“ยุ้ย รจนา” ประกาศเป็นคนใหม่แล้ว เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกยุ่งเกี่ยวยาเสพติด เป็นคนดีของสังคม แต่ต้องทานยาตลอดชีวิต รับปรับความเข้าใจ “มาดามเกด” ให้อีกฝ่ายเป็นคนดูแลเหมือนเดิม วอนขอโอกาสคืนวงการอีกครั้ง ด้านมาดามเกดระบุยุ้ยไม่กินยาตามหมอสั่ง จนเกิดพฤติกรรมก้าวร้าว แอบมั่วสุมคนขับรถซาเล้ง จนต้องจับตัวส่งโรงพยาบาลรอบที่ 4 เพื่อบำบัดอาการ ยันไม่ทิ้งอีกฝ่าย ไม่ได้หวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ ลั่นยุ้ยไร้ประโยชน์แถมเป็นภาระมากกว่า
ก่อนหน้านี้อดีตผู้จัดการส่วนตัวและลูกศิษย์ของ “ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา” อดีตนางแบบระดับโลกได้ออกมาแฉแฟนคลับสาวใหญ่รายหนึ่งว่ารับช่วงดูแลยุ้ย ก่อนหลอกเอาเงินแล้วพายุ้ยไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล ซึ่งแฟนคลับสาวใหญ่คนดังกล่าวมีฐานะร่ำรวย เป็นมาดามเจ้าของบริษัท
ล่าสุด “มาดามเกด พิมพ์ลดา ยอดไชยเกียรติ” ซึ่งถูกพาดพิงก็ได้ออกมาเปิดใจเคลียร์พร้อมยุ้ย ในรายการ EFM ON TV ณ ตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่เพลส โดยยืนยันไม่เคยหลอกเงินยุ้ย และไม่ได้พาอีกฝ่ายไปทิ้งที่โรงพยาบาล แต่ต้องจับตัวส่งโรงพยาบาลเพราะยุ้ยมีอาการก้าวร้าว เผยไม่รู้เจตนาต้นสังกัดเก่าอยากจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ยุ้ยร่วมล้าน ด้านยุ้ยประกาศเป็นคนดีแล้ว เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกยาเสพติด ขอกลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง
“ตอนนี้ก็สบายดีค่ะ คุณหมอบอกให้ทานยาตลอดชีวิตค่ะ อย่าละทิ้งยา และอย่าดื่มพวกแอลกอฮอล์และน้ำอัดลมค่ะ เพราะเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ครั้งที่ 4 แล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าร่างกายแข็งแรงดีค่ะ เราก็ใช้ชีวิตปกติธรรมดา แต่พอเข้าไปอยู่โรงพยาบาลครั้งล่าสุดก็เกือบ 2 เดือน ออกมาก็ต้องปรับนิดนึงค่ะ สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ ได้ปรับความเข้าใจกับคุณมาดามเกด”
