xs
xsm
sm
md
lg

Draft Day-Enemy-Rob the Mob : 3 เรื่อง 3 ทาง หนังเจ๋งๆ

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ขณะที่เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์แห่ง X-Men : Days of The Future Past กำลังออกอาละวาดโรงฉายจนเกือบจะเรียกได้ว่าปฏิบัติการยึดโรงหนังได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กระนั้นก็ดี ก็ยังมีหนังที่เป็น “ทางเลือก” ให้กับคนดูแซมอยู่บ้างจำนวนหนึ่ง และในขณะที่ยังไม่ได้สัมผัสกับความสนุกสนานของบรรดามนุษย์กลายพันธุ์ ผมขอหยิบเอาหนังสามเรื่องสามแนวทางมาพูดถึงก่อน

Draft Day
หลังจาก Moneyball นี่คือหนังที่เกี่ยวกับวงการกีฬาที่น่าจะกล่าวได้ว่าดีที่สุด สนุกที่สุด เรื่องหนึ่ง หนังได้นักแสดงรุ่นเก๋า “เควิน คอสต์เนอร์” มารับบทเป็น “ซันนี่” ผู้จัดการของทีมอเมริกันฟุตบอลอย่างทีมคลีฟแลนด์ บราวน์ ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เพราะไม่เพียงจะต้องรับศึกหนักในการคัดเลือกตัวผู้เล่นเข้ามาร่วมทีมแล้ว อีกด้านหนึ่ง ปมชีวิตที่เกี่ยวกับคนรัก (ซึ่งก็เป็นผู้บริหารด้านการเงินของคลีฟแลนด์ บราวน์) รวมทั้งเรื่องเก่าเมื่อราวสองปีก่อนเกี่ยวกับพ่อของตนเองที่เป็นอดีตผู้จัดการของคลีฟแลนด์ ก็รุมเร้าจิตใจของซันนี่อยู่อย่างเงียบๆ แต่หน่วงหนัก

แม้จะเป็นหนังกีฬา แต่เตือนไว้ก่อนว่าคุณอาจไม่ได้เห็นการแข่งขันของอเมริกันฟุตบอลในสนาม เพราะเซ็ตติ้งของหนังใช้เวลาอยู่กับช่วงระยะหนึ่งวันที่คนดูอเมริกันฟุตบอลเรียกกันว่าเป็นวัน “ดราฟท์ เดย์” นั่นก็คือวันที่แต่ละทีมจะทำการคัดเลือกตัวผู้เล่นเจ๋งๆ เข้ามาอยู่ร่วมทีม กระนั้นก็ดี นี่คือช่วงเวลาที่สนุกแบบมันหยดสำหรับผู้คนในแวดวงนี้ และหนังก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเกมที่สนุกและเหนือชั้นไม่น้อยไปกว่าการแข่งขันในสนาม แต่ละทีมต้องเจรจา ขับเคี่ยวชิงไหวชิงพริบกันเพื่อฉกฉวยโอกาสและช่วงชิงความได้เปรียบด้วยชั้นเชิงความเก๋า งานด้านภาพที่ใช้เทคนิคแบบแบ่งภาพให้เป็นหลายเฟรม (สองเฟรม) ตอนที่ตัวละครเจรจาตกลงกัน และเฟรมหนึ่งกินพื้นที่เข้าไปในเฟรมหนึ่ง นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์แห่งการชิงชันได้เปรียบหรือเสียเปรียบของตัวละครได้เช่นกัน

เควิน คอสต์เนอร์ ที่เคยมีบทในหนังกีฬาระดับขวัญใจมหาชนมาแล้ว อย่าง “Bull Durham” และ “Field of Dreams” ยังคงทำได้ดี กับบทซันนี่ ผู้จัดการทีมคลีฟแลนด์ นี่เป็นอีกหนึ่งความน่าจดจำอย่างไม่อาจปฏิเสธ เขาคือศูนย์กลางของเรื่องและบทก็ส่งอย่างเต็มที่ มันคือช่วงเวลาวิกฤติมากที่สุดช่วงหนึ่งซึ่งท้าทายและพิสูจน์กึ๋นของเขาที่เป็นผู้จัดการทีม ความสงบเยือกเย็นหรือกระทั่งพลุ่งพล่านระเบิดอารมณ์ เป็นสองขั้วที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ปัญหาองค์กร ปัญหาส่วนตัว พัวพันยุ่งเหยิง ชีวิตของเขาก็คงไม่ต่างอะไรกับเกมอเมริกันฟุตบอลเกมหนึ่งซึ่งพร้อมจะถูกชาร์ตถูกแท็กเกิลตลอดเวลา ถ้าเพียงแต่พลาด และนั่นก็เป็นความยอดเยี่ยมของคนเขียนบทที่ทำให้ตัวละครเป็นที่ดึงดูดของคนดู ในแง่ของการเอาใจช่วย

