สำหรับคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้น เชื่อว่าหลายคงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับรายการทีวีช่อง 7 ที่มีชื่อว่า "กระจกหกด้าน"
เช่นเดียวกับหลายคนที่เติบโตมาในยุคเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟกำลังเป็นที่นิยมหลายคนก็คงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับนักร้องหญิงตัวเล็กๆ แต่เท่ห์โคตรๆ ที่ชื่อ "อรอรีย์" เจ้าของเพลง "แล้วเธอ"
แต่เชื่อว่าคงจะมีน้อยคนทีเดียวที่รู้ว่าทั้งสองสิ่งที่ว่านี้มีอะไรที่เชื่อมโยงกันอยู่
แม้จะไม่ใช่นักร้องที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่หากพูดถึงศิลปินในยุคที่กระแสเพลงอัลเทอร์เนทีฟในบ้านเรากำลังผลิบาน (ราวๆ พ.ศ.2536 - 2537 เป็นต้นมา) ชื่อของ "อรอรีย์ จุฬารัตน์" กับเพลง "แล้วเธอ" ของเธอถือได้ว่าโดดเด่นและมีอิทธิพลไม่น้อย
ไม่น้อยถึงขนาดที่หลายคนต่างยกให้เธอเป็นราชินี+เจ้าแม่เพลงกรันจ์หนึ่งเดียวกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 ออกมานักร้องหญิงคนนี้ก็ตัดสินใจหันหลังให้กลับวงการเพลงไปพักใหญ่ ก่อนที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวว่าเธอกลับมาทำงานเพลงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ก่อนที่จะไปรับรู้เรื่องราวในปัจจุบัน "นัดคุย" ขอย้อนกลับไปในอดีตเพื่อทำความรู้จักกับตัวตนของผู้หญิงให้มากขึ้น
"เด็กๆ ก็มีชีวิตเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่ว่าจะเป็นคนชอบคิดชอบอ่านก็เลยชอบอยู่คนเดียว ชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลสมัยที่คุณแม่จัดรายการวิทยุแล้วก็พี่สาวด้วย แล้วพี่ชายก็เป็นคนชอบเพลงร็อกสมัยก่อน เราก็เลยโตมาด้วยเสียงเพลงแบบนั้น ก็ชอบ ก็ค้นหามันไปเรื่อยๆ วงนี้ชื่ออะไร เป็นยังไง คือน่าจะก่อน 10 ขวบด้วยซ้ำที่เป็นอย่างนี้ เพราะ 10 ขวบเราเริ่มหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นแล้ว"
ทายาทคนสุดท้องของ "สุชาดี มณีวงศ์" แห่ง บริษัท ทริลเลี่ยนส์ และ ทรีไลอ้อนส์ จำกัด ผู้ผลิตรวมถึงเป็นผู้ให้เสียงพากย์รายการ "กระจกหกด้าน" ที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีบอกเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่บ่มเพาะให้เธอหลงใหลในเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ
"จริงๆ ตอนเด็กๆ ก็เล่นเหมือนเด็กปกติทั่วไปนะ แต่พอเราได้ยินเสียงเพลงก็เหมือนว่าเราโดนมันครอบงำ ก็เริ่มฟังเทป เริ่มฟังวิทยุ ตอนนั้นฟังวิฑูร วทัญญู เพราะเขาเปิดเพลงร็อก ก็ฟังเยอะอยู่เหมือนกัน"
ตอนเด็กๆ คุณอรเรียนที่ไหน?
"เรียนประถมอยู่ที่โรงเรียนอัมพรไพรศาล พอมัธยมต้นไปต่อที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์ ที่คุณแม่กับคุณป้าเคยอยู่ แล้วพอจบม.3 ตรงนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกัน เพราะคุณแม่จะให้ย้ายจากโรงเรียนมาอยู่โรงเรียนที่พี่ชายอยู่ ไม่ขอเอ่ยชื่อแล้วกัน คือพี่ชายอยู่โรงเรียนนั้นมาตั้งแต่เด็ก คุณแม่ก็อยากให้ย้ายไปที่นั่น จะได้รับส่งที่เดียว เราก็โอเค"
"ก็สอบได้แล้วนะแต่ขั้นตอนสุดท้ายคือต้องจับฉลากแล้วเราจับฉลากไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกไม่พอใจมาก ก็ถามที่บ้านทำไมต้องให้เราสอบ ทำไมไม่จับฉลากเลย จะสอบไปทำไม แต่ก็เข้าใจนะว่ามันคงเป็นพิธีการของเขา อย่างที่บอกพอเรารู้สึกไม่ดีเราก็เลยบอกคุณแม่ว่าเราไม่อยากเรียนที่นี่แล้ว รู้สึกว่าทำไมมันยุ่งยากเหลือเกิน ทำไมคนต้องติดอยู่กับโรงเรียน บ้านเราอยู่บางกะปิแล้วต้องไปเรียนเขมะ ฝั่งธน ต้องตื่นตี 4 ทุกวัน"
"ซึ่งโอเคตอนนั้นรถไม่ติดมาก แต่ทำไมต้องเป็นแบบนี้ล่ะ ก็เลยบอกคุณแม่ขอไปเรียนเมืองนอก ก็ไม่ได้คิดเลยว่าคุณแม่จะให้ไปนะ เขาบอกว่ากล้าขอเขาก็กล้าให้ไป ก็เลยไปเรียนที่อังกฤษ ไปเรียนไฮสคูล เสร็จแล้วก็เข้าคอลเลจ(College)อยู่นั่นเกือบ 10 ปี เรียนซาวด์เอ็นจิเนียร์"
มีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่เด็กเลยว่าจะเรียนเกี่ยวกับดนตรี?
"ตอนเด็กฝันว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากคิดค้นอะไรเรื่อยเปื่อย แต่พอมาฟังดนตรีแล้วอยากเป็นนักดนตรี ไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นนักกีต้าร์ เพราะตอนนั้นชอบเพลงร็อกเลยอยากเป็นมือกีต้าร์มาก อยากเรียนกีต้าร์มาก ขอพี่ให้เขาสอนให้แต่เขาก็ไม่ได้สอนเพราะเรายังเด็ก เขาก็ก็โยนหนังสือมาให้ หนังสือสมัยก่อนมันมีคอร์ดเพลงอยู่ เราก็เรียนจากตรงนั้น เรียนเอง ดูว่ามืออยู่ตรงไหน นิ้ววางอย่างไร"
"พอไปเรียนที่อังกฤษมันเหมือนว่ามีอิสระทุกอย่าง โดยเฉพาะพวกวิชาที่เขาไม่ได้บังคับก็เลยเลือกดนตรีเยอะมาก เลือกกีต้าร์ เลือกกลอง เลือกฟลุต เปียโน ตอนนั้นสนุกมาก..."
สนุกจนไม่คิดอยากกลับประเทศไทยแต่ก็ต้องกลับเพราะคุณแม่อยากให้กลับมาดูแลธุรกิจครอบครัว และนั่นเองที่ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับนักร้อง-นักดนตรีหญิงที่ชื่อ "อรอรีย์"
"แต่พอกลับมาก็ยังไม่ได้ทำงานนะ จะบอกว่าครอบครัวก็น่ารักมากไม่ได้บังคับว่าต้องมาทำอะไร ตอนนั้นก็ยังเที่ยวยังอะไรอยู่ จนไปเจอสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) เพราะคุณแม่สุกี้เขาก็ทำธุรกิจเหมือนกันก็รู้จักกัน แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณสุกี้เขากลับมาจากอเมริกา เขาก็ยังไม่ได้มีค่ายมีอะไร รู้สึกจะทำทีเคโออยู่ ก็ไปเจอกันเหมือนเป็นมินิคอนเสิร์ตอยู่ที่โรงแรมสยามซิตี้ คุยกันถูกคอ เขาก็เลยเหมือนจะสร้างค่ายขึ้นมา ก็อยากให้เรามาเล่นมาอยู่ด้วยกัน มันก็โอเค นั่นก็เป็นจุดเริ่ม"
"ก็เลยให้สุกี้ฟังเพลงเพื่อน คือตอนที่เราอยู่ที่นั่นเราก็ทำเดโมไปเรื่อยเปื่อย เป็นคนที่ชอบเขียนเพลง ครูก็ชอบสอน แต่เขาก็มีหลักสูตรของเขาซึ่งเราไม่ค่อยอยากเรียน เพราะเราอยากเรียนร็อก อยากเรียนที่มันกีต้าร์ แต่เขาจะสอนคลาสสิก ครูก็บอกว่าโอเค แต่เธอต้องเรียนภาคบังคับก่อน สักประมาณ 15 นาทีก่อนเวลาจบแล้วครูเขาก็จะปล่อย เขาจะให้รู้เบสิกเพราะเบสิกมันสำคัญ ครูคนนี้น่ารักมาก ก็ฝึกตรงนั้น แล้วก็รู้สึกว่าชอบเขียนเพลง ไม่ชอบก๊อปปี้เพลงของคนอื่นให้เหมือน อยากเขียนเอง มันเป็นมาตั้งแต่ตรงนั้น มันก็เริ่มสะสม ก็มีสองเพลงที่เขียนที่มาอยู่ในชุดแรก คือเพลงเพื่อน กับคุณผู้หญิง ซึ่งเขียนที่นั่น"
ตอนนั้นทำไมถึงไม่ออกเป็นอัลบั้มเต็มเลย?