“สาเหตุที่เข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุด ก็เพราะยุ้ยไม่ได้ทานยาค่ะ ตอนนั้นก็มีกลับไปดื่มแอลกอฮอลล์บ้างค่ะ สูบบุหรี่บ้าง แต่พอคุณหมอห้ามเราก็ต้องทำให้ได้ค่ะ เพราะเบื่อแล้ว ไม่อยากไปนอนโรงพยาบาลแล้ว เข็ดแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันถึงเวลา คือไม่ว่าจะเป็นใครทางโรงพยาบาลเขาก็ไม่อยากกักผู้ป่วยไว้หรอกค่ะ ถึงเวลาเขาก็อยากจะให้กลับ แต่เราก็ต้องดูแลตัวเอง ยุ้ยก็ขอสัญญานะคะว่าจากนี้ยุ้ยจะเป็นคนใหม่ เพราะที่ผ่านมามันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ออกจากโรงพยาบาลมาก็ยังไม่ได้ดื่มเลยค่ะ”
“คือด้วยความที่เราเคยชิน อิสระเต็มที่ เมื่อก่อนอยากซื้อมาดื่มก็ดื่ม บุหรี่อยากสูบก็ซื้อมาสูบ พอเราขาดพวกนี้ไปก็รู้สึกว่าร่างกายมันต่อต้านกัน แต่ตอนนี้เราโอเคแล้ว เหมือนคนปกติทั่วไป ทำงานได้เหมือนคนปกติ แต่เราต้องไม่ทิ้งยา 3 เวลาหลังอาหารเหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาล เข้านอน ตื่นนอน ก็เป็นเวลา ไม่กลัวว่าตัวเองจะอดไม่ได้นะคะ เฉยๆ คือบางทีก็มีรู้สึกว่าอยากนะ แต่เราก็ไม่เอาดีกว่า เราต้องเข้มแข็งค่ะ ก็อยากจะขอโอกาสและคิดว่าแฟนๆ ก็น่าจะให้โอกาสยุ้ยนะคะ เพราะเราเริ่มทำสิ่งที่ดี เราไม่ได้ทำสิ่งไม่ดี ถ้าสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนทุกคนก็คงไม่ให้โอกาสเรา”
หวั่นแฟนๆ ไม่ให้โอกาสอีก ยันเป็นคนใหม่แล้ว
“แต่ถามว่ากลัวไหมว่าแฟนๆ จะไม่ให้โอกาส กลัวค่ะ แต่พี่ๆ สื่อมวลชนให้โอกาสยุ้ยตลอดเลย คอยทำข่าวให้ แต่ต่อไปนี้ รจนา เพชรกันหา เป็นคนใหม่แล้วค่ะ ไร้สาร ไร้ยาเสพติด จะไม่มีคนเก่าอีกแล้วค่ะ คนที่เดินเร่ร่อนข้างถนน สูบบุหรี่จะไม่มีแล้วค่ะ ยุ้ยก็อยากจะขอโทษนะคะ และขอสัญญาว่าต่อไปนี้จะเป็นคนดี ทำงาน และตอนนี้ยุ้ยก็ทำธุรกิจหมวกกับคุณมาดามเกดค่ะ มาดามเกดเป็นคนออกทุนให้ ชื่อแบรนด์ รจนา เพชรกัณหา เลยค่ะ”
“ยอมรับว่าท้อมาตลอดชีวิตนะคะ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเป็นคนเก็บเรื่องส่วนตัวไว้เยอะ เป็นคนสันโดษมาก ทำตามใจตัวเอง จริงๆ แล้วเราก็เป็นคนที่ไม่ค่อยออกสังคม ไม่ค่อยออกสื่อเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ยุ้ยจะทำแต่สิ่งดีๆ และตอนนี้แม่ก็ไม่ค่อยสบาย ยุ้ยก็อยากจะทำงานและเอาเงินมารักษาแม่ค่ะ”
เผยมีปัญหามาดามเกดเพราะอีกฝ่ายไม่เคยอยู่กับคนเป็นโรคเหมือนตน แต่ตอนนี้ต่างคนต่างปรับตัวแล้ว
