นักแสดงร่างเล็ก “มิกกี รูนีย์” ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังระดับเป็นดาราอันดับ 1 ของ MGM และฮอลลีวูด โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ปลายยุค 30s จนถึงต้นยุค 40s ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ด้วยวัย 93 ปี
ด้วยความสามารถหลากหลาย ทั้งการแสดงในบทตลก, บทชีวิต นอกจากนั้นยังมีความสามารถทางการร้องเพลง และเต้นรำ ทำให้ มิกกี รูนีย์ ได้รับการยอมรับในฐานะคนบันเทิงที่โดดเด่นรอบด้าน และมีงานอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายทศวรรษ อย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเคยเปรยว่า “เหมือนว่าผมทำงานมานานยิ่งกว่าทั้งชีวิตเสียอีก”
โดยนักแสดงรุ่นใหญ่วัย 93 ปี เคยมีชื่อชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง และได้รับรางวัลพิเศษมาถึง 2 ครั้ง นับจากรางวัลดาราเด็กในปี 1939 ที่เขาได้รับร่วมกับ ดีนนา เดอร์บิน ก่อนจะได้รับการเชิดชูเกียรติจากสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์อีกครั้งในปี 1983 จากการทำงานมาตลอดทั้งชีวิต
นอกจากงานในวงการภาพยนตร์แล้ว มิกกี้ รูนีย์ ยังมีงานแสดงทางโทรทัศน์โดยเฉพาะในซีรีส์ Bill ที่ว่าด้วยชายผู้มีความผิดปกติทางสมองที่ทำให้เขาเคยคว้ารางวัลเอมมีมาแล้ว และเคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอมมีอีกถึง 3 ครั้ง ส่วนวงการละครเวที มิกกี้ รูนีย์ ก็เคยมีชื่อชิงรางวัลโทนีเช่นเดียวกัน
แม้จะมีด้านที่รุ่งเรืองมากมาย แต่ที่ผ่านมาชีวิตของ มิกกี รูนีย์ เองก็มีปัญหาต่างๆ ไม่น้อยเช่นเดียวกัน เขาเคยแต่งงานมาแล้วถึง 8 ครั้ง, เคยยื่นขอล้มละลายในปี 1962 แม้ก่อนหน้านั้นจะสามารถทำรายได้ถึง 12 ล้านเหรียญฯ ก็ตาม นอกจากนั้น รูนีย์ ยังมีปัญหาแบบที่ดาราซึ่งเข้าวงการตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ หลายคนต้องเผชิญ นั้นก็คือการที่เขาไม่สามารถสลัดภาพดาราเด็กออกจากตัวได้นั่นเอง แต่ไม่ว่าสิ่งใดก็คงไม่สามารถบดบังความยิ่งใหญ่ของเขาได้ จากผลงานมากมายโดยเฉพาะที่ร่วมงานกับ จูดี การ์แลนด์ ที่เคยทำให้เขามีสถานะเป็นนักแสดงทำเงินอันดับ 1 ของฮอลลีวูดถึง 3 ปีติดต่อกัน
มิกกี้ รูนีย์ ที่มีชื่อจริงว่า โจเซฟ ยูล จูเนียร์ เกิดที่บรูกลินในปี 1920 และเริ่มประเดิมอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุแค่ 15 เดือนกับการเล่นละครเวทีของที่บ้าน ก่อนจะแสดงหนังครั้งแรกตอนอายุ 6 ขวบในผลงานเรื่อง Not to Be Trusted ที่เขารับบทเป็นคนแคระ ที่แม้เขาจะยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่กลับสามารถแสดงบทตลกต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล ไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่
ต่อมาหลังพ่อแม่แยกทางกันเขาจึงมีโอกาสได้แสดงหนังสั้นแนวตลกเรื่อง Mickey McGuire ของนักเขียนการ์ตูน ฟอนเทน ฟอกซ์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีการสร้างออกมาต่อเนื่องถึง 80 ตอน จนแม่ของเขาอยากจะให้ลูกชายเปลี่ยนชื่อตามตัวละคร มิกกี แม็คกิวรี ไปเลย แต่เจ้าของลิขสิทธิ์ชื่อนี้กลับไม่ยอม แม่ของเขาจึงเลือกให้ลูกชายใช้ชื่อ มิกกี รูนีย์ แทน
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น มิกกี รูนีย์ จึงมีโอกาสรับงานมากขึ้นเรื่อยๆ และมีบทบาทที่น่าจดจำมากมายกระทั่งได้เซ็นสัญญากับ MGM เป็นเวลา 3 สัปดาห์ และมีผลงานหนังออกมาอีกหลายเรื่อง
แต่งานที่ทำให้ รูนีย์ เป็นที่รู้จักอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็คือหนังเกรดบีฟอร์มเล็กๆ เล่าเรื่องชีวิตครอบครัวเรื่อง A Family Affair ที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ กับการเล่าเรื่องของครอบครัว “ฮาร์ดี” จนมีการสร้างตอนต่อออกมาถึง 15 ตอน และได้ชื่อว่าเป็นหนังชุดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งของสหรัฐฯ ส่วน รูนีย์ ก็กลายเป็นนักแสดงดังที่มีรายได้ถึง 150,000 เหรียญฯ ต่อปี ทั้งๆ ที่อายุยังไม่เต็ม 20 ปีด้วยซ้ำ และคว้ารางวัลออสการ์ครั้งแรกในปี 1939 กับรางวัลพิเศษสำหรับนักแสดงเยาวชน
