xs
xsm
sm
md
lg

ระห่ำ โป๊ โลว์เกรด เรตอาร์ : นายเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ‘ริดดิก’

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


มองอย่างตรงไปตรงมา นี่ไม่ใช่เพียงแค่การกลับมาอีกครั้งหนึ่งของหนุ่มหัวทุยจอมอึดผู้สามารถมองเห็นในความมืด ซึ่งรู้จักกันในนาม “ริดดิก” หากแต่คือการพลิกกลับไปสู่ตัวตนดั้งเดิมที่เคยหล่นหายไปในภาคที่สองด้วย อย่างน้อยที่สุด การแอ่นอกรับกับเรตอาร์ แทนที่จะเป็นเรตเด็กๆ อย่าง PG 13 เหมือนกับภาคที่แล้ว ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณได้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ริดดิกคนเดิม” กลับมาแล้ว

เหมือนกับที่แฟนๆ คงทราบกันดีครับว่า โดยพื้นฐานของริดดิกตั้งแต่ภาคแรกอย่าง Pitch Black “ทาง” ของหนังถูกจัดวางให้เป็นงานที่ไม่ได้เน้นความเนี้ยบอะไรมาก ทั้งในเชิงโปรดักชั่น ซีจีพอประมาณ ไปจนกระทั่งเรื่องบทและคาแรกเตอร์ตัวละคร พูดง่ายๆ ก็คือมันเป็นหนังที่เอียงไปทางเกรดบีทุนต่ำ เน้นความระห่ำโหดโคตรอึดของตัวเอก ซึ่งมุ่งตอบสนองความบันเทิงเป็นหลักใหญ่ใจความ แต่เมื่อหนังทำเงินได้มากเกินตัว สตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่างยูนิเวอร์แซลก็มามองอย่างสนใจพร้อมกับนำไปสร้างภาคสอง The Chronicle of Riddick ซึ่งไม่เพียงลงเอยด้วยการเป็นหนังภาคต่อที่ขาดทุนยับ หากแต่ยังถูกสับเละไม่มีชิ้นดีอีกด้วย

เหตุผลเรียบง่ายที่หลายคนออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันก็คือ เมื่อหนังอยู่ในมือของสตูดิโอ ความคาดหวังที่จะทำให้เป็นมีฟอร์มก็เข้าสิง หนังมีการลงทุนสูง (จาก 23 ล้านเดอลลาร์ในภาคหนึ่ง กลายเป็น 105 ล้านในภาคสอง) อีกทั้งปรับเปลี่ยนบรรยากาศอารมณ์ไปจนไกลสุดกู่เพื่อให้ดูเป็นหนังไซไฟงานสร้างอลังการ ดึงดาราระดับเทพมาเล่น อย่างจูดี้ เดนช์ และบทหนังที่เหมือนจะพยายามทำให้ดูฉลาดขึ้น (แต่ดูแล้วน่าจะเป็นฉลาดแบบหลุดโลกเกินไป) และเหนืออื่นใด การตั้งธงว่าหนังต้องได้เรต PG 13 นั้นเปรียบเสมือนมีดปลายแหลมที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง แน่นอนว่า สตูดิโอต้องการได้เรตนี้ด้วยเหตุผลทางการตลาดที่จะทำให้สามารถกวาดต้อนคนดูได้เยอะขึ้น แต่คงจะลืมคำนึงถึงเหตุผลไปข้อหนึ่งว่า ริดดิกนั้นเกิดมาจากเรตอาร์ และเกิดมาเพื่อเรตนี้จริงๆ

หลังจากยูนิเวอร์ซัลหัวใจสลายกับรายได้ภาคสองจนต้องขอบาย (ลงทุน 105 ล้าน ได้กลับมา 57 ล้าน) ริดดิกก็เงียบหายเหมือนว่าจะไม่ได้สร้างภาคต่อ แต่ใครเลยจะรู้ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้กำกับอย่างเดวิด ทูอี้ กับนักแสดงตัวหลักของเรื่อง “วิน ดีเซล” ต่างถวิลหารสชาติความสำเร็จในวันวานและปรึกษาหาทางกันตลอดเพื่อให้ได้คลอดโปรเจคต์ภาคสาม และอีกแปดปีต่อมา เราก็ได้เห็นการคัมแบ็กของฮีโร่นัยน์ตาสีฟ้าผู้นี้ ใน Riddick ที่มีชื่อของยูนิเวอร์แซลเป็นเพียผู้จัดจำหน่าย ขณะที่ตัวหนังได้รับอนุมัติเรตอาร์เหมือนกับภาคแรก

หนุ่มหัวทุย “วิน ดีเซล” รับบทริดดิกคนเดิม ต้องยอมรับว่าหลายปีที่ผ่าน หรืออย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่หนังรถแข่งอย่าง Fast & Furious ดับเครื่องชนขนรายได้ถล่มทลายทั่วโลก วิน ดีเซล ก็กลายเป็นดารายอดนิยมมากที่สุดคนหนึ่ง ผมเชื่อว่าหลายคนที่ไปดูหนังเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นแฟนริดดิกอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าก็คือเป็นแฟนคลับของวิน ดีเซล