"เขาอยากจะรู้ก็ได้ว่ามันเวิร์คขนาดไหนมั้ง แต่เราน่ะคิดว่าถึงออกอีพีหรือออกเต็มตรงนั้น ผลลัพธ์มันก็คงเหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่ายังนั้นนะ แต่เขาออกมาก่อน เพราะอรยังทำอัลบั้มเต็มไม่เสร็จอาจจะเป็นตรงนั้นด้วยก็ได้ คือเขาคงอยากให้คนรู้แล้วว่ามันมีตรงนี้นะ เพราะมันห่างกันไม่มากระหว่างอีพีกับอัลบั้มเต็ม ซึ่งในด้านของดนตรีอรว่าเราโชคดีมาก เพราะเป็นจุดใหม่ของเมืองไทย เราโชคดีที่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบด้วย ต่อให้เราทำไม่ดี ตอนนั้นเราก็โอเค เพราะว่ามันไม่มีวงแบบนี้อะไรมาก่อน"
"คือเพลงแนวนี้เราชอบอยู่แล้ว และในด้านของเบเกอรี่เราก็โชคดีเหมือนว่าเรามาเจอคอเดียวกัน ทั้งด้านดนตรีเเละด้านส่วนตัว ก็เข้ากันได้ มันเหมือนครอบครัวดนตรี มันก็เหมือนการเล่นปิงปอง คือเรามีแรงบันดาลใจ ตีไป อีกฝ่ายตีกลับมา มันสนุก ได้อิสระ ต้องขอบคุณ เพราะตัวเราชัดเจนพอสมควร เขาก็เลยให้อิสระเรา ไม่อยากทะเลาะกัน อยากทำอะไรเขาก็ให้เราทำ แต่ส่วนในเรื่องของธุรกิจเขาก็ทำไป"
คุณอรมีศิลปินไทยที่เป็นแรงบันดาลใจบ้างมั้ย?
"เพลงไทยก็ฟังเหมือนกันค่ะ แต่ตอนเด็กๆ ยอมรับว่าไม่ได้ฟัง เพราะชอบสกอร์เปียนส์ ชอบอะไรไป คืออรชอบซาวด์ ไม่ใช่แค่ชอบเมโลดี อรถึงเรียนตรงนี้ แล้วสมัยก่อนดนตรีไทยมันอาจจะแบนมาก เราฟังแล้วมันไม่ชอบ แล้วก็กลองใช้กลองไม่จริงอะไรแบบนี้ แต่เราชอบวงฝรั่งเพราะเวลาอัดมันมีมิติ มันมีความลึก แล้วอรจะชอบร็อก ซึ่งตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีแบบร็อกที่อรคิดว่ามันเป็นร็อก ก็เลยยังไม่ได้ฟังตอนนั้น ซึ่งอาจจะดีก็ได้เพราะมันไม่ได้มีอิทธิพลตรงนั้น แต่กลับมาเมืองไทยแล้วก็ฟังนะ อย่าง โมเดิร์นด็อก"
ชุดแรก "Natural high" กับชุดที่ 2 "Peel" ดูเหมือนจะห่างกันพอสมควร?
"ชุดแรกรู้สึกจะปี 38 หรือเปล่าไม่แน่ใจ ชุดที่ 2 อีก 4 ปีหลังจากนั้น ที่ห่างกันพอสมควรเป็นเพราะอรไม่ได้เป็นนักดนตรีมืออาชีพ อรคิดว่านั่นคือเหตุผล คืออรไม่สามรถแต่งเพลงได้ถ้าต้องกำหนดเวลา อย่างสมมุติว่าวันนี้มีใครมาให้เราแต่งตอนนี้ ตรงนี้ คืออรต้องรอ อรชอบแบบนั้นมากกว่า เคยลองแล้วมันไม่ชอบ จะชอบเวลามีเรื่องราวเข้ามาเอง มีเมโลดี้เข้ามาเอง อรชอบแบบนั้น มันก็เลยนาน แต่ชุด 3 นี่นานกว่านะ 8 ปี กำลังทำอยู่ ทำตั้งแต่ปี 2006 ก็มีซิงเกิ้ลมาให้แฟนๆ ได้ฟังบ้าง ออกมาตอนเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนประท้วง มันก็เลยเบรกไปอีก (หัวเราะ)"
ก่อนจะมาถึงเรื่องปัจจุบัน ย้อนไปถึงบรรยากาศการเล่นคอนเสิร์ตในอดีตให้ฟังหน่อย...
"คอนเสิร์ตที่ชอบมากที่สุดเลย มันก็มีหลายอันนะ แต่หนึ่งในนั้นอันแรกก็คงที่สนามกองทัพบก ตอนนั้นคืองานดีเอ็นเอ คืองานเปิดอรเลย เป็นงานที่คุณสุกี้เขาสร้างขึ้นมา แต่อรไม่แน่ใจว่าเขาไปโคกับทางค่ายอื่นด้วยหรือเปล่า เพราะมีวงอื่นที่ไม่ได้อยู่ค่ายเรา แต่ของเรามีวงโมเดิร์นด็อก คือพูดง่ายๆ ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอร จะเหมือนว่าเป็นการออดิชั่นครั้งแรกก็ได้ อรไม่แน่ใจว่าคนเท่าไหร่ แต่เขาบอกว่า 20,000 กว่า แต่คือเยอะมาก มันเป็นครั้งแรกของอรและอรคิดว่ามันจะไม่ตื่นเต้นอะไรแล้วต่อจากงานนี้ เพราะงานแรกก็เจอแบบนี้เลย งานต่อมาเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ งานนั้นประทับใจมาก"
หลายครั้งที่เราจะเห็นนักร้องหญิงคนนี้ยืนสะพายกีต้าร์อย่างเท่ห์บนเวที ในขณะที่ถ้ามองต่ำลงไปหน่อยจะเห็นสองเท้าของเธอนั้นเปลือยเปล่า..."อรเป็นคนที่บาลานซ์ไม่ค่อยดี แล้วก็ชอบเป็นคนที่ชอบเอาความสบายเหนือความสวยงาม จริงๆ เรื่องเสื้อผ้าเรื่องผมอรก็โอเคแล้วระดับหนึ่ง แล้วต้องมาคิดเรื่องรองเท้าอีกมันก็นะ อรก็เลยไม่ใส่เลยหมดเรื่อง ก็รู้สึกว่าเราติดดินดี เรารู้สึกมั่นใจ แต่พอถึงจุดหนึ่งอรก็ใส่แล้วนะ ก็ใส่ร้องเท้าแตะ เพราะพอเราเล่นบ่อยๆ เราก็รู้ว่ามันอันตราย ทั้งเรื่องไฟ เรื่องพื้นเวที"
ช่วงที่เกิดความรู้สึกไม่อยากฟังเพลง ตอนนั้นเป็นเพราะอะไร? หรือคิดอะไรอยู่?
