xs
xsm
sm
md
lg

เฮฮาสัพเพเหระแต่ไม่เรื่อยเปื่อยกับ "เรย์ แมคโดนัลด์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถ้าถามผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 30 ขึ้นไปว่ายุคที่พวกเขาเติบโตมานั้นพวกเขาชื่นชอบหรือมีนักแสดงชายคนไหนเป็นไอดอล? เชื่อเถอะว่าหนึ่งในคำตอบคงจะต้องมีหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษอย่าง "เรย์ แมคโดนัลด์" รวมอยู่ด้วย

"นัดคุย" ถือโอกาสที่นักแสดงหนุ่มกำลังมีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ "บองสรันโอน" สนทนากับเจ้าตัวทั้งในเรื่องของงานภาพยนตร์ ที่มาของฉายาพระเอกเออีซี เรื่องท่องเที่ยว ฟุตบอล และแน่นอนกับเรื่องราวของความรักและครอบครัว

เห็นว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้เห็นคาแรกเตอร์ของ "เรย์ แมคโดนัลด์" แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน?
"หวังว่าจะเป็นอะไรที่แตกต่างนะ ทั้งในแง่ของตัวละครและการแสดง ก็เป็นการแสดงที่ไม่ได้เล่นคล้ายๆ กับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา คือตัว "ดล" จะเป็นคนที่มีปมอะไรบางอย่าง แล้วก็ค่อนข้างจะนิ่งๆ เหมือนๆ กับว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่มันคุกรุ่นอยู่ข้างในตัว ทำให้การแสดงจะเล่นน้อยแต่จะมาจากข้างในเสียส่วนใหญ่อย่างที่คนเขาชอบเรียกกันว่าอินเนอร์ (เน้นเสียงซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร (หัวเราะ)"

"เปลี่ยนขนาดไหน ก็พยายามเต็มที่กับที่ผู้กำกับสั่งมา จริงๆ การเล่นน้อยๆ ช่วงแรกที่เล่นหนังก็มีคนทักนะว่า เอ๊ะ มันมาจากข้างในอะไรหรือเปล่า ซึ่งเราเล่นไปเราก็ไม่ได้เราก็รู้สึกว่ามันจะเป็นแบบไหนหรอก เพียงแต่ก็พยายามจะคิดว่าตัวละครมันจะออกมาเป็นอย่างไร พอมันอออกมาแล้วคนดูรู้สึกได้ เราก็รู้สึกว่าเออ ทำได้ดีแล้ว แต่พอมาช่วงหลังๆ 3 - 4 เรื่องวิธีการเล่นแบบนี้หลังๆ มันก็ไม่สนุกแล้ว"

"แล้วบางทีเราต้องมาเจอกับนักแสดงบางท่านที่แบบอย่างที่เขาเรียกกันว่าทางใหญ่นิดนึง มันก็พาเราไปอีกจุดหนึ่ง อาจจะเล่นดูแล้วเยอะนิดนึง ซึ่งไอ้เยอะของผมมันก็อาจจะไม่เท่าของคนอื่นๆ นะ แต่เราก็รู้สึกสนุกกับทางที่เล่นเยอะนะ บ้าๆ โอเวอร์นิดๆ มันได้ปล่อยเต็มที่ ออกมาหมดทั้งตัว แต่กับเรื่องนี้มันไม่ใช่อย่างที่ผู้กำกับเขาต้องการเราก็ต้องปรับ"

ปรับเยอะมั้ย?
"ท่าทาง การพูดการเดิน บางทีก็รู้สึกเกร็งๆ นะแต่ก็พยายามทำดีที่สุด ก็น่าจะเป็นพาร์ทที่หลายคนไม่คุ้นชิน...บางทีก็เล่นไปหลายๆ ที แบบนี่เล่นแล้วหรือ (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้กำกับไง คนที่เขาอยู่ตรงนั้นเขาอาจจะเห็นว่ามันพอแล้ว คือถ้าเกิดมันพอสำหรับการเล่าเรื่องต่อไปได้ แล้วมันอยู่ในคาแรกเตอร์ความเป็นตัวไอ้ดลอันนั้นก็เป็นหน้าที่เขา หน้าที่เราก็ทำตามที่เขาบรีฟมา"