ถ้าคุณรักวิน ดีเซล เป็นทุนเดิม ในริดดิกภาคสาม คุณจะได้เห็นเขาโชว์อ๊อฟแบบเต็มๆเพราะเกือบครึ่งชั่วโมงแรกของเรื่อง หนังแทบจะให้เวลาคนดูได้อยู่กับวิน ดีเซล แบบให้เบื่อกันไปข้าง หนังออกสตาร์ทด้วยสถานการณ์ซึ่งริดดิกถูกปล่อยลอยแพบนดาวร้างไร้นามดวงหนึ่ง ซึ่งนอกจากสภาพอากาศกลางทะเลทรายอันแล้งร้อนจะชวนให้คิดว่าการลงไปนอนในหลุมฝังศพ น่าจะประเสริฐกว่าการมีชีวิต ริดดิกยังพบว่าตัวเขาเองต้องเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์ประหลาดที่ยากจะต่อกร ความล้าอ่อนโรยแรงและแทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ส่งผลให้ริดดิกตัดสินใจทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ นั่นก็คือส่งสัญญาณเรียกหาบรรดานักล่าค่าหัวให้นำยานลงจอด ณ ดาวร้างแห่งนี้ แต่นั่นกลับดูเหมือนว่าจะทำให้ริดดิกต้องต่อสู้กับศึกหลายด้านขึ้น แทนที่จะได้รับการแบ่งเบาภาระที่เผชิญอยู่

อันที่จริง การหวังความช่วยเหลือดูจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วสำหรับคนอย่างริดดิก เพราะถ้ารู้จักเขาดี จะพบว่าเขานั้นไม่ต่างอะไรกับ “คนนอก” ที่โดดเดี่ยวแปลกแยกมาแต่ไหนแต่ไร ความปรารถนาดีจากผู้อื่น เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ

ในช่วงแรกของหนัง นำเสนอให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงสภาวะนี้ คำพูดเหมือนคนที่บ่นพร่ำรำพึงกับตัวเองเกี่ยวกับความจริงอันอุบาทว์บัดซบของโลกและผู้คน น่าจะสะท้อนตัวตนและปมชีวิตของเขาได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ หนังมีคำว่า Rule the Dark เป็นสร้อยห้อยท้ายชื่อหลัก ก็บอกเป็นนัยๆ เรื่องราวในหนังที่จะอยู่กับความจริงอันมืดหม่น ส่วนงานภาพก็เล่นกับแสงที่ค่อนข้างมืดและอึมครึมตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งชวนให้รู้สึกถึงห้วงเวลาอันมืดมิดอนธการ ยุคที่คนพาลมีอำนาจ ดุจเดียวกับสถานการณ์ในเรื่องซึ่งเหล่าคนเลวเหิมเกริม

หนังให้วิน ดีเซล เล่นคนเดียวเกือบครึ่งชั่วโมงแรก เหมือนกับที่เราเคยเห็นวิลล์ สมิธ ในหนังอย่าง I Am Legend หรือแม้แต่โลแกนใน The Wolverine เป็นการ “วัน แมน โชว์” เพื่อสะท้อนความโดดเดี่ยวและสภาวะเลวร้ายที่ตัวละครต้องผจญ ก่อนจะนำเข้าสู่ความวุ่นวนน่าปวดหัวที่มาพร้อมกับตัวละครระดับกเฬวรากซึ่งไม่มีความฝันอะไรในชีวิต นอกไปจากการได้เด็ดหัวของริดดิกให้หลุดจากบ่า

บอกกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ โดยส่วนตัว ผมรู้สึก “กลางๆ” กับหนังภาคนี้ คือไม่ได้ชอบมาก แต่ก็ไม่ถึงกับห่วยจนอยากลุกออกจากโรง Riddick มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เรายังนั่งอยู่กับหนังต่อไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งจบ อารมณ์ของหนังนั้นดูใกล้เคียงกับ Pitch Black หนังได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเก่ายุคก่อนอย่าง Alien ซึ่งผู้กำกับเขาหลงใหลคลั่งไคล้และเติบโตมาพร้อมกับมัน บรรยากาศที่ชวนพิศวงสงสัย ไม่รู้ว่าตนเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร คือหัวใจของ Pitch Black ที่ส่งต่อมาจากเอเลี่ยนภาคแรกของริดลี่ย์ สก็อตต์ ในภาคที่สามนี้ ไอ้หนุ่มหัวทุยก็กำลังลุยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กันนั้น คือไม่รู้ว่าตนเองกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดกันแน่

