ใครที่ไปดูภาพยนตร์ "White House Down" มาแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ
สำหรับผมบอกได้คำเดียวว่า "มันโคตร(เวอร์)"
หนังบอกเล่าเรื่องราวของ "จอห์น เคล" (Channing Tatum) ที่เข้าไปสัมภาษณ์งานในทำเนียบขาวเพื่อสมัครเป็นทีมอารักขาประธานาธิบดี "เจมส์ ซอว์เยอร์" (Jamie Foxx) ก่อนที่เหตุการณ์จะจับพลัดจับผลูให้เขาต้องทำหน้าที่ปกป้องตัวประธานาธิบดีจริงๆ จากเหล่าตัวร้ายทั้งหลายที่หวังเข้ามายึดทำเนียบด้วยจุดประสงค์อะไรหลายๆ อย่าง
จะว่าไปแล้ว "White House Down" ก็เป็นหนังที่เดินไปตามสูตรหนังแอ็กชันส่วนใหญ่ของฮอลลีวูดทั้งหลายเลยครับ เช่น พระเอกที่ต้องมีปัญหาชีวิตอะไรสักอย่าง ไม่เรื่องคนรักก็ครอบครัว เกิดเหตุบังเอิญให้ต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ตัวร้ายที่มักจะเป็นทหาร(แก่)ผู้ยึดติดกับสงครามการรบ หรือว่าได้รับบาดเจ็บ ได้รับความเจ็บปวดจากการเสียสละตนเองเพื่อประเทศชาติ ฯ
ดูไปครึ่งชั่วโมง(ซึ่งถือเป็นการปูเรื่องที่ค่อนข้างจะเนิบนาบและน่าเบื่อไปสักหน่อย) ผมว่าทุกคนก็คงจะเดาทางหนังออกหมดแหละครับว่าหนังจะเดินไปในทิศทางใด ตัวละครตัวไหนถูกกำหนดให้รับหน้าที่อะไร ใครเป็นพระเอก ใครเป็นตัวร้าย ใครเป็นตัวตลก ใครเป็นผู้ช่วยพระเอก จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ใครจะตายบ้าง ใครจะรอดบ้าง ฯ รวมถึงท้ายที่สุดที่ว่าเรื่องจะต้องจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอน
แต่ด้วยความที่รู้ทั้งรู้นี่แหละครับที่ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถของตัวผู้กำกับเองว่าจะทำหนังออกมาอย่างไรให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ ตลอดจนเชื่อในเหตุผล(ที่แทบจะไม่มีเหตุผล)ที่ถูกใส่เข้ามาในหนัง กระทั่งเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินลุ้นไปกับเรื่องราวที่ดำเนินไป
ตรงนี้ต้องยอมรับว่าผู้กำกับอย่าง "โรแลน เอมเมอร์ริช" เอาอยู่ครับ
โดยเฉพาะการจับจังหวะอารมณ์ของหนังที่ทำให้ดูแล้วสนุก น่าติดตาม ผมว่าแกเป็นคนที่เก่งทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกที่ไม่ได้ทำให้หนังดูเลอะเทอะ บทสนทนาเท่ห์ๆ ที่ฟังแล้วไม่รู้สึกอี๋ หรือแม้กระทั่งเรื่องเซอร์ไพรส์ในขณะที่เรื่องราวดูเหมือนจะคลี่คลายไปแล้ว
ซึ่งถ้ามองไปถึงผลงานในอดีตของเขาอย่าง ID4, The Day after Tomorrow และ 2012 ก็ยิ่งตอกย้ำในลายเซ็นแนวทางการทำหนังของเขาในรูปแบบที่ว่านี้ได้เป็นอย่างดี
ระดับการทำลายล้างของ White House Down อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า ID4, The Day after Tomorrow และ 2012 ที่เป็นเรื่องหายนะของโลก แต่กระนั้นระดับความบู๊ล้างผลาญที่ออกมาก็ต้องบอกว่าอยู่ในระดับวินาศสันตะโรไม่แพ้กันแต่อย่างใดชนิดที่ว่าใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ "ทำเนียบขาว" อาจจะน้ำตาไหลในความเละเทะตุ้มเป๊ะของมัน
ลีลาแอ็กชันและความหล่อเท่ห์ของ Channing Tatum ทำให้รู้สึกว่าความเก่งเวอร์ของตัวละคร "จอห์น เคล" นั้นดูน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็นกองเลยครับ เช่นเดียวกับการพลิกคาแรคเตอร์มาเล่นตลกเปิ่นๆ เล็กๆ ของ Jamie Foxx ก็ดูไม่เคอะเขินแต่อย่างใด
