"เป็นอารยะโดยการดูถูกรากเหง้าของตัวเองน่ะหรือ ไม้ใหญ่จะยืนทะนงต้านแรงช้างสารได้ ก็ด้วยรากที่หยั่งลึกและแข็งแรง ถ้าไม่ดูแลรักษาเอาไว้ให้ดี เราจะอยู่รอดกันได้แบบไหน"..."ศร ศิลปบรรเลง" (โดย "อดุลย์ ดุลยรัตน์" จากภาพยนตร์เรื่อง "โหมโรง")
...
ภาพที่ชินตาผมเป็นอย่างมากในวัยเด็ก นอกจากคนในบ้าน ทั้งยาย แม่ ป้าลุง น้า ญาติๆ เพื่อนฝูง ตลอดจนแม่น้ำ, โรงเรียน และท้องนาแล้ว ก็เห็นจะเป็นวัดในหมู่บ้านครับ
ไม่รู้ว่ามาจากไหน? ใครเล่า? แต่ว่ากันว่าท่าน้ำบริเวณวัด มีถ้ำที่มีจระเข้อาศัยอยู่คู่หนึ่ง หรือประมาณว่ามีคนเคยดำลงไปงมกุ้งแล้วเจอรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่อยู่ นั่นเองที่ทำให้ผมเข้าใจไปว่าชื่อวัดที่ว่า "ตะเฆ่" นั้นคงจะมีที่มาที่เกี่ยวข้องกับจระเข้ที่คนบ้านอกส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า ตะเข้ หรือไอ้เข้ แน่ๆ
ก่อนจะมารู้ในภายหลังว่าแท้จริงแล้ว "ตะเฆ่" นั้นหมายถึงเครื่องมือที่เอาไว้ลากของต่างหาก
นอกจากชื่อตะเฆ่ แล้ววัดนี้ยังมีอีก 2 ชื่อครับ คือถ้าเป็นคนแก่มากๆ ซึ่งเหลือน้อยเต็มทีแล้วจะเรียกว่า "วัดนอก" ซึ่งเป็นการเรียกที่สอดคล้องกับอีกชื่อของวัดอีกวัดหนึ่งของหมู่บ้านที่อยู่ติดๆ กันอย่าง "วัดใน" และอีกชื่อหนึ่งก็คือ "ธรรมจินดา" ที่ไม่ค่อยจะมีใครเรียกกันสักเท่าไหร่
ที่ผ่านมาผมเองเคยแอบคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยแบบเวอร์ๆ ว่าวัดตะเฆ่ของผมนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่พระประธานในโบสถ์หันพระพักตร์ลงแม่น้ำซึ่งเป็นทิศตะวันตกแทนที่จะหันไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือเหมือนวัดส่วนใหญ่, มีประเพณีแปลกๆ เช่นการทำบุญข้าวห่อ รวมถึงการที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่พูดภาษาอีสานกันทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว
ที่สำคัญที่เป็นไฮไลต์เลยก็คือเจดีย์คู่ลักษณะโบราณบนเนินดินที่เห็นมาตั้งแต่เกิดซึ่งมีเรื่องเล่า(อีกแล้ว)ว่าข้างในมีสมบัติเพชรนิลจินดามากมายแต่ถูกคน(ไม่รู้ใคร)เจาะขุดเอาไป ขณะที่บ้างก็ว่ามีคนพยายามเจาะขุดจริงแต่ทุกคนที่เอาของไปล้วนมีอันเป็นไปเพราะถูกคำสาปบ้าง ถูกงูเจ้าที่ฉกตายบ้าง ฯ
จริงเท็จอย่างไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ร่องรอยอุโมงค์จากการเจาะนั้นมีจริง และเรื่องเกี่ยวกับงูนั้นก็จริงเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยต้นไม้ต้นหญ้าวัชพืชนั่นเอง
ถึงตอนนี้เจดีย์คู่โบราณมีการบูรณะเสร็จสิ้นแล้วครับ ซึ่งแม้จะดูสมบูรณ์ขึ้นแต่โดยส่วนตัวผมกลับรู้สึกว่าทำเอาความขลัง ความเป็นของเก่าแก่โบราณหายไปเยอะทีเดียว
ภายหลังจากการบูรณะนี่แหละครับประวัติความเป็นมาของวัดตะเฆ่ฯ จึงปรากฏออกมาอย่างเป็นทางการซึ่งก็มีบางส่วนที่อ้างอิงจากคำบอกเล่าที่ผมเคยได้ยินมาแล้วนั่นเอง
อาจจะไม่เวอร์แบบที่แอบคิดไว้ แต่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาดังนี้เลยครับ
...จากเอกสารทางประวัติศาสตร์และจากคำบอกเล่า วัดตะเฆ่สร้างสมัยอยุธยาเมื่อราว พ.ศ.2246 มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามความเชื่อเฉพาะบุคคล อาทิ เชื่อว่าวัดนี้เป็นวัดที่เชื้อพระวงศ์ได้จัดสร้างขึ้นโดยปรากฏเรียกเจดีย์เก่าแก่ว่าธรรมจินดามเหสี จึงได้เรียกวัดว่า "วัดธรรมจินดา" บ้างก็กล่าวว่าเดิมวัดนี้เคยมีตะเข้อยู่คู่หนึ่งต่อมาจึงเรียกกันว่า"วัดตะเฆ่"ซึ่งตะเข้หรือตะเฆ่ในที่นี้หมายถึงแม่แรงหรือเครื่องทุ่นแรงชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับลากของหนัก ส่วนชื่อวัดนอกเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกโดยทั่วไป
โบราณสถานภายในวัดตะเฆ่ ปรากฏทรงเครื่อง 2 องค์ ตั้งบนฐานไพทีวางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก ตะวันตก องค์หนึ่งเป็นเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงระฆังที่มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ยี่สิบ ส่วนอีกองค์มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง นอกจากนี้ยังปรากฏเจดีย์บริวารขนาดเล็กตั้งอยู่บนฐานไพทีเดียวกันอีกจำนวน 5 องค์ และมีกำแพงล้อมลอบฐานไพที จากลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ เจดีย์ทั้ง 2 องค์ เป็นเจดีย์ทรงเครื่องที่นิยมก่อสร้างกันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งจะนิยมมากในช่วงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือสมัยรัชกาลที่ 3...
จากประวัติความเป็นมาของวัดตามข้างต้นนั้นค่อนข้างจะสอดคล้องทีเดียวครับกับเอกสารที่บอกเล่าถึงที่มาของประเพณีทำบุญข้าวห่อที่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นคำตอบด้วยว่าทำไมคนแถวนี้ถึงได้พูดภาษาอีสานกันให้เพียบ ตามความที่ว่า...
ประวัติความเป็นมาชาวบ้านม่วงงามในปัจจุบัน มีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากนครเวียงจันทน์ นำโดยพระเจ้าธรรมจินดาและขุนหลวงศรีขรภูมิ การอพยพครั้งนั้นได้แบ่งเป็น 2 พวก พวกแรกพักอยู่ที่บ้านม่วงลาว ตำบลม่วงงาม อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี และอีกพวกพักอยู่ที่บ้านเวียง หรือวัดเวียง (ไม่ปรากฏนามผู้นำ) ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบัน
การอพยพครั้งนั้นก็จะมีการนำข้าวห่อพกติดตัวมากินตามทาง การห่อข้าวจะทำการห่อด้วยใบตองหรือใบทองกวาว ซึ่งเป็นใบไม้ขนาดใหญ่ ในข้าวห่อนั้นก็จะมีทั้งข้าวและกับข้าวบ้าง ก็ห่อข้าวเหนียวกับเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปูเค็ม บ้างก็ห่อข้าวจ้าวกับเนื้อเค็ม ปูเค็มหรือปลาเค็ม ซึ่งแล้วแต่ใครพอจะมีอะไรกินกัน เมื่อถึงเวลากินข้าวห่อทุกคนจะนำข้าวห่อของตนเองมาแลกเปลี่ยนกันกิน ซึ่งขุนหลวงศรีขรภูมิและพ่อเฒ่าโหมดลูกชาย ได้นำข้าวห่อนั้นมาถวายพระในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 และได้ทำเป็นประเพณีสืบต่อกันมา
เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบ ชาวบ้านม่วงงาม (ม่วงลาว) จะนำข้าวห่อมาทำบุญที่วัด โดยข้าวห่อที่นำมาถวายพระนั้นจะทำเท่ากับจำนวนคนในครัวเรือนของตนและทำเพิ่มอีก 2 ห่อ เพื่อทำบุญไปให้ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตไปแล้ว ชาวบ้านตำบลม่วงงามจึงให้ความสำคัญประเพณีดังกล่าวนี้ และทางวัดตะเฆ่ ตำบลม่วงงาม อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ได้จัดงานประเพณีบุญข้าวห่อขึ้น ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปีและสืบเนื่องมาตลาดจนถึงทุกวันนี้...
ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นเรื่องของอดีต แต่ที่เป็นเรื่องใหม่และจะกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คงจะต้องถูกบันทึกเอาไว้ถึงความเป็นมาของหมู่บ้านในอนาคตในตอนนี้ก็คือการเกิดขึ้นมาของตลาดน้ำที่มีชื่อว่า "ลาวเวียง" ซึ่งคงไม่ต้องสงสัยกันนะครับว่าทำไมถึงได้มีชื่อเช่นนี้
"ลาวเวียง" เกิดจากความคิดของผู้นำชุมชนที่ตั้งใจอยากให้คนในชุมชนได้นำสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชนมานำเสนอให้คนต่างชุมชนได้มาเลือกกิน-เลือกซื้อ
ลาวเวียงอาจจะไม่ใช่ตลาดที่ใหญ่โตสวยงาม แต่ลาวเวียงเป็นตลาดที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงความร่วมใจของคนในชุมชน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง ช่วยกันขุด ช่วยกันตอก ช่วยกันมัด เสาทำจากไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าคา พื้นดินก็เป็นถนนดินธรรมดาๆ
ลาวเวียงไม่ใช่ตลาดน้ำประเภทขายของกิ๊บเก๋ยูเรเนี่ยน ของกินย้อนยุค ของเล่นโบราณแต่ทำใหม่แถมขายในราคาแพงที่เห็นกันดาษดื่นตามตลาดน้ำโดยส่วนใหญ่ แต่เป็นตลาดชุมชนเล็กๆ สินค้าของขายล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่บ่องบอกถึงความเป็นวิถีชุมชนและขายในราคาบ้านนอกจริงๆ
แล้วอะไรที่เป็นจุดเด่นของลาวเวียง ง่ายๆ เลยครับ บรรยากาศของความเป็นบ้านนอกที่เป็นกันเอง วิถีชีวิตผู้คน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ไปเลือกซื้ออาหารมานั่งปูเสื่อรับประทานริมน้ำใต้ต้นก้ามปูขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ความร่มรื่น หรือจะลงไปในแพริมน้ำ สัมผัสสายลมที่พัดเอื่อย เพลินไปกับการชมกิจกรรม-การละเล่นพื้นบ้าน ทั้ง ระบำ รำ เซิ้ง มวยทะเล แข่งงมหอย หมาเน่าลอยน้ำ(ตีโป่ง) สาธิตการทำข้าวห่อ แข่งเรือหัวใบ้ท้ายบอด เดินกะลา ไม้โถกเถก(ขาโถกเถก) ฯ ที่จะสลับสับเปลี่ยนมาสร้างความสนุกตลอดจนให้ความรู้ต่างๆ กันทุกๆ สัปดาห์
ตลาดลาวเวียงเปิดทุกๆ วันอาทิตย์ครับ ตั้งแต่ช่วงสายๆ ไปจนถึงราวๆ บ่ายสามโมง
ไม่ขอการันตีแล้วกันนะครับว่าไปแล้วจะประทับใจ แต่กล้ายืนยันว่าไปแล้วสบายใจแน่นอน