บอกข้อดีของหนังเรื่องนี้ที่น่าจะทำให้คนจะต้องยอมเสียเงินตีตั๋วเข้าไปดูหน่อย?
"น่าจะเป็นหลายเรื่อง แน่นอนเรื่องของพล็อตเรื่อง หน้าหนังมันอาจจะเป็นหนังผีหรือว่าความสยดสยอง แต่เรื่องนี้น่าจะแตกต่างไม่เหมือนกับหนังสยองขวัญหรือหนังผีที่ฉายๆ กันมา อาจจะเป็นจังหวะการเล่าเรื่องที่แปลกออกไป แล้วก็พล็อตเรื่องที่น่าสนใจบบวกกับความที่เราก็มีนักแสดงจากประเทศเพื่อนบ้านในระดับขั้นเทพมาทั้ง 2 ท่านก็ถือว่าทำให้หนังมีสีสันแล้วก็น่าเข้าไปชมครับ"

สองท่านที่ว่าก็คือ "ซาราย สักขณา" กับ "ดี เสวต" นักแสดงรุ่นเก๋าที่คนไทยรู้จักดีจากหนังเรื่อง "งูเก็งกอง"
"น้องซารายเพิ่งรู้จัก ส่วนคุณดี เสวต ตอนนั้นที่ท่านแบบเขาเรียกว่าพีคผมอาจจะไม่ทันนะ แต่ก็คือได้ยินมาบ้าง ก็ดีใจนะครับได้ร่วมงานกับสุดยอดเขาเรียกว่าดาวค้างฟ้าระดับตำนานของกัมพูชา พอได้ร่วมซีนกับท่านมันรู้ทันทีเลยว่า เออ เนี่ยของจริง เขาเล่นได้ทรงพลัง อย่างฉากในซีนที่เราเจอกัน มันจะมีคนขับรถตุ๊กๆ พาเราไปบ้านของนางเอก เพื่อเราจะไปสืบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

"แล้วคราวนี้พอเราได้เจอท่าน ได้พูดกันผ่านล่ามเนี่ย คือจริงๆ ในซีนนั้นเนี่ยไอ้ตัวล่ามไม่มีก็ได้ นึกออกมั้ย ไม่ต้องแปลก็ได้ เพราะเขาส่งมาดอกขนาดนั้นถึงแม้ผมไม่ได้ทำการบ้านมาเลยนะ ผมไม่รู้เลยว่าเขาพูดอะไรมา แต่สายตาที่เขาส่งมาแล้วก็อารมณ์ทั้งหมดที่สื่อออกมาเนี่ยมันรู้ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แบบว่าเออไอ้ดลเอ็งเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วแหละ (หัวเราะ)"

พระเอกอีเอซีใครเป็นคนตั้ง?
"อ๋อ อันนี้ผมตั้งเอง (หัวเราะ) คือคุยกันเล่นๆ เฮ้ย พระเอกเออีซีนะโว้ย ขำๆ กับแฟน พอดีโปรเจ็กต์ที่มันเข้ามามันก็มีอย่างก่อนหน้าเรื่อง สะบายดีหลวงพระบางตอนไม่มีคำตอบจากปากเซ ก็ได้เล่นกับน้องคำลี่ (คำลี่ พิลาวง) แล้วก็มาเรื่องนี้ก็เป็นประเทศกัมพูชา นั่นแหละ ก็เลยพูดเล่นๆ ขำๆ พระเอกเออีซีนะโว้ย (หัวเราะ)"

"แต่เอาเข้าจริงๆ เลยนะจะซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) หรืออาเซียนโดยรวมผมว่ามันก็สำคัญนะ คือมันเป็นตลาดใหญ่มากๆ โอเคหลายๆ ที่ หลายๆ ค่ายอาจจะคิดฝันไปไกลกว่านั้นก็ดีแล้วถ้าหนังมันเอ็กพอร์ตไปได้ จะเอเชีย อเมริกา เมืองกาญจน์ (หัวเราะ) เอ๊ย คานส์ก็ไปกันเถอะครับ แต่ประเด็นก็คือถ้าทำแล้วมองตลาดใกล้ๆ คือขายกันเองใน 600 ล้านคนเนี่ยมันก็พอแล้วนะ ผมว่าในแถบเออีซีของเราเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก"