“ตอนนี้ยุ้ยก็มาอยู่กับคุณมาดามเกดค่ะ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของยุ้ย และทำธุรกิจร่วมกันค่ะ แต่บ้านของตัวเองยังไม่มีค่ะ คุณมาดามเกดก็ให้ความเมตตาและคอยช่วยเหลือมาตลอด ทุกอย่างที่ผ่านมาเข้าใจผิดกัน เพราะมันเกี่ยวกับโรคที่ยุ้ยรักษามานาน รักษามา 10 ปีแล้ว คือมาดามเกดเขาไม่เคยเห็นยุ้ยเป็นโรคนี้ ไม่เคยอยู่กับคนเป็นโรคนี้ และยุ้ยก็ไม่เคยอยู่กับครอบครัวที่มีแม่ลูกพร้อมกันของครอบครัวนี้ค่ะ มันก็เลยระเบิดขึ้นมา คือไม่ได้ดั่งใจยุ้ย พอช่วงที่อยู่โรงพยาบาลยุ้ยก็เลยมานั่งทบทวนว่าเราทำตัวยังไง คือเราอาจจะไม่เข้าใจกัน แต่ตอนนี้คุณมาดามเขาก็รู้แล้ว เพราะได้คุยกับคุณหมอเรื่องโรคของยุ้ยแล้ว”
“ก็ปรับตัวกันไม่ยากค่ะ เพราะเข้าใจแล้ว คือมาดามเขาเป็นห่วงยุ้ย เขาก็จะตามตลอดไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งโรคนี้มันก็มีอิทธิพลกับยุ้ย เพราะยุ้ยรักษามา 10 ปีแล้ว ที่ผ่านมามันก็เรื้อรังที่หมักหมมไว้นาน กินยาก็ไม่หายสักที พอออกมาก็ไปดื่มและไปสูบบุหรี่อีกก็ไม่หายสักที ตอนนี้ยุ้ยก็เลยมีกฎเหล็กของตัวเองแล้ว เพราะทำให้เราเสียเพื่อนที่ดี เสียคนที่ดีไป เสียงาน และเสียเงิน ซึ่งมันไม่ดีเลยค่ะ”
เคลียร์ข่าวมาดามเกดหลอกเงิน ยันเงินไม่หายสักบาท ตนแค่ย้ายบัญชีเปลี่ยนธนาคารเท่านั้น
“ส่วนข่าวที่ว่าคุณมาดามเกดเอาเงินยุ้ยไป 3 หมื่นบาท ก็คือยุ้ยฝากไว้กับธนาคารกสิกรไทย ก็มีคนที่รู้บัญชีของยุ้ย แล้วคอยเช็ก ยุ้ยก็เลยกดเงินออกมาทั้งหมดและย้ายบัญชีเปลี่ยนธนาคารเลย และวันที่ยุ้ยเข้าโรงพยาบาล ยุ้ยก็พกเงินก้อนนี้ไปด้วย ทั้งพี่ชายและมาดามก็มาส่ง ยุ้ยก็เลยฝากตังค์ไว้กับพี่ชายยุ้ยทั้งหมด ทั้งเอทีเอ็ม ทั้งเงินสดฝากไว้หมดเลย อยู่กับพี่ชายไม่ได้หายสักบาทค่ะ ทั้งหมด 35,000 บาท ก็ครบหมดค่ะ แต่กับทางคนที่ดูแลคนเก่ายังไม่ได้เจอเลยค่ะ ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้เจอค่ะ ยุ้ยก็ทราบนะว่าเขาพยายามติดต่อมา แต่ยุ้ยก็ไม่อยากเป็นอคติกับใคร แต่ใครทำอะไรทุกคนก็รู้เองว่าเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่สมควร”
บอกหมอสั่งห้ามใช้มือถือเพราะรบกวนสมอง พร้อมลุยธุรกิจหมวก ส่วนงานอื่นๆ มาดามเกดเป็นคนสกรีนให้ทั้งหมด
“หลังจากนี้ ถ้ามีงานอะไรก็ติดต่อกับคุณมาดามเกดโดยตรงเลยค่ะ เพราะยุ้ยจะไม่ใช้มือถือ เพราะคุณหมอสั่งไว้ว่ามันจะไปรบกวนสมอง แล้วก็มีธุรกิจหมวกด้วย ก็ฝากด้วยนะคะ อันนี้ก็ได้คุณมาดามเกดลงทุนให้ค่ะ แต่เป็นโลโก้ของยุ้ยเอง ถ้ามีงานอีเวนต์ให้ไปเดินแบบยุ้ยก็ยินดีค่ะ ตอนนี้มาดามเกดเป็นคนสกรีนงานให้ยุ้ยทั้งหมด ให้ดูว่าอันไหนเราสมควรหรือไม่สมควรทำ เพราะเราต้องคุยกันทุกเรื่องอยู่แล้ว