เสียงของโปรเฟซเซอร์เอ็กซ์ที่กล่าวกับโลแกนว่า “ยินดีต้อนรับกลับ” ในตอนเอ็นด์เครดิตของเรื่อง The Wolverine ยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ เรื่องราวของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ก็กลับมาอีกครั้ง ใน X-Men : Days of the Future Past และคำมั่นที่ศาสตราจารย์หนุ่มกล่าวกับวูฟเวอรีนก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากนั้น วูล์ฟเวอรีนต้องเดินทางย้อนเวลากลับไปพบโปรเฟซเซอร์เอ็กซ์วัยหนุ่ม เพื่อภารกิจบางประการที่ไม่แน่ว่าจะกระทำสำเร็จได้
หลังจากเอ็กซ์เม็นภาคหนึ่งและสอง ผู้กำกับไบรอัน ซิงเกอร์ ก็ดูเหมือนจะถอยออกไปให้คนอื่นมากำกับ โดยตนเองนั่งเป็นโปรดิวเซอร์ แต่สุดท้ายแล้ว ไบรอัน ซิงเกอร์ ก็หวนมากำกับอีกครั้งหนึ่งในภาค Days of the Future Past นี้ และในเบื้องต้น ผมคิดว่านี่คือผลงานที่น่าจดจำมากที่สุดอีกชิ้นหนึ่งในชีวิตของผู้กำกับคนนี้
Days of the Future Past เปิดฉากมาที่โลกซึ่งกำลังจะล่มสลาย เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ถูกคุกคามทำลายล้าง0oแทบไม่เหลือหลอ ก๊วนแก๊งของโลแกน โปรเฟซเซอร์เอ็กซ์ ตลอดจนแม็กนีโต้ จึงคิดหาวิธีการว่าจะดำรงโลก รักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองไว้ได้อย่างไร สุดท้ายจึงพบหนทางและตัวแปรที่จะไม่นำไปสู่หายนะเบื้องหน้า แต่เงื่อนไขก็มีอยู่ว่าจะต้องส่งใครสักคนไปยับยั้งบางเหตุการณ์ในอดีตเพื่อพลิกเปลี่ยนประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าคนที่ถูกเลือกให้เดินทางย้อนเวลาในคราครั้งนี้ก็คือโลแกนหรือวูล์ฟเวอรีน
ความยอดเยี่ยมแรกๆ ของหนังที่เราจะได้เห็น ผ่านการเดินทางย้อนเวลาของวูล์ฟเวอรีน คือใช้การเดินทางเป็นตัวเปิดตัวละครแต่ละตัวขึ้นมา ซึ่งตัวละครเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยยังหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายหลักที่โลแกนจะต้องไปพบก่อนใครเพื่อนอย่างโปรเฟซเซอร์เอ็กซ์ ความดีของหนังก็คือ ทันทีที่เปิดตัวละครแต่ละตัวออกมา ก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับตัวละครนั้นได้ทันที ผ่านสถานการณ์ของพวกเขาที่เผชิญอยู่ ไม่เพียงทำให้คนดูรักในตัวละคร หากแต่ยังพร้อมจะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับพวกเขาจนตลอดทาง
ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดว่าส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวละครแต่ละตัวดูมีน้ำหนัก คือความมีมิติในเชิงลึกของตัวละคร หรือพูดง่ายๆ ก็คือแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีปมปัญหาและบาดแผลของตัวเอง (ขณะที่ก็ดูเท่ เพียงแต่เท่และมีปม) โปรเฟซเซอร์เอ็กซ์ในวัยหนุ่ม ก็มีเรื่องให้ต้องเผชิญและรอการก้าวผ่าน โลแกนเอง แม้จะเป็นคนจากโลกอนาคต แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใครบางคน คำที่เพื่อนๆ ย้ำเตือนว่าอย่าหวั่นไหวไปกับเรื่องราวต่างๆ ก็ดูจะไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกัน ในส่วนของแม็กนีโต้ ทั้งๆ ที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุด ก็ยังมีจุดที่อ่อนไหวเปราะบางอย่างที่สุดเช่นกัน ขณะที่มิสตีกหรือราเว่นที่ตกเป็นประเด็นใหญ่ของหนังภาคนี้ ก็มีบทบาทและเนื้อหาที่โดดเด่นสมกับเป็นตัวสำคัญของเรื่อง
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเรื่องของการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวละคร ซึ่งผมมองว่าหนังทำได้ยอดเยี่ยมมาก แม้จะมีตัวละครหลากหลาย แต่ทว่าทุกตัวกลับมีมิติและความน่าจดจำ ถือว่าผู้กำกับหรือกระทั่งคนเขียนบท เก่งมากๆ ที่สามารถรักษาสถานะของตัวละครให้มีความสำคัญทุกๆ ตัว แบบไม่หลุดแม้เพียงตัวเดียว คุณเป็นแฟนโปรเฟซเซอร์ คุณจะรักโปรเฟซเซอร์มากขึ้น คุณเป็นแฟนของวูล์ฟเวอรีน เขาก็มีบทบาทเพียงพอต่อการที่จะเพิ่มพูนความรักของคุณที่มีต่อเขา หรือแม็กนีโต้และตัวอื่นๆ ผมว่าหนังทำได้ดีมากในจุดนี้
กระนั้นก็ดี ที่พูดมา ดูเหมือนว่าหนังจะพาเราดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ดราม่าหรือการเป็นหนังเล่าเรื่องเน้นเนื้อหา ตรงกันข้าม ผมคิดว่าจังหวะของการใส่แอ็กชั่นเข้ามานั้น ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ หนังหย่อนฉากการต่อสู้ให้เราได้รู้สึกคึกคักเข้ามาเป็นช่วงๆ และตามสูตรในแบบที่เรียกว่าจากน้อยไปหามาก จัดฉากการต่อสู้เรียงรายไว้ตลอดเส้นทางการเดินเรื่อง และจัดหนักในช่วงพีคที่สุด พร้อมกับทุบด้วยอารมณ์ดราม่าไปด้วยพร้อมๆ กัน
เอาเป็นว่า ณ จุดนี้ X-Men : Days of the Future Past คือหนังที่ตรึงคนดูได้อยู่หมัด มันคือแบบอย่างของหนังที่ทั้งให้ความบันเทิงสไตล์หนังแอ็กชั่นชั้นดี และมีศักยภาพในการสร้างความรู้สึกซาบซึ้งกินใจได้ด้วยในทางหนึ่ง และพูดกันอย่างถึงที่สุด โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าเอ็กซ์เม็นภาคนี้ กลายเป็นนัมเบอร์วันในบรรดาหนังเอ็กซ์เม็นที่มีมาทั้งหมด