“เต้ย พงศกร” งานเข้า ผู้จัดการส่วนตัวแฉ ดังแล้วเชิด เจอหน้าทำเฉยเหมือนคนไม่เคยสนิทกัน แถมไม่จ่ายเงินค่าหักเปอร์เซ็นต์ เผยเซ็นสัญญาตั้งแต่ปี 53 ได้เงินมาแค่ 2 หมื่น จวกเด็กสมัยนี้ไม่มีจิตสำนึกบุญคุณ วอนพ่อและเต้ยมาเคลียร์ ให้มาคุยกันดีๆ เหมือนวันที่เซ็นสัญญา
กำลังดังเลยทีเดียวสำหรับ “เต้ย พงศกร เมตตาริกานนท์” พระเอกละครบางระจัน ช่อง 3 ในจอกำลังดังนอกจองานก็กำลังงานเข้า เมื่อ “สุวิชชา แสนอวน” นักปั้นที่เคยมีผลงานปั้น อานัส ฬาพาณิช , ออย สิริมา , แอนนี่ บรู้ค ฯลฯ ออกมาให้สัมภาษณ์แบบหมดเปลือกว่า เป็นผู้ชักนำเต้ยเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่ ม.6 ดูแลกันจนกระทั่งประกวดดิไอดอลโปรเจ็กท์กระทั่งได้เล่นละคร ตกลงหักเปอร์เซ็นต์ไว้งานละ 10 เปอร์เซ็นต์ วันนี้ผ่านไป 4 ปีได้เงินมาแค่ 2 หมื่นบาท แถมพอเจอหน้าพระเอกคนดังก็ทำเฉยเหมือนคนไม่เคยสนิทกัน ไม่แม้แต่จะโทรหา แม้แต่จะเอ่ยถึงว่าใครเป็นผู้ชักนำเข้าวงการก็ไม่เคย จวกคนเราต้องมีจิตสำนึกรู้จักบุญคุณกันบ้าง
“เจอกับเต้ยตอนปี 53 ตอนนั้นเต้ยมาประกวดโดมอนภาคอีสานเขาเรียนอยู่ชั้นม.6 ก็คุยกับคุณพ่อว่าจะเอาน้องมาทำงานด้วย พอน้องเข้าปี 1 ก็มาเรียนที่ม.กรุงเทพ ก็เอาน้องมาฝึกพาไปถ่ายรูปโปร์ไฟร์และแคสติ้งงาน เห็นเขาครั้งแรกนี่คือใช่เลย เต้ยเขาได้หมดเลยและเขาก็ชอบวงการบันเทิงด้วย เขาชอบร้องเพลงชอบเต้น ตอนแรกผมจะเอาเขาลงเดอะสตาร์เพราะเสียงเขาใช้ได้เลย แต่พอปี 54 มันมีประกวดดิไอดอลโปรเจ็กท์ก่อนก็เลยพาน้องไปประกวด ปีนั้นผมก็ส่งไป 3-4 คน ก็มีเต้ยเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายไปและเข้าไปรอบชิง”
“ตอนนั้นเต้ยก็เซ็นต์สัญญากับเราแล้ว และในสัญญาก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจน ถ้าเต้ยไปเซ็นต์สัญญากับบริษัทอื่นในระหว่างที่อยู่ในสัญญากับเรา หากงานนั้นยังไม่แล้วเสร็จก็ให้ถือว่าเป็นงานที่ต่อเนื่องกันแม้ว่าจะหมดสัญญาไปแล้ว ซึ่งพอประกวดเสร็จเต้ยก็ต้องเซ็นสัญญากับบริษัทไว้ลาย ซึ่งกฏของการประกวดตอนนั้นคือเด็กจะต้องไม่มีสังกัดต้องไม่มีโมเดลลิ่ง หากมีสังกัดหรือโมเดลลิ่งจะผิดกติกา ซึ่งเราก็มีการตกลงกันนอกรอบกับทางคุณพ่อของเต้ยว่าผมจะไม่ออกตัวนะจะได้ไม่มีปัญหา และงานของเต้ยจะต้องถูกหัก 10 เปอร์เซ็นต์ตามที่เราได้เซ็นสัญญากันไว้”