โดยภาพรวม หนังอาจจะเน้นบทพูดเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับเป็นบทพูดที่หลักแหลม ฉลาด และเปรื่องปราดด้วยอารมณ์ขัน หนังมีความตลกในแบบที่เราไม่คาดคิด สุดท้าย ผมมองว่ามันไม่ได้ด้อยไปกว่าหนังกีฬาในตำนานอีกเรื่อง อย่าง Jerry Maguire ที่ผสมผสานอารมณ์อันหลากหลายไว้ได้อย่างเป็นเอกภาพ สนุกและซาบซึ้งดีครับ

Enemy
เข้าฉายก่อน Draft Day หนึ่งสัปดาห์ นี่คือหนังที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง The Double ของโฮเซ่ ซารามาโก นักเขียนรางวัลโนเบลชาวโปรตุกีส (ปี 1998) พล็อตโดยย่อนั้นว่าด้วยเรื่องราวของครูสอนประวัติศาสตร์ที่ดำเนินชีวิตไปปกติวันต่อวัน อย่างซ้ำซากจำเจ หนังเน้นย้ำให้เห็นว่าวิชาหรือเนื้อหาที่เขาสอนนั้นก็ซ้ำๆ เดิมๆ ด้วยการถ่ายทำฉากสอนหนังสือซ้ำสองสามครั้ง แม้ว่าเนื้อหาวิชาจะคมคายแค่ไหน แต่ถ้าอยู่กับมันนานๆ ก็สามารถเบื่อหน่ายได้เช่นกัน ครูอดัม (เจค จิลเลนฮาล) ก็เช่นกัน เขาอยู่กับวิชาประวัติศาสตร์วันแล้ววันเล่าจนเหมือนมันไม่สามารถความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ ได้อีกแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาตัดสินใจเดินเข้าร้านวิดีโอตามคำแนะนำของคนรู้จักและเช่าหนังมาดูสองสามเรื่อง และเขาก็ได้พบกับเรื่องที่ตื่นเต้น เรียกว่าเปลี่ยนชีวิตเหี่ยวๆ เฉาๆ ของเขาไปโดยสิ้นเชิง เมื่อพบว่า ดาราคนหนึ่งในหนังเรื่องหนึ่ง หน้าตาเหมือนกับเขาราวกับคนคนเดียวกัน

เจค จิลเลนฮาล ที่ต้องเล่นเป็นคนสองคน ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม เพราะไม่ว่าจะในภาคของการเป็นครูสอนประวัติศาสตร์หรือในภาคของนักแสดง เขาก็ทำให้เราคนดูเชื่อถือได้ สีหน้าท่าทางนั้นเปลี่ยนแปลงไปหมด การเล่นบทแบบนี้ สิ่งที่สำคัญคือความต่อเนื่อง (continue) ของอารมณ์การแสดง ต้องสมูทและดูน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะฉากที่ต้องเข้าคู่เผชิญหน้ากัน

ความสนุกของหนังเรื่องนี้ อารมณ์เหมือนดูหนังเขย่าขวัญคุณภาพดี ซึ่งถ้าจะพลิกให้เป็นหนังไล่ล่าหวือหวาโครมครามก็คงจะทำได้ไม่ยาก แต่ด้วยตัวเรื่อง (และเคารพต้นฉบับนิยาย) ต้องการขับเน้นความกดดันและอึดอัดผ่านบรรยากาศที่อึมครึมและคลุมเครือเจือปริศนา วิธีดำเนินเรื่องจึงไม่ได้หวือหวาและออกจะเชื่องช้า แต่ทว่าก็สามารถจัดวางจังหวะให้ดูระทึกขวัญได้น่าสนใจและติดตามไปได้ตลอดรอดฝั่ง โทนสีภาพของหนังที่ใช้สีเทาทึมคืออีกองค์ประกอบที่ห่อคลุมให้หนังดูลึกลับยิ่งขึ้น

