สังเกตจากโปสเตอร์ขนาดมหึมาที่โชว์หราด้านหน้าอาคารโรงหนังแทบทุกแห่ง น่าจะบอกกล่าวได้เป็นอย่างดีถึงความยิ่งใหญ่ของแฟรงเกนสไตน์ ตัวละครในตำนานที่ทำให้หลายคนขนพองสยองขวัญเมื่อเอ่ยถึง และด้วยความเป็นตำนานเช่นนี้ ก่อนจะไปปิดเมืองล่าโจร ผมจึงขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรื่องราวนี้สักเล็กน้อย
ความเป็นมาเป็นไปของแฟรงเกนสไตน์นั้นนับว่าน่าสนใจมากนะครับ เพราะต่อให้ไม่นับรวมความจริงที่ว่าร่างกายของเขาเกิดขึ้นมาจากชิ้นส่วนของศพแปดศพ แล้วช็อตด้วยไฟฟ้าทำให้เกิดมีชีวิตเป็นอสุรกายรูปร่างใหญ่โตและมีพละกำลังมหาศาล แง่มุมหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นแก่นสารสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของแฟรงเกนสไตน์ประทับใจคนดูผู้ชมก็คือเรื่องราวแห่งความทะเยอทะยานอย่างถึงที่สุดของมนุษย์ที่คิดจะยกตนขึ้นสู่สถานะแห่งพระผู้สร้าง เรื่องของวิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ถูกตีความไปต่างๆ นานา และหนึ่งในนั้นคือเขากำลังทำตัวราวกับพระเจ้าผู้ให้กำเนิดมนุษย์
นอกจากนั้น แก่นสารในส่วนของอสุรกาย (ที่ขอเรียกว่าแฟรงเกนสไตน์ตามชื่อผู้สร้างมันขึ้นมา) ยังมีความน่าสะเทือนใจอยู่สูงมาก เพราะเหตุผลแห่งการกำเนิดเกิดมีชีวิตที่ผิดแผกแตกต่างไปจากผู้อื่น ส่งผลให้แฟรงเกนสไตน์รู้สึกเดียวดายแปลกแยกจากโลกทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ซ้ำมิหนำ ผู้สร้างเขาขึ้นมาก็ดูจะเกรงกลัวเขาและปล่อยปละละทิ้งเขาให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกแปลกแยกเดียวดายของแฟรงเกนสไตน์สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดเมื่อเขาขอร้องให้วิคเตอร์สร้างคนแบบเขาขึ้นมาอีกหนึ่งคนเพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าโลกนี้มันโดดเดี่ยวว่างเปล่าจนเกินไป แต่คำขอของเขาก็ดูจะไร้ความหมาย และนั่นก็จึงนำไปสู่เหตุการณ์เลวร้ายตามมา แรงขับแห่งการฆ่าคนรักของวิคเตอร์ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกไปจากความพยายามของแฟรงเกนสไตน์ที่จะส่งเสียงบอกให้วิคเตอร์ได้สำนึกรู้ว่าความโดดเดี่ยวเดียวดายไร้คนเคียงข้างนั้น มันโหดร้ายปานใด
ประเด็นเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่คิดจะเป็นพระผู้สร้าง ถูกหนังอย่าง I, Frankenstein นำมาขยายและตีความต่ออยู่พอสมควร อย่างน้อยที่สุด การที่หนังตั้งชื่อแฟรงเกนสไตน์ว่า “อดัม” ก็สามารถโยงใยไปถึง “มนุษย์คนแรก” ตามพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ได้ ขณะเดียวกัน ประเด็นเกี่ยวกับความรู้สึกแปลกแยกเดียวดาย ก็ถูกถ่ายเทเข้ามาสู่ตัวตนของ “อดัม” ผ่านพฤติกรรมและความคิดที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าใครเหล่านั้นจะบอกว่าตัวเองเชื่อถือได้แค่ไหนก็ตามที อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่แฟรงเกนสไตน์ในแบบที่เราคุ้นเคย I, Frankenstein นำเรื่องราวของอสุรกายตนนั้นมาเพียงบางส่วนเสี้ยวแล้วแต่งเพิ่มเติมเรื่องเข้าไปชนิดที่เรียกได้ว่าออกทะเลไปไกลมาก จากที่วิคเตอร์เคยพายามทำตัวเลียนแบบพระเจ้า มาถึงหนังเรื่องนี้ก็มี “เนเบอเรียส” ที่พยายามจะเลียนแบบวิคเตอร์อีกต่อหนึ่ง และนำไปสู่สงครามปิดเมืองล่าไล่ล่าแฟรงเกนสไตน์เพื่อนำมาเป็นต้นแบบกรณีศึกษาในการสร้างกองกำลังปีศาจ...