"คือหลังจากอัลบั้มที่ 2 จุดมันมีอยู่ตรงที่ว่ามันเด็ก คือเราอยากทำเพลง แล้วเรามีเพอร์เซปชัน (perception) ของเราว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่พอเราเข้ามาอยู่ตรงนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะเราก็ลืมไปว่าทุกอย่างมันก็คือธุรกิจ ซึ่งตรงนี้อรก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนะ แต่คนที่รู้จักอรจริงๆ จะรู้...คือคนถึงจำอรไม่ค่อยได้ คนเขาจะฟังเสียงเพลงเรา แต่พอมาเจอตัวจริงเขาไม่รู้หรอกว่าคืออร เพราะตัวอรจริงๆ อรค่อนข้างไพรเวท อย่างถ้าอรไปวุ่นวายอยู่ข้างนอก อรต้องกลับเข้าถ้ำของตนเอง จะมีบริเวณของตนเอง มันเป็นนิสัย...ซึ่งตอนนี้ก็ลดลงมาเพราะแก่แล้ว (หัวเราะ)"
"แต่ตอนนั้นมันเบื่อตรงนี้ แล้วมันมีอะไรอีกเยอะแยะที่เราเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีเลย แต่เราก็ต้องยอมรับกับมัน ซึ่งถ้าค่ายบังคับให้เราทำยังไงก็ต้องทำ แต่ว่าค่ายอรดีตรงที่ว่าให้ดูความเหมาะสมกับเรามันก็ไม่ได้ทนอะไรไม่ได้ในตรงนี้นะ แต่ว่าช่วงนั้นมันหลายอย่าง ช่วงชีวิตด้วย คือยอมรับว่าอัลบั้ม 2 อรตั้งใจทำมากกว่าอัลบั้ม 1 อีก ที่บอก 4 ปี เพราะคิดแล้วคิดอีก อยากอินพุทตัวเองในด้านของการเขียนเพลง ตั้งโจทย์อะไรให้ตัวเองเยอะ คือปกติอรเป็นคนแต่งทำนองแต่งเมโลดี้ก่อน แล้วค่อยมาเสริมเนื้อทีหลัง แต่ชุดที่ 2 ตรงข้ามกันเลย เขียนเนื้อก่อนยังไม่รู้เลยว่าเมโลดี้อะไร แต่มันก็ออกมาได้ มันก็เป็นเพลง ที่ฉันมีเธอ"
"แล้วอย่างชุดแรกตอนนั้นมีเดฟที่เป็นซาวด์ให้สุกี้มาช่วยโปรดิวเซอร์ให้ งานเราก็เลยแค่ร้องเพลง แต่งเพลง แต่ชุดที่ 2 ไม่มีแล้วงานหนักมาก ที่จริงอรไม่ได้อยากทำเอง ไม่ได้อยากโปรดิวเซอร์เอง อรแค่อยากร้อง อยากแต่ง อยากทำ ส่วนเรื่องโปรดิวเซอร์เรื่องอะไรพวกนี้ อยากให้คนอื่น แต่ด้วยเรื่องดวงเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เขาทำให้ไม่ได้ อรก็เลยต้องมาทำเอง มันก็เลยทั้งหนัก และก็เหนื่อย ทั้งทางด้านอารมย์ ร่างกายและใจมันโดนทับถล่มมา จนคิดว่าตรงนี้อาจจะไม่ใช่เราหรือเปล่า ตอนนั้นเราก็ค้นหาตัวเอง ว่าต้องการอะไรแล้วคิด เราคิดว่าอาจไม่ใช่ตัวเราก็ได้"
"เรานอนตอนที่คนอื่นเขาทำงาน เราทำงานตอนที่คนอื่นเขานอน อรจำได้เลยว่าเข้าห้องอัดเสร็จตอนตีห้า แล้วเราขับรถกลับ แต่คนอื่นเขามาทำงานกัน ก็เลยอยากลองใช้ชีวิตปกติอย่างที่อรคิด คือมาทำงานออฟฟิศ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น อันนั้นอรคิดว่านั่นคือชีวิตปกติในตอนนั้น นั่นเป็นจุดหนึ่ง แล้วด้วยตอนนั้นมันยังเด็กมันเหมือนตาชั่งที่คอยแกว่งไปมา ตอนนั้นมันก็เลยเลิกฟังเลย คือเราได้ยินเพลง แต่คือเราไม่ซื้อซีดี ไม่ซื้อเพลง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนซื้อตลอด ไปดูคอนเสิร์ตไม่เลย ตอนนั้นเพื่อนมีงานให้ไปช่วยทำก็ไม่ไป ให้ไปคอนเสิร์ตก็ไม่ไป คือไม่ได้ไปเจอเพื่อนเลย กีต้า แอมป์ ก็ขายเหลือสองตัว คือตัวที่ซื้อมาตั้งแต่เด็ก เป็นอยู่อย่างนั้นมาประมาณ 5-6 ปี"
แล้วอะไรที่ทำให้รู้สึกอยากกลับมา?
"มันอาจจะครบรอบอะไรของมันนะ ตอนนั้นน่าจะเป็นอัลบั้มที่ 2 ของพรู มันมีเพลงหนึ่งแล้วน้อยบอกสุกี้ว่าต้องเป็นอรร้อง ต้องร้องกับอร ถ้าอรไม่ร้องก็ไม่มีเพลงนี้ คือน้อยก็มีวิธีดึงเรา เราก็ยังไงล่ะ...อรก็เลยจะร้องให้ แต่อรจะไม่ออกสังสรร ไม่โปรโมท ไม่อะไรด้วยนะ แค่อัดเสียงร้องให้ เขาก็โอเค แต่พอเขามีคอนเสิร์ตใหญ่เขาก็เอาเราไปจนได้ ช่วงนั้นน่าจะ 2004 - 2005 นั่นก็เป็นจุดที่ทำให้อรกลับมา และก็เป็นจุดที่ทำให้อรเจอเท็ดดี้ วงฟลัวร์ (ธีรดล ธีโอดอร์ แกสตัน) ซึ่งเป็นจุดที่มาทำให้อรกลับมาทำเพลงอีกจริงๆ คือประมาณปี 2006"
"หายไปจริงๆ ประมาณ 7 ปี ตอนนั้นอรไม่ได้ประกาศเลิกนะ อรไม่ได้คิดว่าอรไม่สามารถมานั่งเขียนเพลงได้ มันต้องมีอะไรมาสกิด มาเตะ แต่คือตอนนั้นมันไม่ได้มีอะไรที่มาสกิดมาเตะอร 7 ปี จนเจอเท็ดดี้ซึ่งเป็นรุ่นน้องเรา คือเขาเข้ามาเบเกอรี่ตอนเราออกไปแล้ว แต่อรก็รู้จักเพลงเขามาตลอดเพราะเป็นอีกหนึ่งวงที่สุกี้เขาภูมิใจมาก ก็ไปเจอกันในคอนเสิร์ตบังเอิญว่าเท็ดดี้และเกือบทั้งวงเป็นแฟนเพลงเราอยู่แล้วด้วย เหมือนกับเขาปลื้มแล้วเขาก็เสียดายที่ทำไมเราไม่กลับมาทำเพลงอีก เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมคนอื่นมาเสียดายอะไรกับเราเยอะแยะ มีนักข่าวด้วยคนหนึ่ง เขามาสะกิดเรา เหมือนประมาณว่าให้เราออกอีกเถอะ เขาพูดประมาณเหมือนเท็ดดี้ว่าเสียดาย แบบเป็นกำลังใจนะยังรอ"
"เราก็เลยรู้สึกว่าคนอื่นเขาเชื่ออะไรในบางอย่างของเราเยอะนะ ก็เริ่มเสียดายตัวเอง แล้วเท็ดดี้มันก็เข้ากันได้อีกด้วยดนตรีแล้วนิสัย คืออายุต่างกันรอบหนึ่ง แต่เขาฟังเพลงเรา เด็กพวกนี้เขาฟังเพลงแก่ เหมือนกับเราเลย มันก็เลยทำให้เราคุยกันรู้เรื่อง ตอนนั้นมันมีงานแฟต เรดิโอ เขาจะจัดงานทุกปี วงฟลัวร์ก็บอกให้มาฟิวเจอริง ก็เริ่มจากตรงนั้น เริ่มซ้อมวง ตอนนั้นประมานปี 2006 - 2007 ก็คิดดูว่าตอนนี้ 2014 อีก 7 ปี หายไปนานมาก เพราะช่วงที่เราทำมันก็มีอุปสรรคอีก มันมีทั้งดีและไม่ดีมันก็เป็นเรื่องปกติของชีวิต วงแตกด้วย อะไรหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นเพราะนานไป แต่ความสัมพันธ์เรายังโอเคนะ"
"คือเพลงมีเยอะมาก 30 กว่าเพลง เพราะเหมือนไฟแรงมาก เพราะเราอัดเราซ้อม แต่มาถึงจุดหนึ่งความเห็นไม่ตรงกัน มันเกี่ยวกับธุรกิจด้วย พอเพลงใกล้เสร็จก็ต้องคิดแล้วว่าจะเอายังไง เราจะไปอยู่กับค่ายอีกไหม หรือว่าจะยังไง ความเห็นไม่ตรงกันอีก ก็เลยเบรกไป ช่วงรอก็ไม่ได้ทำอะไร เท็ดดี้ก็กลับไปทำวงฟลัวร์ ประมานปี 2010 อรก็สงสัยว่าคงไม่ได้ทำอัลบั้มชุดนี้แล้ว เพราะอรไม่ได้อยากทำงานคนเดียว อรอยากทำงานกับคนที่ตีปิงปองกัน อรก็โอเค ลองเบรก เพราะว่าทุกคนอาจจะเหนื่อย จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเล่นเยอะเหมือนกันถึงแม้อัลบั้มใหม่ยังไม่ได้ออก แต่ทุกคนเขารู้ว่าเรากลับมาเล่นแล้ว เวลามีเทศกาลที่นั่นที่นี่ก็ไปเล่นเพียงแต่ว่าอัลบั้มยังไม่ได้อัด"