“เขาเซ็นสัญญากับบ.ไว้ลาย 5 ปี พอเสร็จสัญญาเสร็จเขาก็ซีร็อกมาให้ผมเก็บไว้ 1 ชุด ก็ไม่ได้มีปัญหาว่าจะมายกเลิกสัญญา ซึ่งสัญญาของเรามันต่อเนื่องกับบ.ไว้ลาย เพราะเขาเซ็นสัญญากับบ.ไว้ลายขณะที่มาทำงานกับเรา เขาก็ต้องจ่ายให้เรา 10 เปอร์เซ็นต์จนกว่าจะหมดสัญากับไว้ลาย”
“พอเซ็นกับบ.ไว้ลายเขาก็มีไปถ่ายละครพันท้ายนรสิงห์ ภาพยนตร์ 1 เรื่อง และละคร 1 เรื่อง และก็มีไปออกงานอีเว้นต์ต่างๆ ผมก็ไม่ได้ไปตามอะไรเขาเพราะจะตามมากก็ไม่ได้มันผิดกฏ เพราะเขาไม่ให้มีโมเดลลิ่งทางบ.ไว้ลายเขาต้องดูแลตัวศิลปินเอง เราก็ออกตัวไม่ได้จะตามไปดูแลก็ทำอะไรไม่ได้ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่จริงๆ แล้วคนวงในรู้แต่คนรอบนอกจะไม่รู้ เพราะเราออกตัวไม่ได้”
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ได้เงินจากการหักเปอร์เซ็นต์ไปแค่ 2 หมื่นบาท
“แต่ตั้งแต่เซ็นสัญญาผมเคยได้เงินจากคุณพ่อเต้ย 2 หมื่นบาท คือตอนประกวดดิไอดอลโปรเจ็กท์มา 1 หมื่น และตอนที่เต้ยเล่นละครอีก 1 หมื่นบาท นอกจากนั้นไม่เคยได้จากงานไหนอีกเลย พูดตรงๆ นะครับว่าผมไม่เคยติดตามทวงถามเขาเรื่องเงินเลย เพราะการที่เราคุยกันว่า 10 เปอร์เซ็นต์ทุกงานมันแฟร์มันจบแล้ว ถ้าเขามีปัญหาเรื่องนี้เขาก็ต้องมาขอยกเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่เขาได้ดิไอดอลโปรเจ็กท์แล้วสิ แต่นี่เขาไม่ได้มาบอกยกเลิกสัญญากับเรา ก็ยังมาคุยมาปรึกษาขอคำแนะนำตามปกติแต่ไม่เคยคุยเรื่องเงินเรื่องอะไรกัน”
“เขาก็ไม่เคยที่จะเอ่ยปากว่าวิชมีเงินใช้ไหมอะไรไหม ผมก็ไม่เคยพูดว่าพ่อเงินได้เมื่อไหร่ และผมก็ไม่เคยไปจี้ว่าน้องมีงานอะไรไปไหนบ้าง ได้เงินเท่าไหร่ ไม่เคยไปถาม ไม่เคยไปทวงจากน้อง แต่เราก็รู้ว่าเขามีงานละครออกมาแบบนี้มันก็ต้องมีงานหลากหลายเข้ามา ตอนที่เล่นบักจ่อยเขาก็มีงานอีเว้นต์เข้ามาเยอะ คือถ้าเขาอยากจะให้เราเขาก็มีเบอร์เรา มีเบอร์บัญชีเรา เขาก็ต้องโอนมาสิ แต่เขาก็ไม่เคยโอน”
“ผมก็ไม่ได้ไปทวงถามเพราะผมมีความรู้สึกว่าไม่ได้อยากไปเกาะน้องกิน ไม่อยากไปสูบ เราไม่ได้ไปดูแลน้องเลยเพราะมันติดเรื่องเงื่อนไขของบ.ไว้ลาย แต่ถ้าพูดกันในเรื่องสัญญาพูดเรื่องการทำธุรกิจมันก็ต้องให้”
ดังแล้วหาย เจอหน้าก็ทำเหมือนคนไม่เคยสนิทกัน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่พ่อกับแม่เต้ยมาฝากให้ดูแลเหมือนลูก