ก็อยากให้ผู้จัดงานทุกคนมั่นใจนะคะ เพราะตอนนี้ยุ้ยสามารถเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุดค่ะ ก็ขอเข้าข้างตัวเองหน่อยนะคะ (หัวเราะ) เพราะเรามั่นใจในตัวเองแล้ว ทุกครั้งที่พูดเรามีสติ เราไม่ได้พึ่งสารเสพติด บุหรี่หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เราเสียสุขภาพ”
วอนของาน เผยแม่ป่วยหนัก อยากนำเงินไปช่วยเหลือแม่
“ยุ้ยก็อยากจะฝากธุรกิจหมวกนะคะ และฝากถึงแฟนๆ รวมถึงออแกไนซ์ หรือเจ้าของสินค้าต่างๆ นะคะ มีอะไรให้ยุ้ยรับใช้ก็เชิญได้เลยนะคะ ติดต่อคุณมาดามเกตนะคะ ช่วงนี้ถ้ามีงานได้ก็ดีค่ะ เพราะว่าตอนนี้คุณแม่ป่วยหนัก ไม่ค่อยสบายก็อยากจะช่วยเหลือคุณแม่ หรือถ้าพร้อมก็จะรับคุณแม่มาอยู่ด้วยค่ะ แล้วก็อยากจะบอกขอบคุณคุณมาดามเกดมากที่เมตตายุ้ยมาตลอด และความที่มาดามเกดก็เป็นผู้ใหญ่ ยุ้ยก็น่าจะอ่อนนิดหนึ่ง แต่ด้วยความที่ยุ้ยก็เป็นคนดื้อเหมือนกัน และในที่สุดก็เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าโรคที่ยุ้ยเป็นอยู่มันแรง มันเหวี่ยงแบบนี้ ต่อไปนี้มีอะไรก็จะได้คุยกันมากขึ้น ได้อธิบายกันมากขึ้น ได้มาอยู่กับครอบครัวนี้ก็อบอุ่นค่ะ”
ด้าน “มาดามเกด” ยันส่งตัวยุ้ยเข้า รพ. เพื่อบำบัดไม่ได้เอาไปทิ้ง เผยหมอย้ำห้ามเครียด
“ที่ให้โอกาสเขาอีกครั้งเพราะเขาไม่มีญาติค่ะ และเราก็ดูแลเขามาตั้งแต่ต้น ส่งเขาเข้าโรงพยาบาลเพื่อบำบัด ไม่ได้ส่งเขาเพื่อเอาไปทิ้ง คนป่วยก็ต้องไปโรงพยาบาล พอรักษาหายก็ต้องรับกลับมาที่บ้าน ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของยุ้ยว่าเขาเลือกที่จะอยู่กับใคร แต่ ณ ชีวิตเขาตอนนี้คนรอบข้างไม่มี แม่ก็บวชชีและกำลังป่วยหนัก อายุ 80 กว่าแล้ว พี่ชายก็มีหน้าที่การงานของตัวเอง ซึ่งไม่สามารถดูแลยุ้ยที่เป็นโรคที่เขาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายได้”
“การที่เขามาอยู่กับเราก็อยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาล เราก็ได้คุยกับหมอ ได้รู้ว่าต้องทำยังไง เพราะคนที่ดูแลผู้ป่วยโรคนี้ต้องทำการบ้านเยอะเหมือนกัน ว่าอาการเขาแบบนี้ต้องส่งที่ไหนก่อน วันดีคืนดีก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ยุ้ยจะพีคขึ้นมาอีก ซึ่งแผนการดูแลต่อจากนี้ล่าสุดที่ได้คุยกับคุณหมอวันที่ไปรับตัวยุ้ย ณ ตอนนี้ก็ให้ทานยา 3 เวลาหลังอาหาร ยุ้ยต้องนอนเร็ว ตื่นเร็ว ต้องออกกำลังกาย ห้ามเครียด ห้ามใช้โทรศัพท์ และห้ามอยู่ในสังคมที่ไม่สละสลวย คือยุ้ยต้องเป็นคนไม่คิดมาก ถ้ายุ้ยคิดมากแล้วระบายออกไม่ได้ยุ้ยจะเป็นคนเก็บกด เซื่องซึม และโรคนั้นจะกลับมา”