หนังเรื่องนี้ทำเงินไม่มากนักในประเทศบ้านเกิด ขณะที่คำวิจารณ์ก็ออกไปทางสนับสนุนให้อยู่บ้านมากกว่าเดินไปโรงหนัง สำหรับคนที่ได้ดูก็คงจะเข้าใจในเหตุผล หนังไม่มีส่วนไหนที่พอจะพูดได้ว่าสามารถนำเอามาโม้ต่อได้อย่างภาคภูมิใจ ผมไม่อยากจะทำบาปผิดศีลข้อที่สี่ด้วยการบอกว่าตัวเองสนุกกับหนังเรื่องนี้มาก ผมรู้สึกว่าการเอาแฟรงเกนสไตน์มาแต่งเรื่องแต่งราวเข้าไปใหม่ครั้งนี้มันไม่เวิร์ค คือทำให้ตัวละครเขย่าขวัญที่น่าขนพองสยองเกล้าเมื่อกล่าวถึง กลายเป็นนักบู๊ที่ดูเหมือนจะเก่งแต่ก็ไม่เก่ง สรุปสั้นๆ ว่าหนัง “รื้อ” เรื่องราวเดิมของแฟรงเกนสไตน์ แล้วก็ไม่ได้ “สร้าง” เสน่ห์ใหม่ให้กับตัวละครตัวนี้เลย
แต่เชื่อเถอะครับว่า นี่แหละคือหนังที่จะทำเงินในบ้านเรา สังเกตได้จากการให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุดต่อหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่โปสเตอร์เบ้อเริ่มเทิ่มหน้าโรงหนัง หากแต่โรงฉายรอบฉายก็เรียกได้ว่าถูกแฟรงเกนสไตน์กระชับพื้นที่ครอบครองไปหมด หนังอย่าง Bad Grandpa, Dallas Buyers Club กลายเป็นหนังตกอับที่แทบจะไม่มีโรงให้ฉาย แต่เอาล่ะ ในขณะที่แฟรงเกนสไตน์ “ปิดโรงล่าเงิน” อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อาทิตย์นี้ก็ยังมีหนังเข้าใหม่อีกเรื่องอย่าง “ปิดเมืองล่าโจร” หรือ Firestorms
นี่คือการกลับมาอีกครั้งของดาราฮ่องกงผู้ยืนยงในวงการมานานหลายสิบปีอย่าง “หลิวเต๋อหัว” ซึ่งรับบทบาทเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องเจอกับงานบิ๊ก เมื่อพวกคนร้ายไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา กระทำการชั่วร้ายกันกลางวันแสกๆ ตำรวจฮ่องกงจึงต้องนำกองกำลังเข้าล้อมจับ อันนำไปสู่ปฏิบัติการปิดเมืองล่าโจรที่แทบจะระเบิดเมืองทั้งเมืองให้แหลกเป็นจุณ
“ปิดเมืองล่าโจร” เป็นหนังฮ่องกงเรื่องแรกที่ฉายในระบบสามมิติ โดยภาพรวม ผลงานชิ้นนี้ยังคงเดินตามขนบของหนังจากเกาะฮ่องกงส่วนใหญ่ นั่นก็คือพูดถึงการไล่ล่ามาเฟียหรือจับตัวคนร้าย ความสนุกประการหนึ่งของหนังทำนองนี้มักจะอยู่ที่ตัวสถานการณ์ซึ่งสามารถจะเกิดการพลิกแพลงแปลงเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แน่นอนว่า หนังเรื่องนี้ทำได้ดีระดับหนึ่งกับฉากแอ็กชั่นที่มีให้ลุ้นระทึก