“หลังจากที่เขาเล่นละครผมเจอเขาครั้งเดียวตอนงานของดาราเดลี่ ผมพาน้องๆ ไปอวยพรวันเกิดดาราเดลี่ เขาก็ไปเจอผมที่นั่น เขาก็ไม่ได้คุยอะไรกับผม เขาก็ยกมือไหว้และก็ถ่ายรูปและก็ไปเลย เขาก็ทักหวัดดีครับธรรมดา แล้วก็แบบไปแล้วครับๆ แล้วก็ขึ้นรถไปเลย เขาทำเหมือนดาราคนอื่นๆ ที่เจอแล้วก็ทักทายสวัสดีกันเหมือนไม่มีความผูกพันธ์กัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็สนิทกัน กินเที่ยวด้วยกันไปไหนก็ไปด้วยกันสนิทกัน อยู่กรุงเทพเวลาไปไหนมาไหนผมก็พาไปด้วย ไปแคสงานก็ไปกับผม เราพูดอีสานกันเลยครับ กับโตโน่ ภาคิณ ก็พูดอีสานกันครับ เขาปรึกษาผมทุกอย่างไลน์กันยังเป็นภาษาอีสานเลย”
“ผมขอเบอร์น้องกับพ่อ เขาก็ให้เบอร์คนดูแลคนดูแลอีกคนหนึ่งกลับมา ซึ่งเราก็มีความรู้สึกว่า เต้ยอยู่กับเราเขาก็เป็นน้องไปไหนมาไหนกินด้วยกันกับเรา อยู่ด้วยกันตลอด เที่ยวด้วยกันตลอด อันนี้คือก่อนที่จะเล่นละครนะ แต่ทำไมตอนนี้ขอเบอร์ไม่ได้ ขนาดเราเป็นผู้จัดการดูแลน้องยังอยู่ตามสัญญาเขาก็ยังไม่ให้เบอร์เรา เราเลยรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเรานะ เลยเราไม่ได้อะไรอย่างน้อยก็อยากโทรหาน้องบ้างเป็นไงบ้าง เหนื่อยบบ้างไหม”
“ผมไม่เข้าใจตรงที่ว่า โทรหาพ่อแล้วขอเบอร์น้องไม่ได้เลยมีความรู้สึกว่า แค่พ่อให้เบอร์น้องมา ให้ไลน์น้องมาก็จบแล้ว มันไม่จำเป็นต้องให้เบอร์คนที่ดูแล เหมือนกันๆ ไม่ให้เราเจอลูกคุณ อันนี้คือประเด็นนึงนะครับ ผมก็บอกพ่อไปว่า ไม่เป็นไรครับถ้าน้องไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร เขาก็ไลน์มาว่า เอ้า..เป็นอะไรล่ะ เขาคงเริ่มจะรู้สึกว่าแล้วล่ะว่าเราเริ่มจะไม่แฮบปี้ที่เขาไม่ให้เบอร์ลูกเขา”
“เรื่องที่พ่อไม่ให้เบอร์ พ่อไม่ให้น้องคุยกับเรา ไม่ให้ทักเรา มันก็ทำให้เรามีความรู้สึกนอยด์ เราอยากรู้ว่าทำไมเพราะอะไร ทำไมน้องถึงไม่โทรหาเรา บอกให้โทรหาเราน้องไม่โทรหาเราเป็นอะไร เพราะอะไร อยากจะรู้ ไม่ใช่ว่าพอคุณดังแล้วคุณไม่รู้จักฉันมันไม่ใช่น่ะ คนที่มันดังก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังแล้วเจอกันก็ยังเหมือนเดิม อย่างโตโน่ดังแล้วก็ยังเหมือนเดิม เจอผมก็ยังคิดฮอดอ้าย ก็ยังเหมือนเดิม ถึงจะไม่ค่อยเจอกันในไลน์ก็ยังเจอกัน