ลองจินตนาการเล่นๆ กันนะครับ
หากคุณเป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนไม่มากของมนุษย์ชาติที่ถูกเลือกให้รอดรอดชีวิตจากความหนาวเย็นของโลกที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ
แต่คุณจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยการที่ต้องขึ้นไปอาศัยบนขบวนรถไฟที่วิ่งไปโดยไม่มีวันหยุด
บนรถไฟคุณและเพื่อนๆ ถูกกำหนดให้เป็นคน "ท้ายขบวน" ถูกกักกันให้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรไปจากขุมนรก ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มีอนาคต ฯ
อย่างเดียวที่คุณจะได้รับก็คือแท่งโปรตีนเอาไว้สำหรับกินเพื่อประทังให้ชีวิตมีลมหายใจอยู่ไปวันๆ ในขณะเดียวกันคุณก็รับรู้ได้ว่าชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในระดับกลางขบวนและหัวขบวนนั้นต่างล้วนมีชีวิตที่สุขสบายขนาดไหน
18 ปีที่คุณใช้ชีวิตบนรถไฟโอกาสในการเปลี่ยนแปลงที่คุณและคนท้ายขบวนใฝ่ฝันถึงก็มีเข้ามาหา
คุณจะทำอย่างไร...?
สำหรับ "เคอร์ติส" ในภาพยนตร์เรื่อง Snowpiercer (ยึดด่วนวันสิ้นโลก) เขาไม่รีรอเลยที่จะรีบไขว่คว้ามันเอาไว้
หนังมาพร้อมกับคำบรรยายโฆษณาว่านี่คือภาพยนตร์แอ็คชั่น-ไซไฟเรื่องยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี 2013 เรื่องราวของรถไฟแห่งอนาคต ที่รักษามนุษย์กลุ่มสุดท้ายของโลกเอาไว้
...เรื่องราวของ Snowpiercer เกิดขึ้นในปีคริสตศักราช 2031 กับความพยายามของมนุษย์ในการหยุดยั้งวิกฤตโลกร้อนแต่กลับกลายเป็นว่าทำให้โลกเรากลับเข้าสู่ยุคน้ำเแข็งอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ และพืชชุดสุดท้ายของโลกล้วนมีชีวิตได้บนขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า "สโนว์เพียซเซอร์" ซึ่งถูกออกแบบให้วิ่งทะยานไปตามรางวนเวียนอย่างไม่มีวันหยุด
ว่าไปแล้วรถไฟขบวนนี้เองก็ไม่ต่างอะไรไปจากโลกใบหนึ่งซึ่งมีผู้คนหลากชาติ หลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายชนชั้น หลากหลายฐานะความเป็นอยู่ มาอยู่รวมกัน เพียงแต่คนที่ชี้นิ้วได้ว่าใครจะอยู่ ณ ส่วนไหนของขบวนหาใช่ "พระเจ้า" หรือ "เวรกรรม" หากแต่เป็นคนที่คิดค้นหัวรถจักรคนนี้ขึ้นมาที่ชื่อ "วิลฟอร์ด" (เอด แฮร์ริส) Ed Harris
Snowpiercer ดัดแปลงมาจากนิยายภาพเรื่อง Le Transperceneige ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส
หนังกำกับโดยผู้กำกับชาวเกาหลี "บองจุนโฮ" ที่ได้นักแสดงหนุ่ม "คริส อีแวนส์" จาก The Avengers มารับบท "แกนนำ" ฝูงชนคนท้ายขบวนรถไฟ นอกจากนี้ผู้กำกับหนุ่มก็ยังหนีบเอาดาราจาก THE HOST หนังที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเกาหลีใต้รวมถึงกวาดรางวัลมาหลายต่อหลายรางวัลอย่าง "ซองคังโฮ" มารับบท "นัมกุง มินซู" ผู้คิดค้นระบบรักษาความปลอดภัยของรถไฟขบวนนี้ด้วย
ก่อนดูหนังก็คิดไว้แล้วครับว่าสำหรับผู้กำกับคนนี้คงมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า
Snowpiercer คือหนังเกาหลีที่เอาดาราฮอลลีวูดมาแสดงครับ อารมณ์เหมือนกับดูหนัง 3 เรื่องปนกันอย่างไรอย่างนั้นไล่ไปตั้งแต่หนังฮอลลีวูดอย่าง hunger games รวมถึงหนังเกาหลีอย่าง THE HOST และ Oldboy
ใครที่ชอบในเรื่องของประเด็นการเสียดสีเรื่องชนชั้นทางสังคม และชื่นชอบในการตีความในความคิดรู้สีกนึกคิดของตัวละครผมว่าน่าจะถูกใจกับหนังเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว
ที่ชอบมากก็คือจังหวะในการเล่าเรื่องซึ่งทำให้เราได้ลุ้นตลอดเวลายามที่ตัวเอกของเราค่อยๆ ย่างก้าวเดินจากขบวนไหนึ่งปสู่ขบวนถัดไป
แต่ละครั้งเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเฉลยออกมาโดยเฉพาะเมื่อเขาเข้าไปสู่หัวรถจักรแล้วนั้นต้องบอกว่าอึ้งครับ
โดยเฉพาะตอนจบ ที่ต้องอุทานในใจว่า เอากันอย่างนี้เลยหรือ?
คำถามหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือหากคุณมีโอกาสกลายเป็นพระเจ้าที่มีอำนาจจัดระเบียบของโลก (รถไฟ) คุณจะรับมันไว้หรือไม่ ทั้งที่สิ่งที่คุณทำคือความปรารถนาดีในการรักษา "ความสมดุล" ในปริมาณประชากร เพื่อดำรงไว้ซึ่งการมีสิ่งมีชีวิตอาจจะไม่ต่างอะไรไปจากระบบที่เราเรียกกันว่าคอมมิวนิสต์
สิ่งที่น่าจะเป็นส่วนด้อยคงจะเป็นเรื่องของความมีเหตุมีผลรวมถึงความน่าเชื่อถือครับ ซึ่งจะว่าไปแล้วแทบไม่ส่งผลอะไรเลยกับภาพรวมของหนังเลย
เอาเป็นว่าใครที่ชอบความเครียด ความหดหู่ ความกดดัน รวมถึงฉากแอ็กชั่นที่ค่อนข้างจะดิบเถื่อน ไม่ควรจะพลาดเป็นอันขาดครับ
หากคุณเป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนไม่มากของมนุษย์ชาติที่ถูกเลือกให้รอดรอดชีวิตจากความหนาวเย็นของโลกที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ
แต่คุณจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยการที่ต้องขึ้นไปอาศัยบนขบวนรถไฟที่วิ่งไปโดยไม่มีวันหยุด
บนรถไฟคุณและเพื่อนๆ ถูกกำหนดให้เป็นคน "ท้ายขบวน" ถูกกักกันให้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรไปจากขุมนรก ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มีอนาคต ฯ
อย่างเดียวที่คุณจะได้รับก็คือแท่งโปรตีนเอาไว้สำหรับกินเพื่อประทังให้ชีวิตมีลมหายใจอยู่ไปวันๆ ในขณะเดียวกันคุณก็รับรู้ได้ว่าชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในระดับกลางขบวนและหัวขบวนนั้นต่างล้วนมีชีวิตที่สุขสบายขนาดไหน
18 ปีที่คุณใช้ชีวิตบนรถไฟโอกาสในการเปลี่ยนแปลงที่คุณและคนท้ายขบวนใฝ่ฝันถึงก็มีเข้ามาหา
คุณจะทำอย่างไร...?