"จนปีที่แล้ว อรมีความรู้สึกว่าอรควรทำให้มันเสร็จ เพราะมันเกือบเสร็จแล้ว 60 - 70 เปอร์เซ็นแล้ว อรรู้สึกว่ามันต้องทำให้เสร็จ ก็เลยกลับมาทำก็ได้คุยกับเท็ดดี้ และคุยกับน้องปั๊ม วงอพาร์ทเม้นท์คุณป้า (ปิย์นาท โชติกเสถียร) ก็มาเลือกดูว่าเพลงไหนค่อนข้างจะเสร็จ ก็จะเอาอันนั้นมาคิดกันใหม่ค่ะ จาก 30 เพลง คราวนี้ความเห็นก็ไม่ตรงกันอีก ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ทะเลาะมันก็ดีเพราะทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งพอมาถึงที่กลับมาทำแล้ว มันมีเพลงหนึ่งที่อรรักมากและเพลงนี้มันเกือบจะเสร็จแล้ว อรมีความรู้สึกว่างั้นอรปล่อยเพลงนี้เป็นของขวัญให้แฟนเพลงดีกว่า"
"เพราะเขาไม่ได้รอมาแค่ 7 ปี แต่รวมกันเป็น 14 ปี มันนานมาก แล้วอรไม่มีค่ายไม่ได้มีอะไรที่มากดดันอร อรค่อนข้างฟรี ประกอบกับด้วยสภาวะโซเชียลเน็ตเวิร์คมันสามารถทำอะไรก็ได้ ก็เลยปล่อยเพลงที่ชื่อว่า "สักวัน" ออกมาเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แล้วอรก็ให้ดาวโหลดฟรี แล้วก็เปิดเฟซบุ๊ก(Ornaree) ขึ้นมาดูว่ามันจะเป็นยังไง ก็ได้รับการตอบรับมากเลยทีเดียว สำหรับเพลงที่ไม่มีค่ายไม่มีอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่บังเอิญก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาด้วยทุกอย่างเลยดรอปไว้ก่อน"
หลายคนตื่นเต้นระคนแปลกใจที่จู่ๆ ก็เห็น "อรอรีย์" ไปขึ้นเวทีชิดลมในช่วงที่การเมืองกำลังร้อนแรง
"จะบอกว่านั้นเป็นอันล่าสุดที่อรตื่นเต้นมาก อรไม่ได้ตื่นเต้นกับเวทีมานานมาก...ถ้าย้อนไปดูคลิปดีๆ นะสั่นเลย ถามว่าอรไปได้ยังไง คืออรเป็นเพื่อนกับพี่ๆ ที่เขาทำเวทีชิดลม แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเราก็เป็นห่วงบ้านเมืองเหมือนกัน แล้วเขาก็รู้ว่าอรคิดยังไง พอเขาจัดเวทีชิดลมขึ้นมาเขาก็เลยอยากเอาศิลปินไป เพื่อคนจะได้ช่วยบริจาคกันด้วย อรก็เลยไปแต่อรก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องการเมืองอะไรมาก เพราะอรคิดว่าตอนนั้นเราไปในฐานะศิลปิน"
"แล้ววันที่อรไปขึ้นเวที คุยได้ใช่ไหม วันนั้นคุณสุทิน(สุทิน ธราทิน หนึ่งในแกนนำ กปท.) ถูกยิ่งพอดี คนก็นิ่ง นั่งอยู่กันบนถนน เหมือนมันจุกอยู่ตรงคอ เหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องนะ แต่เวทีนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่ใช่เพราะคนนะแต่เหมือนว่าวันนั้นเราไม่ได้มาร้องเพลงแบบธรรมดาแต่เหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวในประเทศของเราอะไรแบบนี้ อรว่าอรร้องไม่ได้เรื่องเลย แต่อรเอามันไว้ก่อน น้องๆ ร่วมวงน่ารักมากเขาก็เต็มที่กัน จนเรารู้สึกโอเค"
อยากเห็นภาพตอนเป็นสาวออฟฟิศ ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
"ไม่เครียดนะ เริ่มเลยมาทำเว็บไซต์ ถ้าอรจำไม่ผิดน่าจะเป็นปี 2002 ก็บอกตามความจริงอีกว่า อรไม่ชอบสารคดี ใครๆ อาจจะคิดว่าเป็นลูกหล่นใกล้ต้น แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะไกลนะ คืออรอาจจะเสียงหรืออะไรที่คล้ายคุณแม่แต่มันไม่เหมือนกัน อรไม่ชอบพวกฟิล์มในด้านการทำงาน แต่พอถ่ายรูปได้ อรชอบเพลง ถ้าให้อรทำเพลง อรแฮปปี้ แต่ให้อรทำอย่างอื่นอรไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ ตอนนั้นคุณแม่ก็อยากให้เป็นผู้บริหาร แต่อรบริหารตัวเองยังไม่รอดเลย (หัวเราะ) ก็เลยมาทำเว็บไซต์ขึ้นมา จุดประสงค์ก็คือเป็นวิธีการติดต่อแฟนรายการ เพราะตอนนั้นไม่ได้มีอะไรระหว่างเรากับแฟนรายการ เขาอยากคุยอะไรก็คุยได้อย่างเดียวเหมือนหยิบโทรศัพท์มา"
"ก็เลยคิดว่าเราน่าจะทำเว็บไซต์ที่มีข้อมูลสารคดีหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราผลิต เพื่อเป็นเหมือนห้องสมุด เพื่อให้คนเข้ามาหาข้อมูล เข้ามาดูได้อะไรแบบนี้ ก็เลยเริ่ม แล้วก็ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทุกคนคงรู้ว่าการทำงานสารคดีมันต้องรักจริงๆ เพราะว่ามันไม่ได้กำไรอะไรมากมายเมื่อเทียบกับเกมโชว์หรืออะไร แต่ในเมื่อเลือกทางนี้แล้วเรามีลูกน้อง 40-50 คนที่เราต้องคอยดูแล เราก็ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นเรามาถึงจุดหนึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ เราก็เลยคิดว่าสงสัยเราต้องทำพวกแบรนด์ หรือผลิตภัณฑ์อะไรขึ้นมาบ้างที่จะออกมาจำหน่าย ถึงเริ่มมาเป็นดีวีดีขายผ่านทางเว็บ แล้วก็มีมาเรื่อยๆ เสื้อยืด ถ้วย ล่าสุดก็จะเอาชาเข้ามา แล้วก็ข้าวที่อรไปชิมมาแล้วคิดว่ามันเจ๋ง อรก็เลยอยากเอามาขายภายใต้แบรนด์เราที่ทำอยู่"
การทำงานในออฟฟิศกับทำงานเพลงมันทำให้เรามีปัยหาในเรื่องของการแบ่งเวลาหรือว่าความคิดมั้ย?..."อรโชคดีมากตรงที่คุณแม่ไม่ค่อยบังคับ อรไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน คุณแม่โอเคไม่ได้มาฟิกว่าอรจะต้องมาเข้าหรือไม่เข้า อรค่อนข้างโชคดีกับตรงนี้ อรทำงานเสร็จก็ไม่ต้องมานั่งในห้อง เพราะอรนั่งในห้องนานๆ ไม่ได้เหมือนกัน อรชอบเดิน อรรู้สึกว่าอยู่ในห้องนานๆ แล้วเหมือนมันดูดพลังชีวิตไป"
เสียงก็คล้ายคุณแม่เคยคิดจะไปพากย์รายการแทนมั้ย?..."คุณแม่ก็สะกิดอยู่ทุกวัน แต่ไม่รู้ว่าแฟนกระจกเขาจะรับได้หรือเปล่า แต่แม่ก็ชอบติอรนะ บอกว่าอรเหมือนมีสำเนียงเหมือนคนเรียนเมืองนอกนิดๆ มันก็ต้องฝึก (รู้สึกดีไหมที่หลายคนฟังเสียงคุณแม่แล้วรู้สึกดีๆ?) รู้สึกดีนะ และก็ภูมิใจ เพราะมันเป็นหน้าที่สุจริต แล้วเขาก็ใช้เสียงตั้งแต่ตอนเขาจัดรายการ ตรงนี้น่าจะคล้ายๆ กัน เพราะอรก็ใช้เสียงในการทำงานเหมือนกัน"
นอกจากเสียงพากย์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนคุ้นมากกับการเป็นรายการ "กระจกหกด้าน" ก็คือเสียงเพลงไตเติ้ล ที่ตัดมาจากเพลง Dancing Flames ที่ออกไปในแนวดิสโก้ ตรงนี้ในฐานะนักร้อง นักดนตรี แนวร็อกเคยคิดจะเปลี่ยนมั้ย?
"ตอนนั้นอรทำเอาไว้แล้ว แต่พี่ชายเขาไม่ชอบ แต่อรชอบนะอรว่ามันโอเคดี เขาคงคิดว่ามันร็อกไป แต่จริงๆ มันไม่ร็อกหรอก อรไม่ได้ใส่อะไรร็อกมาก แต่มันวัยรุ่นไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่อรว่ามันดีนะ..."