ก็เป็นความผูกพันธ์กันแต่กับเต้ยนี่ไม่มีเลย เราก็อยากถามสารทุกข์สุขดิบบ้าง น้องเป็นไงบ้าง ทำงานเหนื่อยไหม ถ่ายละครเป็นไง ก็อยากจะถามน้อง ตั้งใจทำงานนะอย่าให้งานเขาเสียนะ เพราะแต่ละอย่างที่เราสอนน้องก็คือสอนให้เขาทำงานในวงการบันเทิงในทางที่ดี เราก็สอนให้มีสัมมาคาราวะในการทำงานอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เราก็แปลกใจมันไม่มีฟีดแบคกลับมาหาเรา”
“ผมไม่ได้คุยกับน้องแบบตรงๆ เป็นการส่วนตัวมา 2-3 ปีแล้วครับ ก็ไม่รู้ครับว่าทำไม ขนาดโตโน่เรายังนัดทานข้าวกัน ยังเจอกันบ้าง นานๆ นัดกันบ้างกับน้อง แอนนี่ บรู้ค มาเจอผมเขาก็คุยกันปกติทักทายกันปกติ ไม่เห็นใครจะต้องมาอะไรเลย ใครมีอะไรมีปัญหาก็โทรมาหาผมทุกอย่าง ตั้งแต่ผมไลน์ขอเบอร์กับพ่อแล้วไม่ให้ผมก็รู้สึกว่าเขาคงไม่ค่อยไว้ใจเราแล้ว สมัยก่อนเขามาหาลูกเขานี่นะ มีอะไรฝากลูกด้วยนะ ถือว่าเป็นลูกคนหนึ่ง เขามาหาผมทั้งครอบครัวมานั่งเซ็นสัญญาไม่เห็นจะมีปัญหาเรื่องอะไร พอมีชื่อเสียงมีผลงานแล้วก็...ก็เป็นเรื่องปกติของทุกคนนะครับ พอเริ่มมีผลงานเริ่มมีคนรู้จักแล้วก็จะยากหน่อย”
“ไม่ใช่ว่าไม่เอาแล้วกับเต้ย แต่ผมไม่รู้สาเหตุ ผมก็อยากจะเจอน้องเหมือนกัน อย่างปีใหม่ผมก็ไลน์อวยพรทุกคนนะครับ พ่อแม่ของเด็กทุกคนผมก็ส่งไปอวยพร คือผมมีความรู้สึกว่า พ่อของน้องก็น่าจะบอกน้องหน่อยว่าอวยพรพี่วิชยัง อย่างน้อยก็ต้องนึกถึงเราบ้าง วันเกิดน้องเราก็แต่งรูปจะส่งไทม์ไลน์ให้น้อง หาไลน์น้องไม่เจอก็โทรหาพ่อ พ่อบอกเต้ยเปลี่ยนเบอร์แต่ถ้ายังใช้เครื่องเดิมไลน์ก็ต้องเจอ แต่นี่หาไม่เจอพอถามพ่อเขาก็ให้เบอร์คนดูแลมา”
“ตัวพ่อเองก็เปลี่ยนเบอร์แต่เขายังใช้เครื่องเดิมก็เลยไลน์หาได้ พอไลน์ไปบอกให้โทรกลับพ่อเขาก็โทรกลับมานะ เรากาถามว่าน้องเป็นไงบ้าง เขาบอกน้องงานเยอะแต่เขาก็ไม่ได้พูดเรื่องตังค์นะ ไม่ได้แบบเดี๋ยวพ่อจัดการให้นะ คือการคุยกัน 10 เปอร์เซ็นต์มันรับรู้กันทั้งสองฝ่าย ถ้าเขาไม่แฮบปี้กันตั้งแต่ต้น เขาก็ต้องมายกเลิกสัญญากับผมตั้งแต่ต้นก่อนจะไปเซ็นสัญญากับที่อื่น หลายคนที่มาอยู่กับผม ผมพาไปเล่นหนังพอซักพักหนังตัวเองจะออกลูกตัวเองจะดังแน่นอนก็มาเคลียร์กับเรา และก็ขอยกเลิกสัญญาได้ไหม ขอกันตรงๆ ก็มี ซื้อสัญญากันไปเลยก็มี ผมไม่ได้ปั้นเด็กมาเพื่อให้มาซื้อสัญญาเพราะโมเดลลิ่งทุกที่ก็อยากมีเด็กดังๆ อยู่ในสังกัด แต่ผู้ปกครองเด็กบางคนเห็นว่าลูกเขาต้องดังแน่ๆ ก็จะมาตัดไฟแต่ต้นลมเลยมาขอซื้อสัญญาเลย”