อยากรู้จริงๆ ว่าเวลาที่พระเอกเออีซีคนนี้ไปปรากฏตัวที่โน่นเสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง?
"โอ้โฮพี่ ผมไม่อยากโม้ ผมเดินไปนะกริบ...(หัวเราะ) ไม่มีใครรู้จักเลย อย่างเอ่อ ตอนนั้นเล่นไม่มีคำตอบจากปากเซ เปิดตัวที่ปากเซเลย เราก็มั่นใจเลยพระเอกโว้ย อนันดาพาร์ทแรกสบายดีหลวงพระบาง เราพาร์ท 2 (เรียกว่าดีกรีไม่ต่างกันเท่าไหร่) ใช่ มันไม่น่าห่าง แล้วมันมีไอ้พุฒมาด้วย(ลีโอ พุฒ) ตอนนั้นมาถ่ายรายการเป็นเพื่อนซี้กันก็ไปที่โน่นด้วยกัน"

"พอไปถึงโน่น เอ่อ ไม่มีใครรู้จักผมเลย แต่รู้จักไอ้พุฒหมดเลย แต่ไม่เป็นไรพี่ ผมชินแล้ว ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หรือว่าตัวจริงมันอาจจะหล่อเกิน (หัวเราะ)"
ภาพที่หลายคนจำ "เรย์ แมคโดนัลด์" ได้ก็คือผู้บุกเบิกรายการท่องเที่ยวสไตล์แบกเป้ขึ้นหลัง
"ตอนนี้ยังแบคแพคมั้ย ผมไม่อยากรเรียกว่าแบคแพคแล้วนะ ด้วยอายุที่มันไปประมาณนึงน่ะ คืออย่างแต่ก่อนเฮ้ยมันจะต้องขึ้นรถเมล์จริงนะ มันจะต้องแบบเดินทาง ทุกอย่างต้องจริงหมด คือไม่ได้บอกว่าตอนนี้หลอกคนดูนะ คือตอนนั้นเราไม่ได้คิดในแง่โปรดักชันไง ตอนนั้นเราก็แค่พิธีกรรับจ้าง มันก็รีล(real) สุดๆ รายการมันก็ออกมาแบบรีลๆ ลุยๆ แบบจัมป์คัท เออ มันก็ไม่ได้มีการปั้นอะไรสักเท่าไหร่"

"ตอนนี้แบคแพคอาจจะใช้กับผมไม่ได้ ตอนนี้อาจจะเรีบยกว่าแกลมแพคกิ้ง (Glampacking) คือมันก็ยังมีการเที่ยวมีการลุย เป้มาติดกับหลัง แต่บางจุดที่เราไป หรือที่เราๆ พักเราอยู่อาจจะมีราคาสูงขึ้นมาหน่อยตามวัย แต่ถามว่าเรายังลุยเหมือนเดิมไหม เราก็ลุยได้ แต่สมมติว่าว่างตารางไว้เราลุย 4 วัน วันที่ 5 เราขอแบบสามดาวครึ่ง ให้รางวัลตัวเองได้มั้ยล่ะ"

"ผมรู้สึกว่ามันเป็นไปตามวัยนะ คือตอนนี้มันอาจสนุกกับการดูโรงแรมอะไรมากกว่า อย่างแต่ก่อนตอนนั้นเคยทำงานกับพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่ง ตอนนั้นเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว เขาอายุเท่าผมตอนนี้ แต่ตอนนั้นตอนผมอายุ 20 ต้นๆ เราก็เฮ้ยพี่ ต้องรีลดิ พี่ต้องลุย ต้องอย่างนู้นอย่างนี้ต้องลำบาก เขาพูดเลยครับ เขาบอกว่าเดี๋ยววันนึงมึงอายุเท่ากูแล้วมึงจะรู้ แต่เราก็จะเฮ้ยพี่แม่งไม่เข้าใจ พี่แม่งมันตัวปลอมอ่ะ"

"แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับ คือสมมติว่ากลับไปที่เดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม เรา 23 กลับไปตอนนี้อายุ 38 มันเห็นไม่เหมือนกันนะ ตอนนั้น 20 ต้นๆ อาจจะบอกอะไรวะไม่มีอะไรเลย ผับอยู่ไหน (หัวเราะ) แต่ตอนนี้อาจจะไปเดินดูต้นไม้ ความเงียบสงบของสถานที่นั้นๆ หรือวิถีชีวิตอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็เปลี่ยนไปตามวัย ตอนผมอายุ 60 ผมอาจจะเห็นอะไรที่ผมไม่เห็นตอนอายุ 38 ก็ได้"

ไม่แน่ ตอน 60 อาจจะรู้สึกอยากกลับไปตอน 20 ประมาณว่า ผับอยู่ไหน?
"เฮ้ย เด็กๆ อยู่ไหนวะ ก็เป็นไปได้ ใครจะไปรู้ (หัวเราะ)"

ไปมาแล้วทั่วโลกพอจะบอกได้มั้ยว่าอะไรคือเสน่ห์ของประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ เรา
"ผมว่าทุกอย่าง อาหาร ผู้คน ความเชื่อ ศาสนา มันมีอยู่ทุกตรอกซอกซอย เนี่ยถ้ามองไปเห็นตุ๊กๆ วิ่งผ่าน เห็นพระบิณฑบาตนี่ก็เรียกว่าน่าสนใจแล้วนะ คือดูรวมๆ มันจะมีความคล้ายกันอยู่นะ แต่เอาเข้าจริงๆ มันจะมีความแตกต่างอยู่ เหมือนตอนแรกๆ ที่ทำรายการท่องเที่ยว เราก็เคยคิดว่า เอ๊ะ มันต้องแบบที่ไกลๆ นะ เปรู ยุโรป อเมริกา เพราะอะไรที่มันใกล้ๆ บ้านเรา คือเรามองว่ามันมีความคล้ายกันอยู่ เราก็เลยไม่สนใจ มองไม่เห็นเสน่ห์ของมัน แต่สุดท้ายพอเราไปตรงนั้นมาประมาณนึง เราเริ่มเห็นเลยว่าเสน่ห์ในภูมิภาคเอเชีย หรือในเออีซีคือวิถีชีวิตมันชัดเจนมาก"
กับเพื่อนซี้ชาคริต
เดี๋ยวนี้มีรายการท่องเที่ยวเยอะมากมันทำให้เราทำงานยากขึ้นมั้ย
"รายการท่องเที่ยวมันดีอย่างหนึ่งนะ เพราะว่าคนที่ไหนอะไรอย่างไรก็ชอบท่องเที่ยว ชอบไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ถูกมั้ย คราวนี้บ้านเราเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้วตอนทำรายการท่องเที่ยวใหม่ๆ คนที่สามารถเดินทางไปเที่ยวไปต่างแดนคนจะเป็นกลุ่มเล็กๆ ต้องยอมรับเลยว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น จะด้วยโลว์คอสต์หรือว่าการเชี่อมต่ออะไรก็ตามแต่ ทางรถ ทางเรือ ทางเครื่องบิน มันง่ายมากคนก็จะเที่ยวกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรก็แล้วเราจะไม่พยายามมองเป็นโกลบอล(Global) นะ เพราะว่าเราไปสู้อเมริกาหรือว่ายุโรปอะไรไม่ได้"

"แต่เราจะมองว่าทำอย่างไรให้รายการนี้คอนเซ็ปต์มันสามารถรีเจอร์นัลรวมทั้งมันขายในภูมิภาคได้ อย่างเรื่องที่ผมเคยทำกรุงเทพฯ เดินทางรถไฟไปลอนดอนเมื่อประมาณ 7- 8 ปีที่แล้ว เราก็วางไว้ว่ามันจะส่งออกต่อไปได้ซึ่ง มันก็ไปได้นะ แต่ก็ไม่ได้แบบว่าไป 10 - 15 ประเทศอะไร ก็มีญี่ปุ่นที่ซื้อไป หรือเรื่องเกี่ยวกับเทศกาลทั่วโลก ถึงแม้ว่าตอนเราออนแอร์ไปคนดูไม่ได้มากท่าไหร่ เพราะมันออนแอร์วันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่ว่าก็ยังมาขายต่อที่ฮ่องกง มาเก๊า ก็โอเค ก็จะพยายามมองที่มันไม่ได้จบที่ออนแอร์ครั้งเดียว"