แต่คนที่น่าจับตาก็เห็นจะเป็นดาราเด็กอย่าง "Joey King" ในบทของ "เอมีลี" ลูกสาวของพระเอกซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเธอเองก็เพิ่งจะมีหนังอย่าง "The Conjuring" (คนเรียกผี) ให้คอหนังบ้านเราได้ชมกันไป
ว่ากันถึงประเด็นเรื่องนโยบายต่อประเทศอาหรับของอเมริกาในหนังเรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในหนังไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว แต่กระนั้นมันก็เข้ากันดีเหลือเกินครับกับสถานการณ์ความเป็นจริงจากกรณีที่เกิดขึ้นกับประเทศซีเรียที่กำลังตึงเครียดอยู่ในตอนนี้
ที่สำคัญเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่าถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นมันก็คงจะมาจากประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นตำรวจโลกอย่างอเมริกา ประเทศที่เน้นนักเน้นหนาเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องสันติภาพของโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่ทำมาหากินกับอาวุธและสงครามเป็นหลักประเทศนี้แหละครับ
อ๊ะ ชักไปไกล เอาเป็นว่าแม้เหตุผลในหนังจะดูเบาโหวง แม้พระเอกจะเก่งเวอร์ แม้กราฟฟิกบางตอนจะไม่สมกับราคาทุนสร้างกว่า 150 ล้านเหรียญฯ แม้หนังจะเดาทางได้ง่าย และจะแม้อะไรหลายๆ อย่าง แต่กระนั้นโดยส่วนตัวผมยกให้ White House Down เป็นหนังแอ็กชันที่ดูสนุกเพลินๆ ที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ก็แล้วกันครับ
สำหรับผมบอกได้คำเดียวว่า "มันโคตร(เวอร์)"
หนังบอกเล่าเรื่องราวของ "จอห์น เคล" (Channing Tatum) ที่เข้าไปสัมภาษณ์งานในทำเนียบขาวเพื่อสมัครเป็นทีมอารักขาประธานาธิบดี "เจมส์ ซอว์เยอร์" (Jamie Foxx) ก่อนที่เหตุการณ์จะจับพลัดจับผลูให้เขาต้องทำหน้าที่ปกป้องตัวประธานาธิบดีจริงๆ จากเหล่าตัวร้ายทั้งหลายที่หวังเข้ามายึดทำเนียบด้วยจุดประสงค์อะไรหลายๆ อย่าง
จะว่าไปแล้ว "White House Down" ก็เป็นหนังที่เดินไปตามสูตรหนังแอ็กชันส่วนใหญ่ของฮอลลีวูดทั้งหลายเลยครับ เช่น พระเอกที่ต้องมีปัญหาชีวิตอะไรสักอย่าง ไม่เรื่องคนรักก็ครอบครัว เกิดเหตุบังเอิญให้ต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ตัวร้ายที่มักจะเป็นทหาร(แก่)ผู้ยึดติดกับสงครามการรบ หรือว่าได้รับบาดเจ็บ ได้รับความเจ็บปวดจากการเสียสละตนเองเพื่อประเทศชาติ ฯ
ดูไปครึ่งชั่วโมง(ซึ่งถือเป็นการปูเรื่องที่ค่อนข้างจะเนิบนาบและน่าเบื่อไปสักหน่อย) ผมว่าทุกคนก็คงจะเดาทางหนังออกหมดแหละครับว่าหนังจะเดินไปในทิศทางใด ตัวละครตัวไหนถูกกำหนดให้รับหน้าที่อะไร ใครเป็นพระเอก ใครเป็นตัวร้าย ใครเป็นตัวตลก ใครเป็นผู้ช่วยพระเอก จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ใครจะตายบ้าง ใครจะรอดบ้าง ฯ รวมถึงท้ายที่สุดที่ว่าเรื่องจะต้องจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแน่นอน