สุดท้ายพอจะพูดอะไรให้แฟนเพลงสบายใจหน่อยว่าจะได้ฟังอัลบั้มที่ 3 แน่ๆ
"ยังไม่รู้ที่ชัดเจนนะคะ แต่กำลังทำอยู่ แฟนๆ ที่ติดตามในเฟซบุ๊กก็จะรู้เพราะว่าอรมีอะไรอรก็จะเขียนบอก...ช่วงหลังๆ ที่หายไปบอกได้เลยว่ากำลังใจส่วนใหญ่มาจากแฟนเพลง ถ้าไม่มีแฟนเพลงอรก็คงไม่ได้กลับมาทำอีก เพราะทุกครั้งที่อรเจอเขาก็จะถูกถามเมื่อไหร่จะมีอีก คนหลายคนโตมาพร้อมกับอร โตมาพร้อมกับเพลงอร ตอนนี้แต่งงานมีลูกก็ยังรอชุด 3 มันเหมือนเป็นแรงผลักดันอยากทำให้เสร็จ"
เช่นเดียวกับหลายคนที่เติบโตมาในยุคเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟกำลังเป็นที่นิยมหลายคนก็คงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับนักร้องหญิงตัวเล็กๆ แต่เท่ห์โคตรๆ ที่ชื่อ "อรอรีย์" เจ้าของเพลง "แล้วเธอ"
แต่เชื่อว่าคงจะมีน้อยคนทีเดียวที่รู้ว่าทั้งสองสิ่งที่ว่านี้มีอะไรที่เชื่อมโยงกันอยู่
แม้จะไม่ใช่นักร้องที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่หากพูดถึงศิลปินในยุคที่กระแสเพลงอัลเทอร์เนทีฟในบ้านเรากำลังผลิบาน (ราวๆ พ.ศ.2536 - 2537 เป็นต้นมา) ชื่อของ "อรอรีย์ จุฬารัตน์" กับเพลง "แล้วเธอ" ของเธอถือได้ว่าโดดเด่นและมีอิทธิพลไม่น้อย
ไม่น้อยถึงขนาดที่หลายคนต่างยกให้เธอเป็นราชินี+เจ้าแม่เพลงกรันจ์หนึ่งเดียวกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 ออกมานักร้องหญิงคนนี้ก็ตัดสินใจหันหลังให้กลับวงการเพลงไปพักใหญ่ ก่อนที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวว่าเธอกลับมาทำงานเพลงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ก่อนที่จะไปรับรู้เรื่องราวในปัจจุบัน "นัดคุย" ขอย้อนกลับไปในอดีตเพื่อทำความรู้จักกับตัวตนของผู้หญิงให้มากขึ้น
"เด็กๆ ก็มีชีวิตเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่ว่าจะเป็นคนชอบคิดชอบอ่านก็เลยชอบอยู่คนเดียว ชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลสมัยที่คุณแม่จัดรายการวิทยุแล้วก็พี่สาวด้วย แล้วพี่ชายก็เป็นคนชอบเพลงร็อกสมัยก่อน เราก็เลยโตมาด้วยเสียงเพลงแบบนั้น ก็ชอบ ก็ค้นหามันไปเรื่อยๆ วงนี้ชื่ออะไร เป็นยังไง คือน่าจะก่อน 10 ขวบด้วยซ้ำที่เป็นอย่างนี้ เพราะ 10 ขวบเราเริ่มหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นแล้ว"
ทายาทคนสุดท้องของ "สุชาดี มณีวงศ์" แห่ง บริษัท ทริลเลี่ยนส์ และ ทรีไลอ้อนส์ จำกัด ผู้ผลิตรวมถึงเป็นผู้ให้เสียงพากย์รายการ "กระจกหกด้าน" ที่หลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีบอกเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่บ่มเพาะให้เธอหลงใหลในเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ
"จริงๆ ตอนเด็กๆ ก็เล่นเหมือนเด็กปกติทั่วไปนะ แต่พอเราได้ยินเสียงเพลงก็เหมือนว่าเราโดนมันครอบงำ ก็เริ่มฟังเทป เริ่มฟังวิทยุ ตอนนั้นฟังวิฑูร วทัญญู เพราะเขาเปิดเพลงร็อก ก็ฟังเยอะอยู่เหมือนกัน"
ตอนเด็กๆ คุณอรเรียนที่ไหน?
"เรียนประถมอยู่ที่โรงเรียนอัมพรไพรศาล พอมัธยมต้นไปต่อที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์ ที่คุณแม่กับคุณป้าเคยอยู่ แล้วพอจบม.3 ตรงนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกัน เพราะคุณแม่จะให้ย้ายจากโรงเรียนมาอยู่โรงเรียนที่พี่ชายอยู่ ไม่ขอเอ่ยชื่อแล้วกัน คือพี่ชายอยู่โรงเรียนนั้นมาตั้งแต่เด็ก คุณแม่ก็อยากให้ย้ายไปที่นั่น จะได้รับส่งที่เดียว เราก็โอเค"
"ก็สอบได้แล้วนะแต่ขั้นตอนสุดท้ายคือต้องจับฉลากแล้วเราจับฉลากไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกไม่พอใจมาก ก็ถามที่บ้านทำไมต้องให้เราสอบ ทำไมไม่จับฉลากเลย จะสอบไปทำไม แต่ก็เข้าใจนะว่ามันคงเป็นพิธีการของเขา อย่างที่บอกพอเรารู้สึกไม่ดีเราก็เลยบอกคุณแม่ว่าเราไม่อยากเรียนที่นี่แล้ว รู้สึกว่าทำไมมันยุ่งยากเหลือเกิน ทำไมคนต้องติดอยู่กับโรงเรียน บ้านเราอยู่บางกะปิแล้วต้องไปเรียนเขมะ ฝั่งธน ต้องตื่นตี 4 ทุกวัน"
"ซึ่งโอเคตอนนั้นรถไม่ติดมาก แต่ทำไมต้องเป็นแบบนี้ล่ะ ก็เลยบอกคุณแม่ขอไปเรียนเมืองนอก ก็ไม่ได้คิดเลยว่าคุณแม่จะให้ไปนะ เขาบอกว่ากล้าขอเขาก็กล้าให้ไป ก็เลยไปเรียนที่อังกฤษ ไปเรียนไฮสคูล เสร็จแล้วก็เข้าคอลเลจ(College)อยู่นั่นเกือบ 10 ปี เรียนซาวด์เอ็นจิเนียร์"
มีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่เด็กเลยว่าจะเรียนเกี่ยวกับดนตรี?
"ตอนเด็กฝันว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากคิดค้นอะไรเรื่อยเปื่อย แต่พอมาฟังดนตรีแล้วอยากเป็นนักดนตรี ไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นนักกีต้าร์ เพราะตอนนั้นชอบเพลงร็อกเลยอยากเป็นมือกีต้าร์มาก อยากเรียนกีต้าร์มาก ขอพี่ให้เขาสอนให้แต่เขาก็ไม่ได้สอนเพราะเรายังเด็ก เขาก็ก็โยนหนังสือมาให้ หนังสือสมัยก่อนมันมีคอร์ดเพลงอยู่ เราก็เรียนจากตรงนั้น เรียนเอง ดูว่ามืออยู่ตรงไหน นิ้ววางอย่างไร"
"พอไปเรียนที่อังกฤษมันเหมือนว่ามีอิสระทุกอย่าง โดยเฉพาะพวกวิชาที่เขาไม่ได้บังคับก็เลยเลือกดนตรีเยอะมาก เลือกกีต้าร์ เลือกกลอง เลือกฟลุต เปียโน ตอนนั้นสนุกมาก..."
สนุกจนไม่คิดอยากกลับประเทศไทยแต่ก็ต้องกลับเพราะคุณแม่อยากให้กลับมาดูแลธุรกิจครอบครัว และนั่นเองที่ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับนักร้อง-นักดนตรีหญิงที่ชื่อ "อรอรีย์"
"แต่พอกลับมาก็ยังไม่ได้ทำงานนะ จะบอกว่าครอบครัวก็น่ารักมากไม่ได้บังคับว่าต้องมาทำอะไร ตอนนั้นก็ยังเที่ยวยังอะไรอยู่ จนไปเจอสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) เพราะคุณแม่สุกี้เขาก็ทำธุรกิจเหมือนกันก็รู้จักกัน แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณสุกี้เขากลับมาจากอเมริกา เขาก็ยังไม่ได้มีค่ายมีอะไร รู้สึกจะทำทีเคโออยู่ ก็ไปเจอกันเหมือนเป็นมินิคอนเสิร์ตอยู่ที่โรงแรมสยามซิตี้ คุยกันถูกคอ เขาก็เลยเหมือนจะสร้างค่ายขึ้นมา ก็อยากให้เรามาเล่นมาอยู่ด้วยกัน มันก็โอเค นั่นก็เป็นจุดเริ่ม"
"ก็เลยให้สุกี้ฟังเพลงเพื่อน คือตอนที่เราอยู่ที่นั่นเราก็ทำเดโมไปเรื่อยเปื่อย เป็นคนที่ชอบเขียนเพลง ครูก็ชอบสอน แต่เขาก็มีหลักสูตรของเขาซึ่งเราไม่ค่อยอยากเรียน เพราะเราอยากเรียนร็อก อยากเรียนที่มันกีต้าร์ แต่เขาจะสอนคลาสสิก ครูก็บอกว่าโอเค แต่เธอต้องเรียนภาคบังคับก่อน สักประมาณ 15 นาทีก่อนเวลาจบแล้วครูเขาก็จะปล่อย เขาจะให้รู้เบสิกเพราะเบสิกมันสำคัญ ครูคนนี้น่ารักมาก ก็ฝึกตรงนั้น แล้วก็รู้สึกว่าชอบเขียนเพลง ไม่ชอบก๊อปปี้เพลงของคนอื่นให้เหมือน อยากเขียนเอง มันเป็นมาตั้งแต่ตรงนั้น มันก็เริ่มสะสม ก็มีสองเพลงที่เขียนที่มาอยู่ในชุดแรก คือเพลงเพื่อน กับคุณผู้หญิง ซึ่งเขียนที่นั่น"
ตอนนั้นทำไมถึงไม่ออกเป็นอัลบั้มเต็มเลย?
