xs
xsm
sm
md
lg

The Wolverine : ความห่วยไม่มี ความดีพอประมาณ

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


ในบรรดาฮีโร่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าวูล์ฟเวอรีนจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานสาหัสกว่าใครเพื่อน แบ็ทแมนอาจมีปมเกี่ยวกับความกลัวในใจและการสูญเสีย ดุจเดียวกับสไปเดอร์แมนที่แพ็กความขมขื่นมาเต็มห้องหัวใจ แต่ทั้งหมดนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงความปวดร้าวซึ่งเยียวยาได้ในชาตินี้ชาติเดียว ตรงกันข้ามกับฮีโร่กลายพันธุ์ผู้มีกรงเล็บเหล็กเป็นสัญลักษณ์อย่างวูล์ฟเวอรีน ซึ่งต้องหอบหิ้วแบกหามความเจ็บปวดไปตลอดกาล ราวกับว่าไม่มีวันสิ้นสุด เพราะความเป็นอมตะของตัวเอง

และไม่มากไม่มาย ผมคิดว่าหนังวูล์ฟเวอรีนภาคใหม่นี้ ก็มีความพยายามอย่างเห็นได้ชัดที่จะโฟกัสไปยังจุดอ่อนไหวและเปราะบางดังกล่าวนั้นของวูล์ฟเวอรีน และด้วยโจทย์ประมาณนี้ The Wolverine ก็พาตัวเองเดินเรื่องไปได้ตลอดรอดฝั่ง หนังเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งโลแกนหรือวูล์ฟเวอรีน ได้ช่วยเหลือนายทหารญี่ปุ่นผู้หนึ่งไว้ และหลายสิบปีต่อมา ขณะที่โลแกนกำลังจมจ่อมอยู่กับอดีตที่เหมือนฝันร้ายซึ่งตามหลอกหลอนไม่เลิกรา สาวญี่ปุ่นคนหนึ่งก็ปรากฏตัวพร้อมแจ้งข่าวเกี่ยวกับนายทหารที่โลแกนเคยช่วยไว้กำลังจะเสียชีวิต เขาอยากเจอโลแกนเพื่อกล่าวคำอำลา แม้ไม่อยากจะไป แต่ก็จำต้องไป และจากจุดหมายเพียงเพื่อดูใจ โลแกนกลับได้เจอกับเรื่องท้าทายคาดไม่ถึงคอยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ดินแดนซามูไร...

ในฐานะที่เป็นหนังซึ่งแยกตัวออกมาจากจักรวาลของเหล่า X-Men มนุษย์กลายพันธุ์ นี่ถือเป็นการฉายเดี่ยวอย่างเต็มรูปแบบของฮีโร่กรงเล็บเหล็ก หนังจึงมีเวลาตรวจเช็กทุกซอกทุกมุมที่สุมอยู่ในตัวละครอย่างวูล์ฟเวอรีนได้ค่อนข้างรอบด้าน ปุ่มปมความเจ็บปวด โดดเดี่ยวและย่ำแย่กับบาดแผลในวันวาน ถูกตวงใส่ลงไปในตัวละครโลแกนอย่างพยายามให้หนักหน่วงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเรียกเป็นความรื่นรมย์ที่ยังพอเก็บเกี่ยวได้สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ผู้นี้ก็คือ ขณะที่โลกทั้งโลกจะทำให้เขารู้สึกแปลกแยกแตกต่างอย่างไม่อาจจะต่อกันติด เขาก็ได้พบกับ “มาริโกะ” หญิงสาวที่ดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับเขา เธอจะได้ครอบครองบางสิ่งโดยชอบธรรม แต่คนอื่นก็อยากได้ด้วยจนเป็นที่มาแห่งความวุ่นวาย ดุจเดียวกับโลแกน แม้นเขาจะเจ็บปวดเพียงใดกับความเป็นอมตะ แต่คนอื่นๆ ก็ดูจะอยากได้มันเหลือเกิน