หลายคนอิจฉาได้เที่ยวตลอด?
"บางทีมันก็อารมณ์ขี้เกียจเหมือนกันนะ แบบว่าบางทีมันต้องไปอีกแล้วหรือ คือแบบเหนื่อยๆ กับการเดินทางไปแอร์พอร์ต แล้วก็ขึ้นเครื่อง หลังๆ ก็เริ่มกลัวการขึ้นเครื่องเพราะมันมีข่าวบ่อย แต่ว่าพอไปถึงสถานที่ต่างๆ แล้วมันได้เห็นวิถี ได้เห็นผู้คนความเป็นกันเอง ธรรมชาติ เราก็คิดว่าโหโชคดีนะ โชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก คือเราชอบแล้วก็ได้ถ่ายทอดออกมาแล้วมีคนอยากดูอยู่บ้าง"

ตอนนี้มีอะไรที่เรียกว่างานประจำบ้าง?
"ผมไม่นับว่าเป็นงานประจำแล้วกันนะ อย่างอะไรที่มันต้องเดี๋ยวถ่ายเดี๋ยวถ่ายเช่นครัวแล้วแต่คริตทั้งจานด่วนจานหลัก มันก็ทำอยู่กับเพื่อน ก็เหมือนได้เจอเพื่อนแล้วก็ได้เล่นมุกไปเรื่อย เราก็ไม่นับว่าอันนั้นเป็นงาน แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนงานหลักเหมือนกัน ก็มีครัวแล้วแต่คริตแล้วก็รายการ 72 ชั่วโมง เป็นรายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่ว่าช่วงต้นปีนี้รายการนักขัตฤกษ์มันจะมีตั้ง 10 ตอน ก็เหนื่อยหน่อยประกอบกับโปรเจ็กต์ใหม่ที่เราจะขึ้นซึ่งจะมาหลายปีแล้ว ไม่ได้ทำสักที ปีนี้จะทำแล้ว"

เข้าวงการ แจ้งเกิด เติบโตมาพร้อมๆ กับเพื่อนซี้เจ้าของฉายาพระเอกไม้เลื้อย "ชาคริต แย้มนาม" แต่น่าแปลกใจที่ทำไม "เรย์ แมคโดนัลด์" ถึงไม่ค่อยจะมีข่าวกับเขาเลย ทั้งๆ ที่ก็กินดื่มเที่ยวในก๊วนเดียวกัน
"อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยก่อนทุกคนยังไม่มีโทรศัพท์แบบที่มีกล้องไง (หัวเราะ) ไม่ๆ ประเด็นคือคนอาจจะไม่ให้ความสนใจเท่าไหร่นักมั้งครับ"

เทคโนโลยีมันน่าจะเกิดเร็วกว่านี้นะ
"(หัวเราะ) อย่าเลยพี่ มันก็ผ่านช่วงนั้นมาได้แล้ว เราก็ยังอยู่กับเขาเรียกว่าอะไรนะ ก็เพื่อน ครอบครัว ทุกอย่างเป็นกลุ่มเดิมๆ เราก็จะมีกลุ่มของเรา เรื่องข่าวเรื่องผู้หญิงอาจจะเป็นเพราะเวลาผมมีแฟนส่วนมากก็จะคบยาวๆ ก็อยากมีข่าวแบบไม้เลื้อยอะไรอย่างนี้บ้าง (หัวเราะ) แต่ผมไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไหร่"

ในเวบกระทู้ดังๆ เขาตั้งกระทู้เลยนะว่า "เรย์ กับ คริต" ใครหล่อกว่ากัน?
"จริงหรือเปล่าพี่"
แฟนสาว แหม่ม สริญญา
ปรากฏว่าหลายคนชมเรย์หล่อกว่า
"เหรอ ไม่ใช่แล้ว คือในจอนี่ต้องยอมรับเลยว่าพอมายืนคู่กันผมนี่กินขาดเหมือนกัน ชาคริตนี่จะดูไม่ค่อยได้เลยจะไม่ค่อยมีเสน่ห์ (หัวเราะ) แต่ต้องปล่อยเขา เพราะตัวจริงเขาวิธีการพูดเขาจะมีเสน่ห์ ต้องยอมเขา นี่ผมไม่ได้ว่าเพื่อนผมแบบว่าอะไรนะ เขาเป็นคนดีแล้วก็มีภรรยาเรียบร้อยแล้ว (หัวเราะ)"