“ตอนนี้คุณหมอก็ให้ยุ้ยไปเช็กทุกเดือน ก็ถ้าอยู่ในสังคมที่ดีและมีเราคอยดูแลเรื่องกินยาอยู่ข้างๆ คิดว่ายุ้ยไม่น่าจะต้องกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกแล้วค่ะ แต่หลังจากออกมาก็ไม่มีอาการแล้วค่ะ คือก่อนหน้าที่ยุ้ยจะกลับเข้าไปโรงพยาบาลครั้งที่ 4 ยุ้ยก้าวร้าวกับเรามาก เขาดื้อ ตาขวาง รั้น พูดไม่รู้เรื่อง พูดเยอะ พูดมาก แล้วก็ใช้เงินเยอะ ไม่อยู่บ้านเลย คือเขาตื่นก่อนเรา แล้วเขาก็หายตัวไป แล้วก็ชอบไปฝังตัวอยู่ที่ร้านค้า แอบซื้อบุหรี่บ้าง ซื้อน้ำอัดลมบ้าง ซื้อเบียร์บ้าง แอบไปมั่วสุมกับคนระดับล่างๆ อย่างพวกซาเล้งอะไรแบบนั้น ซึ่งเราก็ตามไม่ไหว วันนึงเราก็เรียกเขามาคุย เขาก็เลยพีคระเบิดออกมา พอเราเอาเขาไม่อยู่ก็เลยต้องเอาพี่ชายเขามารับรู้อาการและปรึกษากัน พี่ชายเขาก็เลยบอกว่าอาการแบบนี้ยุ้ยกำลังขาดยา ต้องส่งโรงพยาบาล ก็เลยมีครั้งที่ 4 เกิดขึ้นค่ะ”
บอกตอนนี้ยุ้ยควบคุมอารมณ์ได้เหมือนเดิม ตั้งแต่ออกจาก รพ. ยังไม่มีอาการผิดเพี้ยน
“ตอนนี้ถ้ายุ้ยได้ทานยาเหมือนเดิมก็จะควบคุมอารมณ์ได้ เพราะยุ้ยออกจากโรงพยาบาลวันที่ 8 ส.ค. จนวันนี้เขาก็ยังไม่มีอะไรผิดเพี้ยน และวันที่ 8 เดือนหน้าหมอก็นัดไปฉีดยาเพิ่ม ไปตรวจเช็กว่าออกมาใช้ชีวิตแล้วเป็นยังไง และในอนาคตยุ้ยอาจจะต้องเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับโรงพยาบาลนี้ เหมือนเป็นคนนำร่องการรักษาโรคนี้ ฉะนั้น หมอก็เลยจะดูแลยุ้ยเป็นเคสพิเศษ ก็จะมีคุณหมอและนักสังคมสงเคราะห์มาที่บริษัท เพื่อมาดูความเป็นอยู่ของยุ้ยว่าดีขึ้นเป็นสเตปไหม เพราะว่าต่อไปยุ้ยอาจจะต้องมีงานให้กับโรงพยาบาล และถ้ามีงานในวงการบันเทิง ถ้าเป็นละครที่ต้องท่องบทยาวๆ ยุ้ยอาจจะจำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดินแบบยุ้ยสามารถทำได้ดีค่ะ”
ปัดหวังผลประโยชน์จากยุ้ย ยันที่ผ่านมายุ้ยไร้ประโยชน์ แถมอยู่แล้วเป็นภาระของตนเสียด้วยซ้ำ