เสน่ห์อีกอย่างของหนังที่มีอยู่ ถ้าไม่นับรวมความแอ็กชั่น ก็คืออารมณ์ขัน จากบรรดาตัวละครที่มาพร้อมกับบุคลิกบวมๆ บ๊องๆ บ้องตื้น มีความร้ายแต่ก็ดูปัญญานิ่มเกินกว่าจะน่ากลัว โดยเฉพาะตัวหัวหน้าแก๊งนักล่าค่าหัวทีมแรกที่นำยานลงจอดบนดาวร้าง เขาคือสีสันของเรื่องซึ่งช่วยให้หนังไม่จืดชืดแลมีอารมณ์ขัน ดังนั้น แม้จะมีจังหวะพอที่จะเพชฌฆาตตัวละครตัวนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หนังก็ยังเก็บเขาไว้ ทั้งนี้เพื่อความบันเทิงเริงใจของคนดู ขณะเดียวกัน บทพูดในหลายฉากก็ฟังดูชวนตลกขบขัน แบบที่เหนือความคาดหมายว่า ในสถานการณ์เช่นนั้น คนเรายังจะใช้คำพูดอะไรกันแบบนั้นได้ แต่มันทำให้หนังดูตลกอย่างที่บอก

กล่าวในมุมของเรตติ้งที่หนังได้มา ถือว่าหนังใช้เรตเรตอาร์ได้คุ้มค่าระดับหนึ่ง ความโหดชนิดที่เห็นคอหลุดจากบ่า ไปจนถึงเนื้อหนังมังสาที่เปลื้องเปลือยอย่างจะแจ้งในบางฉาก แม้ฉากเลือดสาดจะไม่มากเมื่อเทียบกับหนังอย่างพวก Machete แต่มาเชเต้นั้นแม้จะดูเลือดสาดก็จริงอยู่ ทว่าก็เราก็รู้ว่ามันดูปลอมๆ ขณะที่ริดดิกพยายามถ่ายทอดออกมาให้ค่อนข้างใกล้เคียงกับคำว่า “จริง” (Real) อย่างเช่นฉากที่คอหลุดจากบ่า ขณะที่บทพูดซึ่งเกลื่อนไปด้วยคำว่า Fu*k ก็เพียงพอต่อการเรียกสายตาของเรตอาร์ให้หันมามองได้ แต่ถึงอย่างไร โดยส่วนตัว ผมก็ยังมองว่าสำหรับการเป็นหนังเรตอาร์แล้ว Riddick ดูจะจัดอยู่ในกลุ่ม “อาร์อ่อนๆ” มากกว่า ไม่ถึงกับทำให้โลกตกตะลึงอะไรขนาดนั้น

สรุปสุดท้าย แม้ผมจะไม่ใช่แฟนคลับของริดดิกมาตั้งแต่ภาคแรก เพราะอย่าง Pitch Black กับ The Chronicle of Riddick ผมก็มาดูหลังจากที่ได้ดูภาคสามในโรงแล้ว ผมเห็นด้วยกับหลายคนที่บอกว่า ภาคแรกของริดดิกนั้นถือว่าเจ๋งที่สุด ส่วนภาคสองนั้นเจ๊งที่สุดอย่างที่รู้กัน ขณะที่ภาคสาม ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ เรื่อยๆ

เหตุผลส่วนหนึ่งนั้น คิดว่าหนังตั้งใจเกินไปที่จะกลับไปสู่ภาคแรก ขณะที่ก็มีความพยายามในการที่จะทำให้มันดูเป็นหนังดาร์กๆ แบบหนังสมัยใหม่ที่ต้องใส่ปมชีวิต (Conflict) ของตัวละครเข้ามาให้ดูซีเรียสขึงขังสไตล์หนังฮีโร่มีปม เหมือนกับที่เราเห็นตั้งแต่ต้นเรื่องว่า หนังพยายามจะเล่นกับ “ด้านลึก” (Deep) ภายในตัวตนความนึกคิดของริดดิก แต่หนังก็ไปไม่สุด เพราะพอเปิดตัวละครตัวอื่นๆ ขึ้นมา หนังก็ดูจะปล่อยวางความพยายามนั้นไปซะเฉยๆ แต่จะว่าไป นั่นแหละครับก็เป็นสไตล์อย่างหนึ่งซึ่งเรามักจะพบเห็นในหนังเกรดบีๆ คือทำทีขึงขัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้มข้นอะไรมาก

เสน่ห์จริงๆ ของริดดิกคือพระเอกขาลุย เน้นความระห่ำ อึด แต่ก็มีสมอง และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนต้องรู้สึกนึกชื่นชมในตัวตนของริดดิก ก็คือ ขณะที่ผู้คนแทบทั้งหมด พร้อมจะมองเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง กระทั่งพร้อมจะยอมทรยศได้แม้กระทั่งความคิดของตัวเอง มันก็ยังมีคนอย่างริดดิกที่ไม่พลิกลิ้นปลิ้นปล้อนและเชื่อถือได้ แน่นอน คนอย่างริดดิก อาจจะเหมือนบุคคลในนิยายมากเกินไป ที่ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดยังไง ก็สามารถเอาชัยเหนือทุกสิ่งไปได้ แม้จะมีจังหวะที่อาจพลาดพลั้งเจ็บตัวบ้าง แต่สุดท้ายก็ตายไม่เป็น แต่พูดจริงๆ เราก็อยากเห็นคนแบบนี้ในโลกความเป็นจริงกันบ้างล่ะ จริงไหม?






กำลังโหลดความคิดเห็น