พูดถึงเรื่องครอบครัวยังไม่คิดจะแต่งงานหรือ?
"แต่งคงยังอ่ะ เพราะอิมแพคยังไม่ว่าง ก็กะไว้ว่าจะเอาหมดชาเลนเจอร์ฮอลล์แหละพี่ หน้าห้องน้ำ 3 ตารางเมตร (หัวเราะ)"

ประมาณว่ายังไม่อยากมีลูก มีครอบครัว?
"มันก็เริ่มมีนะ พออายุ 30 ปลายๆ ก็เริ่มคำนวณแล้วถ้ามีลูกปีนี้กว่าจะจบไฮสคูล กว่าจะจบมหา'ลัย เราจะอายุเท่าไหร่ จะเดินไหวหรือ เล่นกับลูกพาลูกไปเที่ยวไหวมั้ย อีกอย่างหนึ่งแฟนก็อายุ 35 – 36 แล้ว อายุมากไปหรือเปล่า มันก็เริ่มคิด คราวนี้มันก็เริ่มมีความกดดันโดยไม่รู้ตัว เช่นเพื่อนเริ่มมีอยากมีบ้างรวมถึงแรงกดดันทางอ้อมคือคุณย่าคุณยายก็เริ่มถามแล้ว อีกอย่างพอดีพี่สาวผมเขาก็ 40 กว่าแล้วเขาก็ยังไม่มี เพราะเขาค่อนข้างที่จะไม่ชอบเด็กเลย เด็กเล็กนี่ไม่ให้เข้าบ้านเลยนะไม่ว่าจะเป็นลูกใคร"

"อย่างเพื่อนผมมาพร้อมกับลูกเล็กๆ แบบน่ารักเชียว ให้ยืนอยู่หน้าบ้าน ไม่ให้เข้า (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นพี่สาวผมนี่ไม่มีลูกแน่ๆ คราวนี้ความกดดันมันก็มาลูกคนกลางอย่างผมแล้ว ผมก็บอกว่าเดี๋ยวดูก่อนแม่ พยายามโยนขี้ ไม่ใช่โยนขี้สิ โยนความกดดันทั้งหมดไปให้น้องชาย จริงๆ ตอนนี้ผมก็เหมือนแต่งงานแล้วนะ แต่ยังไม่ได้เป็นทางการแค่นั้นเอง ก็อยู่ด้วยกัน ถามว่ามีแพลนอยากมีครอบครัวไหมมันก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว แต่ผมก็ยังอยากเที่ยวอยู่ ก็ไม่แน่อนาคตอาจจะเป็นรายการแบบว่าพาลูกเที่ยวซึ่งก็คงเหนื่อยหน่อย..."

หลายคนคงจะรู้กันดีว่าตอนเด็กๆ "เรย์ แมคโดนัลด์" (รวมถึง "ชาิคริต แย้มนาม") คือหนึ่งในทีมอายุ 11 ปีของยุวชนธำรงไทยสโมสรชุดรองแชมป์โลก ในฟุตบอล GOTOOEA CUP ที่สวีเดน ถามหน่อยทำไมตอนนั้นไม่คิดจะเอาดีทางด้านนี้ไปเลย
"บอกตรงๆ นะ ช่วงนั้นก็อยากเอาดี แต่เสียดายเราเกิดเร็วไปหน่อย อย่างตอนนั้นโอเคมันมีธำรงไทยแต่เสร็จจากธำรงไทยไปไหนต่อล่ะ มันอาจจะมีถ้วยก. ถ้วยข. แต่นักบอลมันไม่ถูกมองว่าเป็นอาชีพไง อย่างสมัยนี้สโมสรมันต้องมีทีมเด็กอยู่ มันอยู่ในกฎกติกาอยู่แล้ว เขาก็ไปผูกกับโรงเรียนต่างๆ มันก็เห็นเลยว่าถ้าฉันอยู่โรงเรียนเข้าโรงเรียนนี้ได้ โอกาสฟุตบอลที่ผูกอยู่กับสโมสร A B C ฉันก็เข้าทีมยุวชนนี้ได้"