สุดท้าย นี่ไม่ใช่หนังที่เล่นกับสภาวะจิตใต้สำนึก และค่อนข้างต้องอาศัยความร่วมมือจากคนดูในการที่จะอยู่กับเรื่อง ซึ่งไม่มีระเบิด ไม่มีปืน แต่เล่นกับความอึมครึม ไปตลอดทั้งเรื่องได้ ชอบหนังที่ดูแล้วคิด จะแฮปปี้มากครับ

Rob the Mob
ผลงานดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของคู่รักบ้าระห่ำ “ทอมมี่” กับ “โรซี่” ที่อาจหาญไปปล้นเงินมาเฟียขาใหญ่ในนิวยอร์ก จนกลายเป็นข่าวใหญ่โต และนำไปสู่การทลายแก๊งมาเฟียครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งของอเมริกา มันเป็นหนังอันว่าด้วยเรื่องราวของมาเฟียและโจรกระจอกที่ดูสนุกมากที่สุดเรื่องหนึ่งตั้งแต่ผมเคยดูมา

เซ็ตติ้งของฉากและเรื่องราวนั้นอยู่ในราวๆ ต้นยุค 90 หนังหยิบเอามนต์เสน่ห์แห่งยุคนั้นมาใช้ได้อย่างประทับตาผ่านงานด้านภาพ ขณะที่เพลงประกอบก็มีทั้งไพเพราะเข้ากับเรื่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ยอดเยี่ยมของหนัง สามารถแบ่งตัวเองออกเป็นภาคๆ ได้ถึงสามส่วน อย่างหนึ่งซึ่งเห็นชัดแน่นอนก็คืออารมณ์ขันแบบตลกร้าย และส่วนใหญ่ก็เป็นตลกสถานการณ์ ในแง่อารมณ์ขัน หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงอารมณ์ตอนที่ได้ดูหนังดีๆ ของกาย ริชชี่ อย่าง Lock, Stock and Two Smoking Barrels อะไรมันจะตลกร้ายได้ถึงเพียงนั้น

ส่วนที่สอง คือความดราม่าที่ไม่เพียงแค่แจกจ่ายให้กับทั้งฝ่ายโจรกระจอกและฝ่ายมาเฟียตัวพ่อ หนังเกี่ยวกับอาชญากรรม แต่ก็มีแง่มุมเกี่ยวกับบทเรียนที่มอบให้กับคนดูหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนที่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของทอมมี่ ความลุ่มลึกของมาเฟียตัวโจกอย่าง “บิ๊กอัล” ซึ่งผ่านโลกเห็นชีวิตมามาก ทั้งนี้ รวมไปถึงบทบาทของนักข่าวและตำรวจสืบสวนนั้นก็ด้วย ตัวละครทุกตัวที่หนังใส่เข้ามา ล้วนแล้วแต่สามารถขยายเนื้อหาทางความคิดที่สะท้อนภาพอันบิดเบี้ยวของสังคมได้ไม่น้อยไปกว่ากัน

อันดับสาม ที่ผมคิดว่า ใครก็ตามที่เป็นหนังอาชญกรรมยุคเก่าๆ อย่าง bonnie and clyde จะต้องชอบเรื่องนี้แน่นอน เพราะปฏิบัติการของทอมมี่กับโรซี่นั้นดูอุกอาจไม่น้อยไปกว่าวีรรรมของผัวเมียนักปล้นอย่าง “บอนนี่ กับ ไคลน์” อย่างเหมาะเจาะ และที่สำคัญ หนังก็มีการอ้างถึงหนังเรื่องดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องราวลอกเลียน เพราะเรื่องของทอมมี่กับโรซี่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างออกไป สุดท้าย ไม่ว่าหนังจะพาเราเดินไปสู่อารมณ์หลากหลายเพียงใด ภาพหนึ่งซึ่งเด่นชัดมากในความรู้สึกของผมหลังดูจบ ก็คือ เรื่องราวความรักอันสุดแสนโรแมนติกของคนสองคน ที่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็พร้อมจะร่วมทางเดินกันไปจนสุดสายทางแห่งชีวิต

ไม่ว่าจะโจรหรือผู้ดี สิ่งนี้คือสุดยอดปรารถนาของทุกคน หรือมิใช่?








กำลังโหลดความคิดเห็น