ฮิวจ์ แจ็กแมน กับการรับบทเป็นโลแกนอีกครั้ง ถูกวางตัวให้เป็น “คนนอก” หรือ “คนแปลกถิ่น” ที่เข้าไปในอีกดินแดนหนึ่ง นี่คือความตั้งใจของคนเขียนบทและผู้กำกับอย่าง “เจมส์ แมนโกลด์” อันที่จริง ผมคิดว่า โลแกนนั้นมีความเป็น “คนนอก” อยู่แล้วในตัวเอง อย่างน้อยที่สุด การเป็น “อมตะ” ของเขา ก็ทำให้เขาผิดแผกแตกต่างไปจากคนทั้งโลกอยู่แล้ว เหมือนกับซูเปอร์แมนที่ก็เป็น “คนนอก” รูปแบบหนึ่ง

เวลาเรานึกถึงการนำเสนอ “คนนอก” ในลักษณะนี้ เรามักจะคิดถึงตัวละครแบบหนึ่งซึ่งเกิดการเปลี่ยนผ่านทางด้านความรู้สึกนึกคิดหรือกระทั่งจิตวิญญาณ หลังจากการเข้าไปในดินแดนที่แปลกและแตกต่าง ความคิดความเชื่อหรือความยึดมั่นถือดีที่เคยมี มักจะพังทลายลงภายหลังที่ได้มองเห็นและเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมของผู้อื่น อย่างเช่น ทอม ครูซ ใน The Last Samurai หรือกระทั่ง “เควิน คอสต์เนอร์” ในหนัง Dances With Wolves ตัวละครเหล่านี้ล้วนมีลักษณะของความเป็นคนนอก และเป็นคนนอกที่หยิ่งทะนงในพื้นเพรากเหง้าของตัวเองจนแทบมองไม่เห็นหัวคนอื่น

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับวูล์ฟเวอรีน หนังอาจจะปีนไปไม่ถึงขั้นนั้น แม้หนังจะพยายามให้โลแกนซึมซับสัมผัสกับวิถีแห่งซามูไร แต่ก็ดูครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีพลังเพียงพอ คนนอกในมุมของโลแกน คือคนที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์บางอย่างที่ตนเองไม่อยากข้องแวะด้วย กระนั้นก็ดี ประสบการณ์นี้ก็ไม่ถึงกับสูญเปล่าเสียเวลา เพราะอย่างน้อยๆ คิดว่าหลังจากทุกอย่างจบลง วูล์ฟเวอรีนก็น่าจะได้บทเรียนอะไรบางอย่างติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย

กล่าวในภาพรวม ผมคิดว่า หนังเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงว่า มันคือหนังบล็อกบัสเตอร์ที่จะมาโกยเงินในช่วงซัมเมอร์ หนังช่วงนี้ก็เน้นอะไรที่ดูง่ายย่อยง่าย แม้ว่าจะมีประเด็นที่ค่อนข้างคมคาย แต่พลังแห่งความลึก หนังยังไปได้ไม่สุดเท่าที่ควรจะเป็น อย่างน้อยที่สุด ก็ลดพลังลงไปเยอะจากตอนที่ดูหนังตัวอย่างแล้วคิดว่ามันจะต้องเข้มข้นมากกว่านี้ แต่สุดท้าย หนังก็ขอออกลูกสบายๆ ไม่ซีเรียสมาก หากแต่ก็พอมีวิกฤติให้ตัวละครได้ฝ่าฟันระดับหนึ่ง สรุป ณ จุดนี้ก็คือ หนังตัวอย่าง “เล่นใหญ่” กว่าหนังตัวเต็มค่อนข้างเยอะ