"แต่ตอนนั้นมันมองไม่เห็นไง สุดท้ายมันก็เริ่มแบบว่าเกเร ถึงวัยนึงอายุ 12 – 13 เริ่มเกเรแล้วปัญหาทางบ้านอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้ขยันซ้อมก็หลุดจากตรงนั้นออกมา แล้วก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษซึ่งก็ใช้สิทธิ์ของการเป็นนักบอลของยุวชนธำรงไทย เพราะมันเป็นโรงเรียนกีฬา ตอนนั้นเราก็ว่าเราพอเล่นได้ ถึงจะไม่ได้เก่งที่สุด แต่พอไปเจอไอ้ตัวจริงที่มาจากทุกที่ คือใจเราไม่มีด้วยไง พอเราเจอเก่งกว่าเราก็ท้อ แทนที่เราจะสู้เราก็แบบฉันไม่ต้องซ้อมหรอก เออ สุดท้ายมันรู้เลยว่าถ้ามันมีพรสวรรค์ซึ่งไม่ได้บอกว่าผมมีนะ แต่มันก็ต้องมีพรแสวงด้วย"

"แล้วเด็กที่นั่นที่ผมไปเจอตั้งแต่อายุ 12 – 13 นะ เขาเป็นมืออาชีพหมดแล้ว ไม่ต้องไปบอกเขาว่าให้ซ้อม ไม่ต้องบอกเขาว่าซ้อมเสร็จแล้วไงต่อ มันแข่งขันกันสูงเพราะเป้าหมายเขามีไง ถ้าเกิดเขาไปถึงฝันได้คือจะลีกไหนก็แล้วแต่เขายึดเป็นอาชีพได้ ผมก็เคยนะไปซ้อมให้โค้ชดูที่บริสตอลซิตี้ ตกใจเลย โอ้มันแข่งขันกันสูงมาก จริงจังอะไรขนาดนี้ คือพ่อบ้านที่โรงเรียนกินนอนเขาก็พยายามผลักดันผม เอา ตอนนั้นบริสตอลไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันก็ยังมีทีมรองอีก 3 - 4 ทีม แต่ว่าผมโดนไล่ออกก่อน ก็เสียดายที่โอกาสนั้นไม่ได้ แต่สุดท้ายเอาจริงๆ นะผมก็คงไม่ถึงหรอก"

แล้วถ้าด้วยฝีเท้าในยุคนั้นแล้วมาเกิดในยุคนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร
"ถ้าผมเกิดตอนนี้หรือ คือถ้ามีวิธีคิดยังเป็นแบบตอนนั้นอยู่ ไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีพรแสวง ยังเป็นไอ้เรย์ ไอ้น้องเรย์คนนั้นอยู่ ก็อาจจะเล่นอาชีพได้นะ แต่ก็เป็นนักบอลเกเรคนนึงที่เล่นแบบดิวิชั่น 4 อะไรแบบนี้ อย่างเด็กที่อยู่ธำรงไทยแล้วรอดถึงเล่นอาชีพนี่ก็มีแค่คนเดียวมั้ง รู้สึกว่าไปเล่นที่สวีเดน ไม่แน่ใจว่าดิวิชั่นไหน คือ "อาจพล ระดมเล็ก" ซึ่งผมก็ยอมรับเลยว่าเป็นคนเดียวที่เก่งกว่าผมถ้าอายุเท่ากัน (หัวเราะ) ถ้าอาจพลมันถึงตรงนั้น ถ้ามันเล่นดิวิชั่น 3 เราก็น่าจะเล่นลีกฮ่องกงดิวิชั่น 2 ได้หรือเปล่า อะไรแบบนี้"

เคยมีโฆษณาชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า "เร แมคโดนัลด์" พาทีมเด็กไทยจาก 3 จังหวัดภาคใต้ไปแข่งขันที่สวีเดนแล้วได้อันดับที่ 9 จากทีมทั้งหมด 120 ทีม อันนี้เรื่องจริงใช่มั้ย?
"เรื่องจริงครับ ก็เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ผมเคยไปตอนที่ผมอายุประมาณเท่ากับน้องๆ ตอนนั้นผมไป รุ่น 11 แล้ว รุ่น 12 ด้วยเพราะผมไปอยู่ 2 ปี ซึ่งมันทำให้เรารู้เลยว่าการเป็นมืออาชีพได้มันต้องเริ่มตั้งแต่อายุตั้งแต่ 9 ขวบ เพราะมันแข่งขันกันสูงมาก คือผมพาเด็กกลับไปอีกทีนึงเนี่ยมันเห็นเลยว่ามันเป็นอาชีพขนาดไหน อาชีพไม่ได้หมายถึงเด็กมาเรียกร้องตังค์อะไรนะ แต่คือว่าสโมสรที่เขาปั้นเด็กขึ้นมาเนี่ยคือฉันไม่ได้จะมาเลี้ยงคุณตลอดนะ ไม่ได้แบบเข้าแล้วเข้าเลย เพราะมันมีเด็กเก่งๆ ที่รอจ่ออยู่ ถ้าคุณไม่ขยันหรือว่าฝีเท้าคุณตกนี่คุณออกนะ"

ดูเหมือนจะชอบบอลเด็กๆ เป็นพิเศษ
"ผมไม่ชอบดูบอลผู้ใหญ่ผมชอบดูบอลเด็กนะ ผมชอบตามพวกบาร์เชโลนาทีมจูเนียร์ เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ ที่เขาบอกว่าพวกนี้อายุ 14 จะเป็นเมสซีคนต่อไปสุดท้ายบางทีมันจะไม่ค่อยถึงฝันมันจะเป็นเรื่องน่าเศร้านะ คือไม่ใช่เขาไม่เก่งหรืออะไรนะ แต่มันเป็นเรื่องของจังหวะด้วย อย่างทีมใหญ่ๆ มันมีขั้นเทพอยู่กี่คนแล้ว เสร็จปุ๊บนี่ทำยังไงเขาจะถึงทีม A ให้ได้ เขาขึ้นไปถึงทีม A ไม่ได้คราวนี้เนี่ย เอ๊ะ เขาจะถูกส่งไปที่ไหน ซึ่งมันน่าสนใจไง มันมีหลายคนมากราฟมาดีแล้วมันก็ตกลงไป"

"ล่าสุดไอ้น้องคนนึงที่รีล มาดริดซื้อไปอะไรการ์ดๆ นะ มาร์ติน โอเดการ์ด อายุ 15 เอง ตอนนี้ก็ภาวนาว่าจะถึงฝั่งฝัน แล้วก็มีอีกคนเด็กเกาหลีของบาร์เชโลนาที่มาเตะในไทยด้วย ตัวนี้จี๊ดๆ ใช้ได้"

ตอนนี้บอลไทยใครๆ ก็พูดถึง "ชาริล ชัปปุยส์"
"อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับการเอาลูกครึ่งมาเล่นนะ ผมว่าถ้าเขามีเชื้อสายไทย เขาเกิดที่ไหนอะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องให้โอกาสนิดนึง อย่างฟิลิปปินส์เขายังดึงลูกครึ่งมา คือไม่ต้องสนว่าลูกครึ่งไม่ลูกครึ่งหรอก ถ้าเกิดเขามีความสามารถต้องผลักดันต่อไปมันก็ต้องวางแผนกันยาวๆ ผมว่าเป็นไปได้บอลโลก"

ใครๆ เขาก็ฟันธงบ่ายๆ ชาติหน้า
"ผมว่าอีกไม่นานด้วยซ้ำ เอ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ถ้าลีกแข็งแรง ระบบยุวชนมีความเป็นมืออาชีพ ทุกอย่างมันตั้งขึ้นมาเป็นสายพานนู่นนี่นั่น อีกอย่างนึงถ้าเกิดนักเตะที่มีฝีเท้านี่มีโอกาสที่จะได้ไปค้าแข้งในลีกที่แข็งแรงกว่า ไม่ว่าจะเป็นลีกในเอเชียหรือว่าลีกในยุโรปหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมว่าน่าจะปล่อยให้น้องๆ เขาไป"

"ผมว่าสุดท้ายต่อให้เล่นกับทีมสำรองหรือลงเป็นซูเปอร๋สตาร์จริงๆ ยังไงคุณก็ได้ประสบการณ์กลับมาสอนรุ่นน้องๆ ต่อไปได้"
กำลังโหลดความคิดเห็น