สำหรับ "เคอร์ติส" ในภาพยนตร์เรื่อง Snowpiercer (ยึดด่วนวันสิ้นโลก) เขาไม่รีรอเลยที่จะรีบไขว่คว้ามันเอาไว้
หนังมาพร้อมกับคำบรรยายโฆษณาว่านี่คือภาพยนตร์แอ็คชั่น-ไซไฟเรื่องยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี 2013 เรื่องราวของรถไฟแห่งอนาคต ที่รักษามนุษย์กลุ่มสุดท้ายของโลกเอาไว้
...เรื่องราวของ Snowpiercer เกิดขึ้นในปีคริสตศักราช 2031 กับความพยายามของมนุษย์ในการหยุดยั้งวิกฤตโลกร้อนแต่กลับกลายเป็นว่าทำให้โลกเรากลับเข้าสู่ยุคน้ำเแข็งอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ และพืชชุดสุดท้ายของโลกล้วนมีชีวิตได้บนขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า "สโนว์เพียซเซอร์" ซึ่งถูกออกแบบให้วิ่งทะยานไปตามรางวนเวียนอย่างไม่มีวันหยุด
ว่าไปแล้วรถไฟขบวนนี้เองก็ไม่ต่างอะไรไปจากโลกใบหนึ่งซึ่งมีผู้คนหลากชาติ หลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายชนชั้น หลากหลายฐานะความเป็นอยู่ มาอยู่รวมกัน เพียงแต่คนที่ชี้นิ้วได้ว่าใครจะอยู่ ณ ส่วนไหนของขบวนหาใช่ "พระเจ้า" หรือ "เวรกรรม" หากแต่เป็นคนที่คิดค้นหัวรถจักรคนนี้ขึ้นมาที่ชื่อ "วิลฟอร์ด" (เอด แฮร์ริส) Ed Harris
Snowpiercer ดัดแปลงมาจากนิยายภาพเรื่อง Le Transperceneige ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส
หนังกำกับโดยผู้กำกับชาวเกาหลี "บองจุนโฮ" ที่ได้นักแสดงหนุ่ม "คริส อีแวนส์" จาก The Avengers มารับบท "แกนนำ" ฝูงชนคนท้ายขบวนรถไฟ นอกจากนี้ผู้กำกับหนุ่มก็ยังหนีบเอาดาราจาก THE HOST หนังที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเกาหลีใต้รวมถึงกวาดรางวัลมาหลายต่อหลายรางวัลอย่าง "ซองคังโฮ" มารับบท "นัมกุง มินซู" ผู้คิดค้นระบบรักษาความปลอดภัยของรถไฟขบวนนี้ด้วย
ก่อนดูหนังก็คิดไว้แล้วครับว่าสำหรับผู้กำกับคนนี้คงมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า
Snowpiercer คือหนังเกาหลีที่เอาดาราฮอลลีวูดมาแสดงครับ อารมณ์เหมือนกับดูหนัง 3 เรื่องปนกันอย่างไรอย่างนั้นไล่ไปตั้งแต่หนังฮอลลีวูดอย่าง hunger games รวมถึงหนังเกาหลีอย่าง THE HOST และ Oldboy
ใครที่ชอบในเรื่องของประเด็นการเสียดสีเรื่องชนชั้นทางสังคม และชื่นชอบในการตีความในความคิดรู้สีกนึกคิดของตัวละครผมว่าน่าจะถูกใจกับหนังเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว
ที่ชอบมากก็คือจังหวะในการเล่าเรื่องซึ่งทำให้เราได้ลุ้นตลอดเวลายามที่ตัวเอกของเราค่อยๆ ย่างก้าวเดินจากขบวนไหนึ่งปสู่ขบวนถัดไป
แต่ละครั้งเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเฉลยออกมาโดยเฉพาะเมื่อเขาเข้าไปสู่หัวรถจักรแล้วนั้นต้องบอกว่าอึ้งครับ
โดยเฉพาะตอนจบ ที่ต้องอุทานในใจว่า เอากันอย่างนี้เลยหรือ?
คำถามหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือหากคุณมีโอกาสกลายเป็นพระเจ้าที่มีอำนาจจัดระเบียบของโลก (รถไฟ) คุณจะรับมันไว้หรือไม่ ทั้งที่สิ่งที่คุณทำคือความปรารถนาดีในการรักษา "ความสมดุล" ในปริมาณประชากร เพื่อดำรงไว้ซึ่งการมีสิ่งมีชีวิตอาจจะไม่ต่างอะไรไปจากระบบที่เราเรียกกันว่าคอมมิวนิสต์
สิ่งที่น่าจะเป็นส่วนด้อยคงจะเป็นเรื่องของความมีเหตุมีผลรวมถึงความน่าเชื่อถือครับ ซึ่งจะว่าไปแล้วแทบไม่ส่งผลอะไรเลยกับภาพรวมของหนังเลย
เอาเป็นว่าใครที่ชอบความเครียด ความหดหู่ ความกดดัน รวมถึงฉากแอ็กชั่นที่ค่อนข้างจะดิบเถื่อน ไม่ควรจะพลาดเป็นอันขาดครับ