"เขาอยากจะรู้ก็ได้ว่ามันเวิร์คขนาดไหนมั้ง แต่เราน่ะคิดว่าถึงออกอีพีหรือออกเต็มตรงนั้น ผลลัพธ์มันก็คงเหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่ายังนั้นนะ แต่เขาออกมาก่อน เพราะอรยังทำอัลบั้มเต็มไม่เสร็จอาจจะเป็นตรงนั้นด้วยก็ได้ คือเขาคงอยากให้คนรู้แล้วว่ามันมีตรงนี้นะ เพราะมันห่างกันไม่มากระหว่างอีพีกับอัลบั้มเต็ม ซึ่งในด้านของดนตรีอรว่าเราโชคดีมาก เพราะเป็นจุดใหม่ของเมืองไทย เราโชคดีที่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบด้วย ต่อให้เราทำไม่ดี ตอนนั้นเราก็โอเค เพราะว่ามันไม่มีวงแบบนี้อะไรมาก่อน"
"คือเพลงแนวนี้เราชอบอยู่แล้ว และในด้านของเบเกอรี่เราก็โชคดีเหมือนว่าเรามาเจอคอเดียวกัน ทั้งด้านดนตรีเเละด้านส่วนตัว ก็เข้ากันได้ มันเหมือนครอบครัวดนตรี มันก็เหมือนการเล่นปิงปอง คือเรามีแรงบันดาลใจ ตีไป อีกฝ่ายตีกลับมา มันสนุก ได้อิสระ ต้องขอบคุณ เพราะตัวเราชัดเจนพอสมควร เขาก็เลยให้อิสระเรา ไม่อยากทะเลาะกัน อยากทำอะไรเขาก็ให้เราทำ แต่ส่วนในเรื่องของธุรกิจเขาก็ทำไป"
คุณอรมีศิลปินไทยที่เป็นแรงบันดาลใจบ้างมั้ย?
"เพลงไทยก็ฟังเหมือนกันค่ะ แต่ตอนเด็กๆ ยอมรับว่าไม่ได้ฟัง เพราะชอบสกอร์เปียนส์ ชอบอะไรไป คืออรชอบซาวด์ ไม่ใช่แค่ชอบเมโลดี อรถึงเรียนตรงนี้ แล้วสมัยก่อนดนตรีไทยมันอาจจะแบนมาก เราฟังแล้วมันไม่ชอบ แล้วก็กลองใช้กลองไม่จริงอะไรแบบนี้ แต่เราชอบวงฝรั่งเพราะเวลาอัดมันมีมิติ มันมีความลึก แล้วอรจะชอบร็อก ซึ่งตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีแบบร็อกที่อรคิดว่ามันเป็นร็อก ก็เลยยังไม่ได้ฟังตอนนั้น ซึ่งอาจจะดีก็ได้เพราะมันไม่ได้มีอิทธิพลตรงนั้น แต่กลับมาเมืองไทยแล้วก็ฟังนะ อย่าง โมเดิร์นด็อก"
ชุดแรก "Natural high" กับชุดที่ 2 "Peel" ดูเหมือนจะห่างกันพอสมควร?
"ชุดแรกรู้สึกจะปี 38 หรือเปล่าไม่แน่ใจ ชุดที่ 2 อีก 4 ปีหลังจากนั้น ที่ห่างกันพอสมควรเป็นเพราะอรไม่ได้เป็นนักดนตรีมืออาชีพ อรคิดว่านั่นคือเหตุผล คืออรไม่สามรถแต่งเพลงได้ถ้าต้องกำหนดเวลา อย่างสมมุติว่าวันนี้มีใครมาให้เราแต่งตอนนี้ ตรงนี้ คืออรต้องรอ อรชอบแบบนั้นมากกว่า เคยลองแล้วมันไม่ชอบ จะชอบเวลามีเรื่องราวเข้ามาเอง มีเมโลดี้เข้ามาเอง อรชอบแบบนั้น มันก็เลยนาน แต่ชุด 3 นี่นานกว่านะ 8 ปี กำลังทำอยู่ ทำตั้งแต่ปี 2006 ก็มีซิงเกิ้ลมาให้แฟนๆ ได้ฟังบ้าง ออกมาตอนเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก่อนประท้วง มันก็เลยเบรกไปอีก (หัวเราะ)"
ก่อนจะมาถึงเรื่องปัจจุบัน ย้อนไปถึงบรรยากาศการเล่นคอนเสิร์ตในอดีตให้ฟังหน่อย...
"คอนเสิร์ตที่ชอบมากที่สุดเลย มันก็มีหลายอันนะ แต่หนึ่งในนั้นอันแรกก็คงที่สนามกองทัพบก ตอนนั้นคืองานดีเอ็นเอ คืองานเปิดอรเลย เป็นงานที่คุณสุกี้เขาสร้างขึ้นมา แต่อรไม่แน่ใจว่าเขาไปโคกับทางค่ายอื่นด้วยหรือเปล่า เพราะมีวงอื่นที่ไม่ได้อยู่ค่ายเรา แต่ของเรามีวงโมเดิร์นด็อก คือพูดง่ายๆ ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอร จะเหมือนว่าเป็นการออดิชั่นครั้งแรกก็ได้ อรไม่แน่ใจว่าคนเท่าไหร่ แต่เขาบอกว่า 20,000 กว่า แต่คือเยอะมาก มันเป็นครั้งแรกของอรและอรคิดว่ามันจะไม่ตื่นเต้นอะไรแล้วต่อจากงานนี้ เพราะงานแรกก็เจอแบบนี้เลย งานต่อมาเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ งานนั้นประทับใจมาก"
หลายครั้งที่เราจะเห็นนักร้องหญิงคนนี้ยืนสะพายกีต้าร์อย่างเท่ห์บนเวที ในขณะที่ถ้ามองต่ำลงไปหน่อยจะเห็นสองเท้าของเธอนั้นเปลือยเปล่า..."อรเป็นคนที่บาลานซ์ไม่ค่อยดี แล้วก็ชอบเป็นคนที่ชอบเอาความสบายเหนือความสวยงาม จริงๆ เรื่องเสื้อผ้าเรื่องผมอรก็โอเคแล้วระดับหนึ่ง แล้วต้องมาคิดเรื่องรองเท้าอีกมันก็นะ อรก็เลยไม่ใส่เลยหมดเรื่อง ก็รู้สึกว่าเราติดดินดี เรารู้สึกมั่นใจ แต่พอถึงจุดหนึ่งอรก็ใส่แล้วนะ ก็ใส่ร้องเท้าแตะ เพราะพอเราเล่นบ่อยๆ เราก็รู้ว่ามันอันตราย ทั้งเรื่องไฟ เรื่องพื้นเวที"
ช่วงที่เกิดความรู้สึกไม่อยากฟังเพลง ตอนนั้นเป็นเพราะอะไร? หรือคิดอะไรอยู่?
