะยื่นอาทิตย์หน้า รวมถึงกำลังดูด้วยว่ายังมีข้อความไหนที่เข้าข่ายลักษณะเดียวกันอีก
"เห็นเจ้าหน้าที่ว่ากำลังตามตัวอยู่นะ ตอนนี้ก็ให้ทนายความทำเรื่องเก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด อาทิตย์หน้าจะยื่น แล้วก็กำลังดูอยู่ว่าข้อความไหนที่มันด่าๆๆ ด่าที่แบบนังไม่ทันดูหนัง คือพวกนี้เราก็จะเอาให้เจ้าหน้าที่ดู ถ้าเขาเห็นว่าฟ้องได้ก็จะฟ้องเลย แจ้งจับก็แจ้งจับ ผมไม่สนใจหรอก ทีคุณยังด่าผมเลย"
"ก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ ทีบริษัทอื่นเขาไม่ค่อยโดน สังเกตดู ผู้กำกับมีตั้ง 50-60 คน มารุมด่าแต่เรา ก็งงว่าพี่ไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อนหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่รู้จักผู้กำกับคนอื่นๆ ผมไม่ได้อะไรหรอก ไม่อยากมีเรื่องเลย ปล่อยมาตั้ง 20-30 ปี แต่รำคาญ โดนด่าแบบผม โดนด่าทุกวัน โดนด่าอย่างไม่มีเหตุผลน่ะ แล้วคนที่เสียหายคือบริษัทที่เขาสร้างหนัง"
"คือจะตามล้างตามผลาญไปจนตายเลยหรือ ก็ไม่ไหวก็ต้องเอาเสียหน่อย แน่นอนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูดหรือแสดงความเห็น แต่คนที่ถูกพาดพิงเขาก็มีกฏหมายที่จะถูกคุ้มครองอยู่เช่นกัน"
...
แบบไหนเรียกวิจารณ์?
ขณะที่ทางด้าน "หมู สุภาพ หริมเทพาธิป" บรรณาธิการ นิตยสาร BIOSCOPE หนึ่งในผู้คลุกคลีอยู่กับแวดวงภาพยนตร์มานานแสดงทัศนะคติว่า ในการแสดงความเห็นที่เป็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะด้วยการใช้ถ้อยคำที่เรียบร้อยหรือรุนแรงนั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องดูกันที่เรื่องของเหตุผล เจตนา และประโยชน์ที่จะตามมาเป็นหลัก
"กรณีทีเกิดต้องถือว่าเป็นครั้งแรกของบ้านเรานะที่มีการฟ้องร้องในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเราสนับสนุนให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นะ แต่คือมันต้องดูท่าทีของคนพูดด้วย ถ้าพูดหรือด่ากันแบบไม่ไมีเหตุมีผลเลยมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นน่ะ ตัวคนทำหนังเองก็ไม่รู้ว่าข้อดี-ข้อด้อยของตนเองคืออะไร ตรงนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ แล้วยิ่งมาด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรด้วยมันก็ไม่มีใครอยากฟัง"
"แต่ถ้ามองกันในแง่ของการวิจารณ์ มันต้องมีเจตนาที่ดี เป็นการวิจารณ์เพื่อให้งานมันเกิดการสร้างสรรค์ ซึ่งมันก็อาจจะมีทั้งที่ปากดี ปากร้าย แต่ละคนแตกต่างกันไป ตรงนี้เราก็เห็นด้วยและก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่ไม่น่าจะต้องไปปิดกั้นอะไร แต่ทั้งนี้ด้วยความที่ปัจจุบันที่โลกโซเชียลมันเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันก็เหมือนกับว่าคนกล้าจะด่ามากขึ้น คือจริงๆ ก็เหมือนกับสมัยก่อนที่เราคุยกันด้วยคำหยาบๆ นั่นแหละ"
"เพียงแต่ตอนนี้ถ้ามันไปปรากฏบนพื้นที่ๆ มันเป็นพับบลิค(Public) เพราะฉะนั้นคนพูดเองก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือพิมพ์ด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราไปด่าเขาซึ่งๆ หน้า เราก็โดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้ เพราะฉะนั้นต้องยอมรับกันในตรงนี้ทั้งสองฝ่าย"
...