“ตอนนี้ยุ้ยเขาก็จะมีแฟนเพจของเขาชื่อ ยุ้ย รจนา เพชรกันหา เซิร์ซเข้าไปง่ายๆ ก็จะมีแบบหมวกที่อัปเดตทุกอาทิตย์ เรื่องธุรกิจตรงนี้เราลงทุนให้เขาก็จริง แต่ว่าเวลาลูกค้าสั่งจะโอนเข้าบัญชียุ้ยเท่านั้น ยุ้ยก็จะเอามาให้เราเฉพาะต้นทุนเท่านั้น ฉะนั้น ข่าวที่ออกมาว่าเราหวังผลประโยชน์จากยุ้ย เราไม่รู้เลยว่าหวังแล้วได้อะไร และไม่เคยหวังด้วย เพราะยุ้ยไร้ประโยชน์กับเรามาก อยู่แล้วเป็นภาระด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ชื่อเสียงเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เราดูแลแล้ว หมาตัวหนึ่งอยู่ข้างถนนโดนรถเหยียบ เรายังจอดรถเพื่อจะดูอาการหมา แต่นี่เป็นคน และเขาก็เคยสร้างชื่อเสียง อีกเรื่องก็คือเรามองยุ้ยเป็นไอดอลตั้งแต่สมัยเราอยู่บ้านนอกเหมือนกัน เราคนใต้ ยุ้ยคนอีสาน เราก็ชอบผู้หญิงคนนี้ว่าเขาไม่สวยแต่เขาไปถึงดวงดวง แต่ ณ วันหนึ่งที่เราได้มีโอกาสดูแลเขาเราก็จะทำให้ดีที่สุด ก็ดูแลได้ดีเท่านี้แหละ”
“แต่ที่ว่าเขาถูกทิ้งที่โรงพยาบาล ก็จะขอบอกว่าถ้าถูกทิ้งก็คือทิ้งเลย ไม่ต้องไปติดต่อรับกลับมา แต่ครั้งนี้ยุ้ยเข้าโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนจนถึงวันที่ 8 สิงหาคม ระยะเวลาเดือนกว่ายุ้ยจะเจอหน้าเราทุกอาทิตย์ที่โรงพยาบาล และถ้าเราไม่ได้เข้าไปเยี่ยม ก็จะคุยกับหัวหน้าพยาบาลตลอดว่ายุ้ยเป็นยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นคำว่าถูกทิ้งก็ไม่เคยเอามาพูดกัน เพราะเราไม่ได้ทิ้ง ถ้าทิ้งจริงวันนี้ยุ้ยก็ไม่ได้มายืน ณ ตรงนี้กับเราหรอก แต่เราก็ยังมีความเมตตายุ้ยอยู่ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์หรือธุรกิจนะคะ เพราะหมวกที่เราลงทุนให้ก็ไม่ได้เยอะมาก ครั้งละ 1-2 หมื่นบาท ก็ให้ติดยี่ห้อเขา ให้เขาใส่เราก็ถ่ายรูปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ไอจี เขาก็มีแฟนเพจของเขา”
เผยเตรียมเปิดโรงเรียนสอนเดินแบบให้ยุ้ย บอกยุ้ยชวดงานต่างประเทศเพราะต้องเข้า รพ. เสียก่อน
“ซึ่งยุ้ยก็ยังมีแฟนคลับที่ชอบเขาตั้งแต่สมัยเขาดังๆ ก็มาช่วยอุดหนุนบ้าง เงินส่วนนี้ยุ้ยก็จะได้เก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเขา บางทีเขาก็จะได้ส่งให้แม่เป็นค่ายาบ้าง คือการเป็นผู้จัดการให้เขามันก็ไม่จีรังนะ แต่เราก็เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของยุ้ยคนหนึ่ง หมวกมันก็ไม่จีรังเหมือนกัน เพราะรายได้ก็ไม่ใช่เยอะมาก แพลนที่วางไว้ก็คือจะดูยุ้ยเขาไปสักพักหนึ่งในเรื่องโรคของเขา ถ้าเขาดีขึ้นเราก็ตั้งจะเปิดโรงเรียนสอนเดินแบบให้เขา เพราะเขาถนัดทางนี้ และด้วยศักยภาพของเขา และชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมา ก็คิดว่ายังมีคนที่ตอบรับยุ้ยได้ดีอยู่ เพราะยังมีคนถามมาเยอะว่าเมื่อไหร่ยุ้ยจะเปิดโรงเรียน แต่ตอนนี้มันยังขาดช่วงในการรักษา ก็เลยอยากให้นิ่งก่อนค่ะ”