"คือหลังจากอัลบั้มที่ 2 จุดมันมีอยู่ตรงที่ว่ามันเด็ก คือเราอยากทำเพลง แล้วเรามีเพอร์เซปชัน (perception) ของเราว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่พอเราเข้ามาอยู่ตรงนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะเราก็ลืมไปว่าทุกอย่างมันก็คือธุรกิจ ซึ่งตรงนี้อรก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนะ แต่คนที่รู้จักอรจริงๆ จะรู้...คือคนถึงจำอรไม่ค่อยได้ คนเขาจะฟังเสียงเพลงเรา แต่พอมาเจอตัวจริงเขาไม่รู้หรอกว่าคืออร เพราะตัวอรจริงๆ อรค่อนข้างไพรเวท อย่างถ้าอรไปวุ่นวายอยู่ข้างนอก อรต้องกลับเข้าถ้ำของตนเอง จะมีบริเวณของตนเอง มันเป็นนิสัย...ซึ่งตอนนี้ก็ลดลงมาเพราะแก่แล้ว (หัวเราะ)"
"แต่ตอนนั้นมันเบื่อตรงนี้ แล้วมันมีอะไรอีกเยอะแยะที่เราเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีเลย แต่เราก็ต้องยอมรับกับมัน ซึ่งถ้าค่ายบังคับให้เราทำยังไงก็ต้องทำ แต่ว่าค่ายอรดีตรงที่ว่าให้ดูความเหมาะสมกับเรามันก็ไม่ได้ทนอะไรไม่ได้ในตรงนี้นะ แต่ว่าช่วงนั้นมันหลายอย่าง ช่วงชีวิตด้วย คือยอมรับว่าอัลบั้ม 2 อรตั้งใจทำมากกว่าอัลบั้ม 1 อีก ที่บอก 4 ปี เพราะคิดแล้วคิดอีก อยากอินพุทตัวเองในด้านของการเขียนเพลง ตั้งโจทย์อะไรให้ตัวเองเยอะ คือปกติอรเป็นคนแต่งทำนองแต่งเมโลดี้ก่อน แล้วค่อยมาเสริมเนื้อทีหลัง แต่ชุดที่ 2 ตรงข้ามกันเลย เขียนเนื้อก่อนยังไม่รู้เลยว่าเมโลดี้อะไร แต่มันก็ออกมาได้ มันก็เป็นเพลง ที่ฉันมีเธอ"
"แล้วอย่างชุดแรกตอนนั้นมีเดฟที่เป็นซาวด์ให้สุกี้มาช่วยโปรดิวเซอร์ให้ งานเราก็เลยแค่ร้องเพลง แต่งเพลง แต่ชุดที่ 2 ไม่มีแล้วงานหนักมาก ที่จริงอรไม่ได้อยากทำเอง ไม่ได้อยากโปรดิวเซอร์เอง อรแค่อยากร้อง อยากแต่ง อยากทำ ส่วนเรื่องโปรดิวเซอร์เรื่องอะไรพวกนี้ อยากให้คนอื่น แต่ด้วยเรื่องดวงเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เขาทำให้ไม่ได้ อรก็เลยต้องมาทำเอง มันก็เลยทั้งหนัก และก็เหนื่อย ทั้งทางด้านอารมย์ ร่างกายและใจมันโดนทับถล่มมา จนคิดว่าตรงนี้อาจจะไม่ใช่เราหรือเปล่า ตอนนั้นเราก็ค้นหาตัวเอง ว่าต้องการอะไรแล้วคิด เราคิดว่าอาจไม่ใช่ตัวเราก็ได้"
"เรานอนตอนที่คนอื่นเขาทำงาน เราทำงานตอนที่คนอื่นเขานอน อรจำได้เลยว่าเข้าห้องอัดเสร็จตอนตีห้า แล้วเราขับรถกลับ แต่คนอื่นเขามาทำงานกัน ก็เลยอยากลองใช้ชีวิตปกติอย่างที่อรคิด คือมาทำงานออฟฟิศ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น อันนั้นอรคิดว่านั่นคือชีวิตปกติในตอนนั้น นั่นเป็นจุดหนึ่ง แล้วด้วยตอนนั้นมันยังเด็กมันเหมือนตาชั่งที่คอยแกว่งไปมา ตอนนั้นมันก็เลยเลิกฟังเลย คือเราได้ยินเพลง แต่คือเราไม่ซื้อซีดี ไม่ซื้อเพลง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนซื้อตลอด ไปดูคอนเสิร์ตไม่เลย ตอนนั้นเพื่อนมีงานให้ไปช่วยทำก็ไม่ไป ให้ไปคอนเสิร์ตก็ไม่ไป คือไม่ได้ไปเจอเพื่อนเลย กีต้า แอมป์ ก็ขายเหลือสองตัว คือตัวที่ซื้อมาตั้งแต่เด็ก เป็นอยู่อย่างนั้นมาประมาณ 5-6 ปี"
แล้วอะไรที่ทำให้รู้สึกอยากกลับมา?
"มันอาจจะครบรอบอะไรของมันนะ ตอนนั้นน่าจะเป็นอัลบั้มที่ 2 ของพรู มันมีเพลงหนึ่งแล้วน้อยบอกสุกี้ว่าต้องเป็นอรร้อง ต้องร้องกับอร ถ้าอรไม่ร้องก็ไม่มีเพลงนี้ คือน้อยก็มีวิธีดึงเรา เราก็ยังไงล่ะ...อรก็เลยจะร้องให้ แต่อรจะไม่ออกสังสรร ไม่โปรโมท ไม่อะไรด้วยนะ แค่อัดเสียงร้องให้ เขาก็โอเค แต่พอเขามีคอนเสิร์ตใหญ่เขาก็เอาเราไปจนได้ ช่วงนั้นน่าจะ 2004 - 2005 นั่นก็เป็นจุดที่ทำให้อรกลับมา และก็เป็นจุดที่ทำให้อรเจอเท็ดดี้ วงฟลัวร์ (ธีรดล ธีโอดอร์ แกสตัน) ซึ่งเป็นจุดที่มาทำให้อรกลับมาทำเพลงอีกจริงๆ คือประมาณปี 2006"
"หายไปจริงๆ ประมาณ 7 ปี ตอนนั้นอรไม่ได้ประกาศเลิกนะ อรไม่ได้คิดว่าอรไม่สามารถมานั่งเขียนเพลงได้ มันต้องมีอะไรมาสกิด มาเตะ แต่คือตอนนั้นมันไม่ได้มีอะไรที่มาสกิดมาเตะอร 7 ปี จนเจอเท็ดดี้ซึ่งเป็นรุ่นน้องเรา คือเขาเข้ามาเบเกอรี่ตอนเราออกไปแล้ว แต่อรก็รู้จักเพลงเขามาตลอดเพราะเป็นอีกหนึ่งวงที่สุกี้เขาภูมิใจมาก ก็ไปเจอกันในคอนเสิร์ตบังเอิญว่าเท็ดดี้และเกือบทั้งวงเป็นแฟนเพลงเราอยู่แล้วด้วย เหมือนกับเขาปลื้มแล้วเขาก็เสียดายที่ทำไมเราไม่กลับมาทำเพลงอีก เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมคนอื่นมาเสียดายอะไรกับเราเยอะแยะ มีนักข่าวด้วยคนหนึ่ง เขามาสะกิดเรา เหมือนประมาณว่าให้เราออกอีกเถอะ เขาพูดประมาณเหมือนเท็ดดี้ว่าเสียดาย แบบเป็นกำลังใจนะยังรอ"
"เราก็เลยรู้สึกว่าคนอื่นเขาเชื่ออะไรในบางอย่างของเราเยอะนะ ก็เริ่มเสียดายตัวเอง แล้วเท็ดดี้มันก็เข้ากันได้อีกด้วยดนตรีแล้วนิสัย คืออายุต่างกันรอบหนึ่ง แต่เขาฟังเพลงเรา เด็กพวกนี้เขาฟังเพลงแก่ เหมือนกับเราเลย มันก็เลยทำให้เราคุยกันรู้เรื่อง ตอนนั้นมันมีงานแฟต เรดิโอ เขาจะจัดงานทุกปี วงฟลัวร์ก็บอกให้มาฟิวเจอริง ก็เริ่มจากตรงนั้น เริ่มซ้อมวง ตอนนั้นประมานปี 2006 - 2007 ก็คิดดูว่าตอนนี้ 2014 อีก 7 ปี หายไปนานมาก เพราะช่วงที่เราทำมันก็มีอุปสรรคอีก มันมีทั้งดีและไม่ดีมันก็เป็นเรื่องปกติของชีวิต วงแตกด้วย อะไรหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นเพราะนานไป แต่ความสัมพันธ์เรายังโอเคนะ"
"คือเพลงมีเยอะมาก 30 กว่าเพลง เพราะเหมือนไฟแรงมาก เพราะเราอัดเราซ้อม แต่มาถึงจุดหนึ่งความเห็นไม่ตรงกัน มันเกี่ยวกับธุรกิจด้วย พอเพลงใกล้เสร็จก็ต้องคิดแล้วว่าจะเอายังไง เราจะไปอยู่กับค่ายอีกไหม หรือว่าจะยังไง ความเห็นไม่ตรงกันอีก ก็เลยเบรกไป ช่วงรอก็ไม่ได้ทำอะไร เท็ดดี้ก็กลับไปทำวงฟลัวร์ ประมานปี 2010 อรก็สงสัยว่าคงไม่ได้ทำอัลบั้มชุดนี้แล้ว เพราะอรไม่ได้อยากทำงานคนเดียว อรอยากทำงานกับคนที่ตีปิงปองกัน อรก็โอเค ลองเบรก เพราะว่าทุกคนอาจจะเหนื่อย จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเล่นเยอะเหมือนกันถึงแม้อัลบั้มใหม่ยังไม่ได้ออก แต่ทุกคนเขารู้ว่าเรากลับมาเล่นแล้ว เวลามีเทศกาลที่นั่นที่นี่ก็ไปเล่นเพียงแต่ว่าอัลบั้มยังไม่ได้อัด"