ในขณะที่รู้สึกว่า จะเฉยก็ไม่ได้ จะรักก็ไม่เต็มที่ ผมว่าหนังภาคนี้ทำได้ดีระดับหนึ่ง และพอกล้อมแกล้มกล่าวได้ว่า ประสบการณ์ของโลแกนใน The Wolverine ก็ดูเหมือนจะใกล้ๆ เคียงๆ กับประสบการณ์ของบรูซ เวย์น ในแบ็ทแมนภาค Batman Begins อยู่สักหน่อยก็ตรงที่มันมาพร้อมกับบทเรียนสอนใจในสิ่งที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ แบ็ทแมนนั้นฟาดฟันกับความกลัวมาทั้งชีวิตและเขาก็ค้นพบแสงสว่าง ส่วนวูล์ฟเวอรีนก็มากมายด้วยบาดแผล ยิ่งอายุยืนยาวมากเท่าไหร่ แผลชีวิตยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น หาความสุขแทบไม่ได้ และทั้งหมดนั้น ก็ดูเหมือนจะส่งผลไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้เขาดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ทรมานกับฝันร้ายในวันเก่าไปเรื่อยๆ ผมจึงคิดว่าเขาควรจะขอบคุณการเดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพราะมันทำให้เขาได้ค้นพบกับปรัชญาชีวิตบางข้อที่เชื่อแน่ว่ามันจะช่วยเยียวยาอะไรบางอย่างให้กับโลแกนได้
จากมนุษย์กลายพันธุ์ที่ทนทานต่อบาดแผลทางกาย (ส่วนแผลทางใจยังไงก็ต้องเจ็บ) โลแกนถูกเหวี่ยงเข้าสู่สถานะที่บาดเจ็บได้ และไร้พลังเป็น ลึกๆ เขาโหยหา “ชีวิตธรรมดา” เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป และหนังก็จัดให้เขาแบบเบาะๆ เพื่อสัมผัสกับชีวิตที่เจ็บได้ตายเป็น ตรงนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับฮีโร่อีกหลายๆ ตัวที่ถูกดึงเข้าสู่มุมอับเพื่อพบกับบทเรียนบางอย่าง

ผมชอบที่หนังพูดเรื่องชีวิตที่มีเป้าหมาย พอๆ กับพูดเรื่องความโลภ การมีชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายถ้าต้องการจะทำให้มันมีความหมายจริงๆ แต่ความโลภที่ไม่มีวันจบสิ้น ปลายทางย่อมมีแต่หายนะ ดุจเดียวกับตัวละครหลายตัวในเรื่องซึ่งล้มลุกคลุกคลานเพราะฤทธิ์แห่งความโลภ โลภในทุกสิ่งทุกอย่างทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินศฤงคาร หรือกระทั่งความยืนนานของชีวิต โดยส่วนตัว ผมจึงขออนุญาตดู The Wolverine แบบเอาแง่คิดมากกว่าจะยึดติดกับการความเนี้ยบของหนัง เพราะว่ากันอย่างสัตย์จริง หนังยังทำได้ไม่สนุกเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหลายคนดูมาแล้วก็คงเกิดคำถามนะครับว่า ระหว่างชีวิตที่มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำประโยชน์ไว้หลายอย่าง กับชีวิตที่เป็นอมตะแต่อยู่ไปอย่างเลื่อนลอยไร้แก่นสาร อย่างไหนจะดีกว่ากัน

ถ้าเป็นอมตะแล้วต้องอยู่อย่างสัมภเวสี ร่อนเร่ไปเรื่อย บ้านช่องกลับไม่ได้ และมองหาแต่ช่องจะทำเรื่องไม่เข้าท่า ชีวิตแบบนี้มันก็ไร้ค่าเกินไปนะ ว่าไหม แต่สำหรับวูล์ฟเวอรีน คิดว่า เขาคงจะได้พบเป้าหมายอันยิ่งใหญ่แห่งการมีชีวิตอย่างแน่นอน หลังจาก End Credit ท้ายเรื่องจบลง มนุษย์กลายพันธุ์ที่โดดเดี่ยวและห่อเหี่ยวจ่อมจมอยู่กับบาดแผลวันวาน คงมีอะไรใหม่ๆ ให้ทำสนุกๆ บ้าง ภายหลังได้พบคนพันธุ์เดียวกัน (โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์และผองเพื่อน!) และนั่นก็น่าจะทำให้เขา Keep Walking อย่างรื่นรมย์ขึ้นมาบ้าง แทนที่จะเอาแต่มะงุมมะงาหรากับความทุกข์ของตัวเอง

แล้วพบกันใหม่ ใน X-Men : Days of the Future Past !!






กำลังโหลดความคิดเห็น