“วันนี้ที่ผมออกมาพูดเพราะคิดว่า อย่างน้อยเขาน่าจะหันกลับมานึกถึงต้นน้ำที่เขาเคยเจอ ใครที่เขาเคยพาเขาเข้ามา ผมอ่านในบทสัมภาษณ์เขาไม่เคยพูดถึงพี่วิชเลย เขาจะตอบว่าแม่ อ่านแล้วก็ธรรมดาเพราะเราคุยกันนอกรอบแล้วว่า เราจะไม่ออกตัวเพราะเรากลัวน้องโดนฟ้องถ้ารู้ว่าน้องเป็นเด็กเรา เราแฟร์กับความรู้สึกของน้องมากกว่ากลัวว่าเขาจะโดนฟ้องก็เลยไม่ออกตัวอะไรมาก แต่คนวงในจะรู้กันอยู่แล้วว่าเต้ยคือเด็กเรา ผมไม่ได้อยากจะมาเรียกร้องอะไรมากมาย ผมอยากเห็นเขาเป็นเด็กดีที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ต้นดีแล้วปลายไม่ดี ดีเหมือนตอนที่ก้าวเข้ามาใหม่ๆ อยากให้เป็นแบบนั้น”
“เรื่องแบบนี้ผมโดนเยอะมาก ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนผมจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ สมัยก่อนไม่ได้ต้องเคลียร์ตรงๆ คุยให้จบก่อนถ้าจะไปก็ไปแต่ต้องคุยให้จบ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเอาความสบายใจ มาทำงานกับผมแล้วถ้าไม่สบายใจให้มาพูดตรงๆ อย่าไปโดยที่ไม่บอก มีอะไรให้บอกเราให้อิสระในการทำงานทุกคน เด็กสามารถทำงานกับคนอื่นได้ถึงแม้จะมีสัญญากับเรา คือถ้างานไม่ชนกับงานของเราไม่เป็นไร แต่ถ้างานชนกันแล้วทางนั้นให้เงินเยอะกว่าก็ให้ไปรับทางนั้น”
“ผมแฟร์กับเด็กมากจนตอนหลังๆ เขาไปรับงานกันเอง ทั้งๆ ที่เราพาไปรู้จักคนโน้นคนนี้ พาไปออกงาน พอเขารู้จักเขากันก็ไปดิลงานเอง คือผมอยากให้เด็กคิดว่า ถ้าไม่มีพี่เขาก็ไม่มีใครรู้จักเรานะ พี่เขาพาไปเดินแบบ ไปถ่ายโน่นถ่ายนี่ พาไปประกวดที่โน่นที่นี่ เด็กไม่มีใครคิดแบบนี้เลยครับ เด็กทุกวันนี้ไม่จิตสำนึกในการระลึกบุญคุณใครมีแต่นึกถึงผลประโยชน์ซะมากกว่า”
หวังให้ “เต้ย” และพ่อมาเคลียร์ มาพูดคุยกันเหมือนวันที่เซ็นสัญญา
“ผมหวังอยากจะเจอเขา อยากจะได้คุยกับพ่อกับแม่กับน้องเหมือนวันที่เรามาเซ็นสัญญากัน อยากให้มาคุยกัน อยากให้น้องเป็นเด็กที่ ปีใหม่สวัสดีครับ วันเกิดสวัสดีครับ ไปโน่นไปนี่สวัสดีครับเหมือนเดิม อยากได้เต้ยอารมณ์นั้นคืนมา อยากได้เต้ยแบบ..เป็นไงครับพี่วิชกินข้าวหรือยัง ผมทำงานเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เคยลืมวันเกิดน้อง ไม่เคยลืมวันเกิดผู้ใหญ่นะครับ ยังไงก็ต้องกริ๊งกร๊าง”