“แต่ตอนนี้งานเดินแบบยังไม่มีติดต่อเข้ามา เพราะอย่างที่ข่าวออกมาตลอดว่าอยู่ข้างนอกแป๊บนึงก็เข้าโรงพยาบาลอีก บางทีเจ้าของงานเขาก็สับสนว่าตกลงยุ้ยดีขึ้นไหม แต่ก่อนที่เขาจะไปโรงพยาบาลครั้งที่ 4 ก็ได้มีงานต่างประเทศเข้ามา แต่เราก็ต้องยกเลิกทั้งหมดก็น่าเสียดาย เพราะยุ้ยไม่ไหวจริงๆ ตอนนั้น”
เผยมีคนติดต่อยุ้ยอ้างเป็นคนจากต้นสังกัดเก่าอยากออกค่ารักษาพยาบาลให้ร่วมล้าน แต่ตนไม่แน่ใจว่าเป็นคนแอบอ้างหรือไม่
“ส่วนเรื่องของบริษัท สตอร์ม ต้องขอบอกว่าเรามีไลน์ มีเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อเขาได้ ซึ่งก็จะมีผู้ชายคนหนึ่งที่ลักษณะเหมือนเป็นลูกครึ่ง พูดไทยไม่ค่อยชัด เขาก็ได้ติดต่อมาทางเราเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูตอังกฤษอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวแทนจากคุณซาร่า บริษัท สตอร์ม ที่ลอนดอน เขาก็พยายามถามข้อมูลยุ้ยทั้งหมด แต่พอเรานัดเจอเขาก็ไม่มา”
“พอวันที่ยุ้ยเข้าโรงพยาบาลครั้งที่ 4 เขาก็ได้ข่าวจากสื่อต่างๆ เขาก็ติดต่อไปที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากจะรู้ถึงศักยภาพของคนๆ นั้น อยากรู้เอกสารทุกอย่างที่จะมาดูแลยุ้ย ก็ขอให้เขามาพบที่โรงพยาบาลแล้วจะเสนอผอ. ให้ เพราะเคสยุ้ยไม่ใช่คนธรรมดา เพราะยุ้ยค่อนข้างจะดัง ถ้ามีอะไรโรงพยาบาลจะเสียไปด้วยถ้าปล่อยคนไข้ออกไปกับผู้ดูแลที่ไม่มีตัวตน พอนัดเขาก็ไม่มา ฉะนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่มาจากสตอร์มมีจริงไหมหรือว่าเป็นการแอบอ้างจากใคร แต่ชื่อ เบอร์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแอดเรามา เขามีตัวตน แต่เขามาจากสตอร์มจริงไหมเราไม่รู้”
“เมื่อตอนเดือนเมษายนเขาเคยส่งเจ้าหน้าที่หลายคนมาที่บ้านเรา มาทานข้าวเย็นด้วยกัน มาหายุ้ย มาเยี่ยมยุ้ยหลายๆ ครั้ง แล้วก็บอกว่าจะพาไป แต่เอกสารไม่มีว่าจะพาไปไหน เอกสารที่บอกว่าสตอร์มจ่ายให้กับสถานที่บำบัดแห่งนั้นก็ไม่มี ยุ้ยก็ไม่ได้ไปเพราะว่าเป็นดุลยพินิจของเขาเอง เพราะคนที่อยู่ในสถานบำบัดก็เหมือนอยู่ในคุก ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ทุกอย่าง แต่ยุ้ยก็ไม่ไป ยุ้ยอยากใช้ชีวิตข้างนอก แต่ตอนนั้นข่าวออกมาว่าเรากักตัวยุ้ยไว้เพื่อหวังด้านธุรกิจ แต่มันไม่ใช่ วันเวลาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเรากับยุ้ยแยกกันโดยสิ้นเชิง เพียงแต่เราเป็นผู้ปกครองเขา เพราะเรามีสมาธิ มีสติ มีหลักแหล่ง มีธุรกิจที่สามารถดูแลเขาได้”