"จนปีที่แล้ว อรมีความรู้สึกว่าอรควรทำให้มันเสร็จ เพราะมันเกือบเสร็จแล้ว 60 - 70 เปอร์เซ็นแล้ว อรรู้สึกว่ามันต้องทำให้เสร็จ ก็เลยกลับมาทำก็ได้คุยกับเท็ดดี้ และคุยกับน้องปั๊ม วงอพาร์ทเม้นท์คุณป้า (ปิย์นาท โชติกเสถียร) ก็มาเลือกดูว่าเพลงไหนค่อนข้างจะเสร็จ ก็จะเอาอันนั้นมาคิดกันใหม่ค่ะ จาก 30 เพลง คราวนี้ความเห็นก็ไม่ตรงกันอีก ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ทะเลาะมันก็ดีเพราะทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งพอมาถึงที่กลับมาทำแล้ว มันมีเพลงหนึ่งที่อรรักมากและเพลงนี้มันเกือบจะเสร็จแล้ว อรมีความรู้สึกว่างั้นอรปล่อยเพลงนี้เป็นของขวัญให้แฟนเพลงดีกว่า"
"เพราะเขาไม่ได้รอมาแค่ 7 ปี แต่รวมกันเป็น 14 ปี มันนานมาก แล้วอรไม่มีค่ายไม่ได้มีอะไรที่มากดดันอร อรค่อนข้างฟรี ประกอบกับด้วยสภาวะโซเชียลเน็ตเวิร์คมันสามารถทำอะไรก็ได้ ก็เลยปล่อยเพลงที่ชื่อว่า "สักวัน" ออกมาเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แล้วอรก็ให้ดาวโหลดฟรี แล้วก็เปิดเฟซบุ๊ก(Ornaree) ขึ้นมาดูว่ามันจะเป็นยังไง ก็ได้รับการตอบรับมากเลยทีเดียว สำหรับเพลงที่ไม่มีค่ายไม่มีอะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่บังเอิญก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาด้วยทุกอย่างเลยดรอปไว้ก่อน"
หลายคนตื่นเต้นระคนแปลกใจที่จู่ๆ ก็เห็น "อรอรีย์" ไปขึ้นเวทีชิดลมในช่วงที่การเมืองกำลังร้อนแรง
"จะบอกว่านั้นเป็นอันล่าสุดที่อรตื่นเต้นมาก อรไม่ได้ตื่นเต้นกับเวทีมานานมาก...ถ้าย้อนไปดูคลิปดีๆ นะสั่นเลย ถามว่าอรไปได้ยังไง คืออรเป็นเพื่อนกับพี่ๆ ที่เขาทำเวทีชิดลม แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเราก็เป็นห่วงบ้านเมืองเหมือนกัน แล้วเขาก็รู้ว่าอรคิดยังไง พอเขาจัดเวทีชิดลมขึ้นมาเขาก็เลยอยากเอาศิลปินไป เพื่อคนจะได้ช่วยบริจาคกันด้วย อรก็เลยไปแต่อรก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องการเมืองอะไรมาก เพราะอรคิดว่าตอนนั้นเราไปในฐานะศิลปิน"
"แล้ววันที่อรไปขึ้นเวที คุยได้ใช่ไหม วันนั้นคุณสุทิน(สุทิน ธราทิน หนึ่งในแกนนำ กปท.) ถูกยิ่งพอดี คนก็นิ่ง นั่งอยู่กันบนถนน เหมือนมันจุกอยู่ตรงคอ เหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องนะ แต่เวทีนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่ใช่เพราะคนนะแต่เหมือนว่าวันนั้นเราไม่ได้มาร้องเพลงแบบธรรมดาแต่เหมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวในประเทศของเราอะไรแบบนี้ อรว่าอรร้องไม่ได้เรื่องเลย แต่อรเอามันไว้ก่อน น้องๆ ร่วมวงน่ารักมากเขาก็เต็มที่กัน จนเรารู้สึกโอเค"
อยากเห็นภาพตอนเป็นสาวออฟฟิศ ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
"ไม่เครียดนะ เริ่มเลยมาทำเว็บไซต์ ถ้าอรจำไม่ผิดน่าจะเป็นปี 2002 ก็บอกตามความจริงอีกว่า อรไม่ชอบสารคดี ใครๆ อาจจะคิดว่าเป็นลูกหล่นใกล้ต้น แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะไกลนะ คืออรอาจจะเสียงหรืออะไรที่คล้ายคุณแม่แต่มันไม่เหมือนกัน อรไม่ชอบพวกฟิล์มในด้านการทำงาน แต่พอถ่ายรูปได้ อรชอบเพลง ถ้าให้อรทำเพลง อรแฮปปี้ แต่ให้อรทำอย่างอื่นอรไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ ตอนนั้นคุณแม่ก็อยากให้เป็นผู้บริหาร แต่อรบริหารตัวเองยังไม่รอดเลย (หัวเราะ) ก็เลยมาทำเว็บไซต์ขึ้นมา จุดประสงค์ก็คือเป็นวิธีการติดต่อแฟนรายการ เพราะตอนนั้นไม่ได้มีอะไรระหว่างเรากับแฟนรายการ เขาอยากคุยอะไรก็คุยได้อย่างเดียวเหมือนหยิบโทรศัพท์มา"
"ก็เลยคิดว่าเราน่าจะทำเว็บไซต์ที่มีข้อมูลสารคดีหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราผลิต เพื่อเป็นเหมือนห้องสมุด เพื่อให้คนเข้ามาหาข้อมูล เข้ามาดูได้อะไรแบบนี้ ก็เลยเริ่ม แล้วก็ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทุกคนคงรู้ว่าการทำงานสารคดีมันต้องรักจริงๆ เพราะว่ามันไม่ได้กำไรอะไรมากมายเมื่อเทียบกับเกมโชว์หรืออะไร แต่ในเมื่อเลือกทางนี้แล้วเรามีลูกน้อง 40-50 คนที่เราต้องคอยดูแล เราก็ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นเรามาถึงจุดหนึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ เราก็เลยคิดว่าสงสัยเราต้องทำพวกแบรนด์ หรือผลิตภัณฑ์อะไรขึ้นมาบ้างที่จะออกมาจำหน่าย ถึงเริ่มมาเป็นดีวีดีขายผ่านทางเว็บ แล้วก็มีมาเรื่อยๆ เสื้อยืด ถ้วย ล่าสุดก็จะเอาชาเข้ามา แล้วก็ข้าวที่อรไปชิมมาแล้วคิดว่ามันเจ๋ง อรก็เลยอยากเอามาขายภายใต้แบรนด์เราที่ทำอยู่"
การทำงานในออฟฟิศกับทำงานเพลงมันทำให้เรามีปัยหาในเรื่องของการแบ่งเวลาหรือว่าความคิดมั้ย?..."อรโชคดีมากตรงที่คุณแม่ไม่ค่อยบังคับ อรไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน คุณแม่โอเคไม่ได้มาฟิกว่าอรจะต้องมาเข้าหรือไม่เข้า อรค่อนข้างโชคดีกับตรงนี้ อรทำงานเสร็จก็ไม่ต้องมานั่งในห้อง เพราะอรนั่งในห้องนานๆ ไม่ได้เหมือนกัน อรชอบเดิน อรรู้สึกว่าอยู่ในห้องนานๆ แล้วเหมือนมันดูดพลังชีวิตไป"
เสียงก็คล้ายคุณแม่เคยคิดจะไปพากย์รายการแทนมั้ย?..."คุณแม่ก็สะกิดอยู่ทุกวัน แต่ไม่รู้ว่าแฟนกระจกเขาจะรับได้หรือเปล่า แต่แม่ก็ชอบติอรนะ บอกว่าอรเหมือนมีสำเนียงเหมือนคนเรียนเมืองนอกนิดๆ มันก็ต้องฝึก (รู้สึกดีไหมที่หลายคนฟังเสียงคุณแม่แล้วรู้สึกดีๆ?) รู้สึกดีนะ และก็ภูมิใจ เพราะมันเป็นหน้าที่สุจริต แล้วเขาก็ใช้เสียงตั้งแต่ตอนเขาจัดรายการ ตรงนี้น่าจะคล้ายๆ กัน เพราะอรก็ใช้เสียงในการทำงานเหมือนกัน"
นอกจากเสียงพากย์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนคุ้นมากกับการเป็นรายการ "กระจกหกด้าน" ก็คือเสียงเพลงไตเติ้ล ที่ตัดมาจากเพลง Dancing Flames ที่ออกไปในแนวดิสโก้ ตรงนี้ในฐานะนักร้อง นักดนตรี แนวร็อกเคยคิดจะเปลี่ยนมั้ย?
"ตอนนั้นอรทำเอาไว้แล้ว แต่พี่ชายเขาไม่ชอบ แต่อรชอบนะอรว่ามันโอเคดี เขาคงคิดว่ามันร็อกไป แต่จริงๆ มันไม่ร็อกหรอก อรไม่ได้ใส่อะไรร็อกมาก แต่มันวัยรุ่นไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่อรว่ามันดีนะ..."
สุดท้ายพอจะพูดอะไรให้แฟนเพลงสบายใจหน่อยว่าจะได้ฟังอัลบั้มที่ 3 แน่ๆ
"ยังไม่รู้ที่ชัดเจนนะคะ แต่กำลังทำอยู่ แฟนๆ ที่ติดตามในเฟซบุ๊กก็จะรู้เพราะว่าอรมีอะไรอรก็จะเขียนบอก...ช่วงหลังๆ ที่หายไปบอกได้เลยว่ากำลังใจส่วนใหญ่มาจากแฟนเพลง ถ้าไม่มีแฟนเพลงอรก็คงไม่ได้กลับมาทำอีก เพราะทุกครั้งที่อรเจอเขาก็จะถูกถามเมื่อไหร่จะมีอีก คนหลายคนโตมาพร้อมกับอร โตมาพร้อมกับเพลงอร ตอนนี้แต่งงานมีลูกก็ยังรอชุด 3 มันเหมือนเป็นแรงผลักดันอยากทำให้เสร็จ"