“ถ้าถามเรื่องตังค์ พูดกันตรงๆ ตังค์ก็อยากจะได้ เพราะจริงๆ ผมมีสิทธิ์ที่จะได้ตังค์ 10 เปอร์เซ็นต์ที่คุยกันผมมีสิทธิ์ที่จะได้ เรื่องผลประโยชน์ตรงนั้นผมก็อยากจะได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากได้ ผมไม่ได้รวยดีเด่อะไร ผมยังทำงานมีหนี้มีสินอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าพ่อหรือน้องเห็นสมควรว่าจะได้แค่นี้ก็ไม่ได้ซีเรียส ก็โอเคฉันไม่ได้ไปดูแลคุณมากมาย หรือไม่ได้ไปเทกแคร์คุณเหมือนจับเสือมือเปล่า ถ้าคุณคิดแค่นั้นมันก็แล้วแต่คุณ แต่อย่าลืมว่าที่เราไม่ได้เข้าไปดูแลตรงนั้นเป็นเพราะข้อตกลงที่เราคุยกันไว้ก่อน ข้อตกลงที่คุณคุยกับบริษัทอื่นมันมีข้อตกลงแบบนี้ ฉันไม่สามารถไปออกตัวหรือทำอะไรได้ แต่ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็รับงานให้น้องไม่ดีกว่าเหรอ แต่นี่เราให้เกียรติคู่กรณีที่คุณไปเซ็นสัญญา การทำงานมันก็คือการลงทุนน่ะ กว่าจะได้เงินก็ต้องพาคุณไปทำงานไปโน่นมานี่ เป็นเรื่องที่เขาต้องลงทุน”
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย พูดตรงๆ ผมว่าผมอยากให้น้องที่เกิดจากผมดังบ้างไม่ดังบ้าง มันต้องพูดให้เครดิตบ้างว่ามาจากพี่วิทย์ ฝึกฝนการเรียนรู้การแสดงก็มาเรียนกับผม เรียนกับผมไม่เคยเสียเงินซักสลึงแดงเดียวผมสอนให้ทุกอย่าง สอนแอ็คติ้งให้ เด็กบางคนตั้งใจเรียนก็มีงาน เด็กบางคนไม่ตั้งใจเรียนเลยเพราะคิดว่าไม่ได้เสียตังค์ คนแบบนั้นผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะคุณไม่มีความกระตือรือร้นอยากจะทำ นี่ขนาดไม่ได้ทำงานจริงๆ นะ”
“ถ้ามาเคลียร์ถามว่าจะจบตรงไหน ก็อยู่ที่ ณ เวลานั้นว่าจะเอาแบบไหนอยู่ที่น้องกับพ่อ ผมไม่ฟ้องหรอกครับ เพราะที่ผ่านมาก็เกิดกรณีแบบนี้แต่ผมไม่ใช่คนที่จะไปฟ้องใคร ผมปล่อยเวลาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ผมไม่เคยไปเรียกร้องอะไร ถ้าคนไหนมาเคลียร์กับผมก็เคลียร์ แต่ก็มีบางคนที่ไปแบบนิ่งเงียบ นิ่งเงียบก็นิ่งเงียบ แต่อย่าให้รู้ว่าไปพูดอะไรถึงเราในทางที่ไม่ดีนะไม่งั้นจะโดน ไม่ใช่ไปพูดลับหลังผม เด็กที่ไม่อยู่กับผมมีอยู่ 2 อย่างคือ เด็กไม่ทำงาน กับ เด็กไม่จ่ายเงินเราไม่ให้เราหักเปอร์เซ็นต์ นิ่งตีเนียนหายไป”