ในปีต่อมา รูนีย์ ได้ชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายเป็นครั้งแรกจาก Babes in Arms ที่เขาร่วมแสดงกับ จูดี การ์แลนด์ จนทั้งคู่กลายเป็นคู่ขวัญแห่งยุคที่มีผลงานด้วยกันตามมาอีกหลายเรื่อง อาทิ Strike Up the Band, Babes on Broadway และ Girl Crazy
ระหว่างปี 1944-46 รูนีย์ ต้องเข้ารับใช้ชาติในหน่วยการละครของกองทัพ และต้องเดินทางไกลกว่า 150,000 ไมล์ เพื่อให้ความบันเทิงกับหน่วยทหารตามสถานที่ต่างๆ และยังได้มีโอกาสจัดรายการวิทยุให้ของกองทัพด้วย
จนเมื่อสงครามจบลง รูนีย์ จึงเริ่มพยายามเปลี่ยนภาพของตัวเองจากดาราวัยรุ่น เพื่อเป็นนักแสดงผู้ใหญ่เต็มตัว โดยทาง MGM พยายามผลักดันให้เขารับบทผู้ใหญ่ด้วยการมอบบทนักมวยในหนังเพลงเรื่อง Killer McCoy ให้ แต่หนังกลับไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย เสน่ห์แบบหนุ่มน้อยที่เคยมีของ รูนีย์ ก็เริ่มถดถอยลงพร้อมๆ กับการสิ้นยุคของหนังเพลงแบบเดิมๆ ที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่กลับกลายเป็นความบันเทิงอันตกยุคสำหรับคนดูภาพยนตร์ในยุคหลังสงครามไปเรียบร้อย
หลังไม่ได้รับเลือกให้เล่นหนังฟอร์มยักษ์รวมดารา Battleground ของ MGM ในปี 1949 รูนีย์ จึงตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ MGM และหันไปรับงานโชว์ตามไนต์คลับแทน ส่วนหนังที่เขารับแบบอิสระก็ล้มเหลวเสียส่วนใหญ่ มีเพียง The Bold and the Brave หนังสงครามโลกเท่านั้นที่ทำให้ รูนีย์ ได้ชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 3 อย่างไรก็ตาม ดูเขาจะไปได้ดีกว่ากับงานในวงการโทรทัศน์ โดยเฉพาะ The Comedian ที่ได้ชื่อว่าเป็นงานคลาสสิคในยุคทองของวงการโทรทัศน์เลยทีเดียว
แม้จะมีงานอย่างต่อเนื่องแต่ในปี 1962 รูนีย์ กลับต้องยื่นขอเป็นบุคคลล้มละลาย เพราะปัญหาทางการเงินจากการหย่าถึง 4 ครั้ง และยังมีปัญหาติดพนันม้าแข่ง จนต้องเริ่มหันไปรับบทสมทบ และมีบทบาทในหนังหลายๆ เรื่อง อาทิ Requiem for a Heavyweight, It’s a Mad, Mad, Mad, Mad World แต่ที่ได้รับการจดจำมากที่สุดก็คือใน Breakfast at Tiffany ที่เขาแสดงเป็นตัวละครชาวญี่ปุ่น “มิสเตอร์ ยูนิโอชิ” ที่เมื่อครั้งเข้าฉายไม่ได้สร้างปัญหาอะไรขึ้นมา แต่ต่อมากลับถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างของการเหยียดผิวในฮอลลีวูด ที่เลือกให้นักแสดงชาวตะวันตกมาแสดงเป็นชาวญี่ปุ่นโดยไม่สนใจความสมจริงสมจังใดๆ เลยแม้แต่น้อย
รูนีย์ ยังคงมีผลงานต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันแม้จะอายุล่วงเลยถึงวัย 90 แล้วก็ตาม โดยงานในระยะหลังของเขาที่นักดูหนังรุ่นหลังน่าจะจดจำกันได้ก็มีอย่าง Night at the Museum เมื่อปี 2006 และ The Muppets เมื่อ 2 ปีก่อนนี่เอง
เมื่อ 2 ปีก่อน มิกกี รูนีย์ เพิ่งจะเปิดเผยถึงปัญหาส่วนตัวให้สาธารณะชนได้รับทราบ กับเหตุการณ์ที่เขาอ้างว่าตนเองโดนลูกเลี้ยงข่มขู่ และยังกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาเอาไว้โดยไม่ให้อาหาร หรือยารักษาโรค โดยอีกฝ่ายพยายามเข้ามายุ่งกับเงินของเขา จนต่อมา รูนีย์ ได้มีโอกาสขึ้นให้การต่อหน้าคณะกรรมการพิเศษของวุฒิสภา สำหรับการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการทำทารุณต่อผู้สูงอายุในเดือน มี.ค. 2011
ก่อนจะเสียชีวิต รูนีย์ อาศัยอยู่กับ เจน แชมเบอร์ลิน ภรรยาคนที่ 8 ซึ่งแต่งงานกันตั้งแต่ปี 1978 โดยภรรยาคนแรกของเขา และเป็นคู่รักที่โด่งดังที่สุดของ รูนีย์ ก็คือดาราสาว อีวา การ์เนอร์ นั่นเอง ที่แต่งงานกันในปี 1942 ระหว่างที่ รูนีย์ กำลังโด่งดังเป็นดาวเด่นของ MGM แต่แล้วชีวิตแต่งงานของทั้งคู่กลับยืนยาวอยู่แค่ปีเดียวเท่านั้น
โดย รูนีย์ มีทายาททั้งหมด 9 คน และลูกชายคนรอง ทิม รูนีย์ ก็เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้วด้วยวัยเพียง 59 ปี
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |