เหมือนอย่างที่ปรากฏมาโดยตลอดการเดินทางนับสิบปีของภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อว่า “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ซึ่งไม่เพียงแค่จะบอกเล่าประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองของผู้ปกครองหรือผู้นำ หากยังส่องสะท้อนผ่านสายตาของสามัญชนคนธรรมดาทั่วไปด้วย และสิ่งนี้ก็ยังคงเป็นประเด็นที่มองเห็นได้แจ่มชัดในภาค “ยุทธหัตถี”
ในรายการวิวไฟน์เดอร์ ทางช่องซูเปอร์บันเทิง เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมให้ความเห็นไว้ในรายการว่า สิ่งหนึ่งซึ่งผมรู้สึกชื่นชอบในหนังของท่านมุ้ย-ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล มาตั้งแต่ภาคแรก ก็คือการสอดแทรกเรื่องราวของไพร่ฟ้าประชาชนลงบนเรื่องราวสงครามระดับประเทศ ตัวละครอย่างเลอขิ่น ไอ้ขาม บุญทิ้ง หรือใครต่อใครอีกหลายคน ที่เป็นสามัญชนหรือคนตัวเล็กตัวน้อยในชาติ ถูกยกให้มีบทบาทความสำคัญต่อการเป็นพลังในยามที่บ้านเมืองเกิดภาวะวิกฤติ นี่คือมุมมองที่ท่านมุ้ยทรงถ่ายทอดมาตั้งแต่ภาคแรก
หรืออย่างในภาคยุทธหัตถีนี้ ฉากที่เห็นเด่นชัดฉากหนึ่งก็คือตอนที่พระนเรศทรงเสด็จไปเยี่ยมบุญทิ้ง (พระราชมนู) แล้วทรงตรัสกับสหายร่วมรบหลายประโยค แน่นอนว่าทุกประโยคของพระองค์ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสามัญชนอย่างบุญทิ้งที่มีสำนึกยิ่งใหญ่ในการเสียสละเพื่อบ้านเมือง
กระนั้นก็ดี อย่างที่ทุกคนคงรู้กันเป็นอย่างดีก็คือหนังภาคนี้ มีจุดโฟกัสอยู่ที่ฉากรบหรือยุทธหัตถีระหว่างพระองค์ดำกับพระมหาอุปราชา ผมคิดว่าฉากดังกล่าวนั้น หนังทำออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจพอสมควร ทั้งนี้ สิ่งที่เสริมให้ฉากดังกล่าวดูมีพลังขึ้นมาก็ด้วยอารมณ์เชิงดราม่าที่หนังใส่ลงไปในฉากการต่อสู้ดังกล่าวนั้น
และอันที่จริง จะว่าไปแล้ว อารมณ์ดราม่าถือเป็นจุดเด่นของหนังภาคนี้เลยก็ว่าได้ หนังใช้เวลาในการปูเรื่องและเล่นกับความดราม่าอย่างเต็มรูปแบบแทบทั้งเรื่องก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งสงครามยุทธหัตถีในตอนท้าย และความดราม่านั้นก็ยึดโยงอยู่กับจิตวิญญาณการอุทิศตนเองเพื่อปกป้องแผ่นดิน ซึ่งหนังก็แสดงให้เห็นว่า การที่ประเทศสามารถดำรงเอกราชไว้ได้นั้นก็เพราะบุคคลเหล่านั้นซึ่งไม่หวั่นเกรงภยันตรายและลุกขึ้นต่อสู้ผู้รุกราน
เหนืออื่นใด สิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นอย่างชัดเจน และน่าจะเป็นเจตนาของท่านมุ้ยที่ต้องการจะถ่ายทอด ก็คือ การเปรียบเทียบให้เราเห็นถึงวิถีแห่งกษัตริย์ทั้งสองประเทศ ทั้งไทยและพม่า ซึ่งต่างกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น ฝั่งของพม่า มีพระมหาอุปราชาหรือมังสามเกียดซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้านันทบุเรง ฝั่งไทยก็คือสมเด็จพระนเรศผู้เป็นองค์รัชทายาทของพระมหาธรรมราชา หนังมีเจตนาที่จะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝั่ง พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกของทั้งสองคู่มีส่วนอย่างสำคัญต่อชะตากรรมของทั้งสองฝั่ง
การดูหนังอย่างตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคนี้ให้สนุกและเข้มข้น จึงไม่ควรรอคอยเพียงแค่การมาถึงของฉากยุทธหัตถี หากแต่เป็นเรื่องราวระหว่างทางที่หนังพยายามเล่นกับรายละเอียดของอารมณ์ปุถุชนแบบความเป็นมนุษย์ รัก โลภ เกลียด ชัง ขลาดเขลาและหาญกล้า เข้มแข็งและเปราะบาง ผมมองว่าหนังพยายามจะทำให้คนดูรู้สึกเข้าอกเข้าใจในภาวะส่วนตนของตัวละครและซาบซึ้งสะเทือนใจไปกับเรื่องราวเหล่านี้มากกว่าจะมุ่งเน้นการเข่นฆ่าประหัตประหารกันแต่เพียงถ่ายเดียว