โดยเฉพาะฉากที่หลิวเต๋อหัวไล่ล่าเพื่อนเก่าในตึกหลังนั้นแล้วไปเตะต่อยกันบนตะแกรงที่ห้อยต่องแต่งระหว่างตึกสองตึก และนอกจากนั้น ดูหนังจะพยายามอย่างยิ่งยวดในการอวดโชว์เอฟเฟคต์ตูมตามโครมครามราวกับหนังโลกหายนะจำพวก “2012” โดยเฉพาะฉากแอ็กชั่นส่งท้ายที่ทำให้การปิดเมืองล่าโจรกลายเป็นปฏิบัติการที่น่าจะพูดได้ว่าวินาศสันตะโรที่สุดเท่าที่หนังฮ่องกงแนวนี้เคยมีมา
ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าจะเอาความมันส์อย่างเดียวไม่เกี่ยวกับความเนี้ยบของบทหนัง ผมคิดว่าก็พอจะหวังได้ เนื่องจากที่ผ่านมา เราจะพบว่ามีหนังฮ่องกงหลายต่อเรื่องที่เกี่ยวกับปฏิบัติการตำรวจจับโจรและเล่นท่ายากหรือเล่นกับพล็อตและโครงสร้างเรื่องที่ซับซ้อนได้ยอดเยี่ยม อย่างพวก Infernal Affair, Accident หรือ Overheard ขณะที่ Firestorm ก็มีความพยายามที่จะเล่นกับความซับซ้อนแบบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้คะแนนกันจริงๆ ส่วนที่ดีที่สุดของงานชิ้นนี้กลับเป็นเรื่องเรียบๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ที่เกี่ยวข้องกับคู่ขัดแย้งระหว่างธรรมะกับอธรรม
หนังว่าด้วยตำรวจกับโจรที่เย้ยกฎหมายอย่างลอยหน้าลอยตาและทำทุกสิ่งอย่างแบบไม่เกรงฟ้ากลัวดิน และเนื่องจากรู้สึกว่าถูกหยามหมิ่นในเกียรติศักดิ์ศรี ทำให้ตำรวจลุกขึ้นมาทำบางอย่างอันนำไปสู่การล้างบางเหล่าร้าย หนังแบ่งขั้วแบ่งข้างค่อนข้างชัดกับปฏิบัติการตำรวจจับโจร แต่กระนั้นก็ยังมีมุมที่สลับซับซ้อนซ่อนอยู่บางๆ อันว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านจากด้านมืดไปสู่สว่าง และการพลิกข้างจากดีไปสู่เลว ของตัวละคร
ไม่ว่าฝ่ายร้ายหรือฝ่ายดี ดูเหมือนเราจะมีวินาทีที่ท้าทายต่อการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งหนึ่งใดอยู่เสมอ สิ่งหนึ่งซึ่งหนังส่งเสียงบอกก็คือ อย่าคิดเพียงแค่ว่าอยู่ฝ่ายเลวแล้วจะต้องจมปลักอยู่เช่นนั้นตลอดไป เพราะชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงได้ ขณะเดียวกัน อยู่ฝ่ายดีแล้วก็อย่าเพิ่งวางใจว่าจะไม่มีอะไรยั่วเย้าให้คุณก้าวไปสู่การทำความเลว ชีวิตมันพลิกขั้วสลับข้างได้ตลอดเวลา คำถามก็คือว่าจิตใจของคุณมั่นคงหนักแน่นเพียงพอหรือเปล่า เท่านั้นเอง