โพสต์อย่างไรไม่ให้โดนข้อหาหมิ่นประมาท? (จากบทความ "ระวังผิดหมิ่นประมาทเพราะเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ต" โดย อ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช)
ปัจจุบันนี้การเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย การเขียนข้อความแบบไหนล่ะ ถึงจะเรียกว่าหมิ่นประมาท
กระทรวงไอซีทีและสารสนเทศเปิดเผยพบการกระทำผิดเกี่ยวกับเว็ปไซด์ทางอินเตอร์เน็ต การแสดงความคิดเห็น การโพสต์คลิปเกี่ยวกับข่าวดารา นักแสดงซึ่งล้สนเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทและมีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อีกด้วย
เท่าไหร่ แค่ไหนเป็นการหมิ่นประมาท
การเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ตที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท นั้นคือการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยการใส่ความผู้อื่นเป็นการหมิ่นประมาทที่มีอยู่หลายทาง อาจจะเขียนข้อความถึงการแสดงพฤติกรรมอันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดอยู่(เช่น การบอกว่าคนตายเสียชีวิตเพราะโกงชาติแบบนี้ลูกหลานสามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้เลย) หรือเขียนข้อความถึงบุคคลที่สามว่ามีประพฤติชั่วในทางประเวณีหรือทุจริตในหน้าที่การงาน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตามก็เข้าข่ายเป็นความผิดหมิ่นประมาททั้งนั้น เช่น "นางสาว ต.เป็นชู้" "นาง ส.โกงเงินบริษัท" "นาย ว.เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกิน" "ยาย น.เป็นข้าราชการที่คอรัปชั่น"
บทลงโทษการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต
การเขียนหรือโพสต์ข้อความหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ตมีโทษแรง เพราะเป็นการหมิ่นประมาททางสาธารณะตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีความผิดฐานเขียนข้อความเผยแพร่ทางเว็บไซด์ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาทอีกด้วย
โพสต์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นผิดเต็มๆ
ผู้ที่ถูกฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท(ผู้ปล่อยข่าว) ตามกฎหมายไทยนั้นไม่ต้องรับโทษหากสิ่งที่เค้าพูดหรือเผยแพร่ได้รับการพิสูจน์ในชั้นศาลว่าเป็นความจริง แต่กฎหมายไม่ให้สิทธิ ในการพิสูจน์เรื่องส่วนตัวและพิสูจน์ความจริงนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นการเขียนข้อความประเภท ใครรีดลูก ใครเป็นชู้กับใคร ถึงแม้จะเป็นความจริง ผู้เขียนข้อความก็ต้องรับโทษตามคดีหมิ่นประมาท เพราะศาลไม่ให้สิทธิในการพิสูจน์ความจริงในเรื่องส่วนตัว
แต่ถ้าเป็นการยักยอกเงิยบริษัท การโกงกินแผ่นดินหรือการหรือทำตัวเป็นเฒ่าหัวงู ลามกกับสาวๆไปทั่ว แบบนี้ศาลให้พิสูจน์เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง ผู้เขียนข้อความไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะถือว่าช่วยเป็นหูเป็นตาให้สังคมได้ตรวจสอบผู้คนที่เป็นพิษภัยต่อสังคม
ในทางกฎหมายไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ประเภทที่ว่าเค้าหมิ่นประมาทคุณผ่านเว็ปไซด์ หรือเว็ปบอร์ดทางอินเตอร์เน็ต คุณก็ตอบโต้เค้าด้วยวิธีเดียวกัน คือเขียนประจานเค้าทางอินเตอร์เน็ตกลับไปบ้าง ไม่ฉลาดเลย ถ้าจะใช้วิธีโจรตอบโต้โจร จะกลายเป็นว่าคุณก็หมิ่นประมาทเค้าเช่นกัน แบบนี้ต้องรับโทษในข้อหาหมิ่นประมาททั้งสองฝ่าย