แต่ด้วยความที่รู้ทั้งรู้นี่แหละครับที่ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถของตัวผู้กำกับเองว่าจะทำหนังออกมาอย่างไรให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ ตลอดจนเชื่อในเหตุผล(ที่แทบจะไม่มีเหตุผล)ที่ถูกใส่เข้ามาในหนัง กระทั่งเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินลุ้นไปกับเรื่องราวที่ดำเนินไป
ตรงนี้ต้องยอมรับว่าผู้กำกับอย่าง "โรแลน เอมเมอร์ริช" เอาอยู่ครับ
โดยเฉพาะการจับจังหวะอารมณ์ของหนังที่ทำให้ดูแล้วสนุก น่าติดตาม ผมว่าแกเป็นคนที่เก่งทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกที่ไม่ได้ทำให้หนังดูเลอะเทอะ บทสนทนาเท่ห์ๆ ที่ฟังแล้วไม่รู้สึกอี๋ หรือแม้กระทั่งเรื่องเซอร์ไพรส์ในขณะที่เรื่องราวดูเหมือนจะคลี่คลายไปแล้ว
ซึ่งถ้ามองไปถึงผลงานในอดีตของเขาอย่าง ID4, The Day after Tomorrow และ 2012 ก็ยิ่งตอกย้ำในลายเซ็นแนวทางการทำหนังของเขาในรูปแบบที่ว่านี้ได้เป็นอย่างดี
ระดับการทำลายล้างของ White House Down อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า ID4, The Day after Tomorrow และ 2012 ที่เป็นเรื่องหายนะของโลก แต่กระนั้นระดับความบู๊ล้างผลาญที่ออกมาก็ต้องบอกว่าอยู่ในระดับวินาศสันตะโรไม่แพ้กันแต่อย่างใดชนิดที่ว่าใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ "ทำเนียบขาว" อาจจะน้ำตาไหลในความเละเทะตุ้มเป๊ะของมัน
ลีลาแอ็กชันและความหล่อเท่ห์ของ Channing Tatum ทำให้รู้สึกว่าความเก่งเวอร์ของตัวละคร "จอห์น เคล" นั้นดูน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็นกองเลยครับ เช่นเดียวกับการพลิกคาแรคเตอร์มาเล่นตลกเปิ่นๆ เล็กๆ ของ Jamie Foxx ก็ดูไม่เคอะเขินแต่อย่างใด
แต่คนที่น่าจับตาก็เห็นจะเป็นดาราเด็กอย่าง "Joey King" ในบทของ "เอมีลี" ลูกสาวของพระเอกซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเธอเองก็เพิ่งจะมีหนังอย่าง "The Conjuring" (คนเรียกผี) ให้คอหนังบ้านเราได้ชมกันไป
ว่ากันถึงประเด็นเรื่องนโยบายต่อประเทศอาหรับของอเมริกาในหนังเรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในหนังไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว แต่กระนั้นมันก็เข้ากันดีเหลือเกินครับกับสถานการณ์ความเป็นจริงจากกรณีที่เกิดขึ้นกับประเทศซีเรียที่กำลังตึงเครียดอยู่ในตอนนี้
ที่สำคัญเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่าถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นมันก็คงจะมาจากประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นตำรวจโลกอย่างอเมริกา ประเทศที่เน้นนักเน้นหนาเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องสันติภาพของโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่ทำมาหากินกับอาวุธและสงครามเป็นหลักประเทศนี้แหละครับ
อ๊ะ ชักไปไกล เอาเป็นว่าแม้เหตุผลในหนังจะดูเบาโหวง แม้พระเอกจะเก่งเวอร์ แม้กราฟฟิกบางตอนจะไม่สมกับราคาทุนสร้างกว่า 150 ล้านเหรียญฯ แม้หนังจะเดาทางได้ง่าย และจะแม้อะไรหลายๆ อย่าง แต่กระนั้นโดยส่วนตัวผมยกให้ White House Down เป็นหนังแอ็กชันที่ดูสนุกเพลินๆ ที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ก็แล้วกันครับ