“พอวันหนึ่งสตอร์มก็บอกว่าถ้ายุ้ยไม่ไปเดี๋ยวจะเสนอทางเจ้าของที่ลอนดอนขอเงินให้ยุ้ยก้อนหนึ่ง และเราก็เป็นคนพูดออกไปเองว่าถ้าขอเงินให้ยุ้ยก้อนหนึ่งก็น่าจะดีนะ เพราะเราจะได้มาสร้างธุรกิจให้ยุ้ย ยุ้ยจะได้มีโอกาส มีเงิน มีงาน เพื่อจะได้ดูแลชีวิตในโอกาสต่อไป ไม่ต้องมีคนมาดูแลตลอด 24 ชั่วโมงแบบนี้ แต่ข่าวบอกว่าเราไปต่อรองกับเขาเพื่อจะเอาเงิน แต่มันไม่ใช่โดยสิ้นเชิง และตั้งแต่บัดนั้น จนบัดนี้ เรานัดกับเขาวันที่ 23 พ.ค.ที่เรานัดเจอผู้ชายคนนี้ เขาบอกเขาจะมาจากเชียงใหม่ แล้วจะกลับไปที่ลอนดอน เราก็นัดที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า นัดเวลาเรียบร้อย อยากให้เขาได้เจอยุ้ย เพื่อที่จะให้เขาได้ไปนำเสนอให้กับคุณซาร่า แต่เขาก็ไม่มา”
“จะให้ทำยังไงในเมื่อเขาไร้ตัวตน แต่เรามีตัวตน และขณะเดียวกันยุ้ยก็มีคำถามเขาไปว่า ยุ้ยเคยทำงานกับบริษัทสตอร์มเมื่อ 18 ปีมาแล้ว และยุ้ยก็ไม่ได้เจอคุณซาร่ามา 10 กว่าปีแล้ว เหตุอะไรบริษัทซาร่าถึงจะมาซัปพอร์ตยุ้ยเป็นเงินเกือบล้านบาท ก็ไม่มีใครตอบได้ ซึ่งเราก็มีคำถามเหมือนกัน ยุ้ยก็ถามเหมือนกัน ในขณะที่ยุ้ยป่วยยุ้ยก็ยังคิดเป็นว่าสตอร์มมาช่วยหนูทำไม เราก็บอกว่าไม่รู้จะไปถามใคร ช่วยแล้วได้อะไร ช่วยแล้วเอากลับไปลอนดอนไหม เราก็ไม่ว่านะถ้ายุ้ยยังมีโอกาสและมีเส้นทางของเขา เขาไปได้ดีเราก็ยอมให้ไป แต่ ณ ช่วงนี้เขาป่วย เขาต้องดูแลตัวเองก่อน”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาสตอร์มไม่เคยช่วยค่ารักษาพยาบาลยุ้ยเลย ทุกวันนี้ยุ้ยก็มีสิทธิพิเศษของเขาในการบำบัดรักษา ที่เราไปในแต่ละครั้งก็มีแค่อาหาร ขนมที่ยุ้ยชอบไปเยี่ยมเขา และโรงพยาบาลเขาก็จะมีสหกรณ์ของเขา ยุ้ยเขาก็ต้องซื้อจับจ่ายใช้สอย เราไปก็ฝากเงินไว้ให้ แล้วก็จ่ายค่ายา 1-2 พันบาท เพราะเขาดูแลยุ้ยเป็นเคสต์พิเศษ ค่ารักษาพยาบาลเราเป็นคนดูแลทั้งหมด เพราะจำนวนไม่ได้สูงแค่หลักพัน วันที่ 8 เดือนหน้าทางโรงพยาบาลก็แจ้งว่าจะมีค่ายาประมาณพันกว่าบาทนะ ซึ่งเราก็มองว่าเดือนละครั้ง สองเดือนครั้งเราสามารถจ่ายได้ ช่วยยุ้ยได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งบริษัทสตอร์ม”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |