“แซม” คู่กรณี “โอ๋ รุ่งระวี” เปิดใจกรณีขับรบชนโอ๋ ยันไม่ใช่โรคจิตคลั่งรักดารา ตามจีบไม่ติดโมโหแล้วขับรถชน แต่ต้องการเคลียร์ปัญหาที่ค้างคามา 1 เดือน เผยคนในวงการรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับโอ๋คืออะไร แต่ไม่ขอระบุเพราะไม่อยากให้ฝ่ายหญิงเสียหาย ขอจบทุกอย่างอย่างและยินดีรับผิดชอบเรื่องรถลั่นเป็นอุบัติเหตุ
ยังไม่จบสำหรับกรณีที่ “โอ๋ รุ่งระวี บริจินดากุล” ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าถูก “แซม” ผู้จัดการส่วนตัวของ “แมทธิว ดีน” ขับรถไล่ล่าปาดซ้ายปาดขวาก่อนจะถอยชนและหนีไป ท่ามกลางกระแสข่าวว่าหนุ่มคนดังกล่าวมาตามจีบโอ๋ไม่ติดฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วยเลยขับรถพุ่งชน กลายเป็นหนุ่มโรคจิตคลั่งรักดารา ในขณะที่บางกระแสก็ว่ากัน ที่แท้แซมเป็นแฟนที่คบหากับโอ๋มาหลายปีแล้ว แต่มีเรื่องผิดใจและห่างกันไปฝ่ายชายเลยตามเคลียร์จนเกิดเรื่อง
ด้านโอ๋ก็ได้พูดถึงความสัมพันธ์กับแซมว่าเป็น “คนสนิท” ไม่รับว่าเป็นแฟนแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนอีกฝ่ายจะคิดว่าอยู่ในสถานะไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่ผ่านมาโอ๋ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ทำให้เกิดผลกระทบด้านการทำงานและชื่อเสียงของแซม ทำให้วันนี้แซมตัดสินใจไปออกรายการ “Why society” True Inside ช่อง 61 เปิดใจถึงเรื่องราวทั้งหมดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ เจตนาแค่อยากเคลียร์กับโอ๋เท่านั้น แต่อุบเรื่องความสัมพันธ์เพราะไม่อยากทำให้ผู้หญิงเสียหาย แต่สำหรับคนในวงการต่างรู้เรื่องความสัมพันธ์ของตนกับโอ๋ดี
“ไม่เคยสะกดรอยตามเขาครับ ผมทำงานทุกวันก็ยุ่งตลอดเวลา แต่วันนั้นคือประจวบเหมาะรถติดอยู่ใกล้ๆ ปัญญาวิลเลจด้วยความที่มีปัญหามานานแล้วหนึ่งเดือน เราเป็นคนที่ไม่ชอบมีปัญหาและเรามีความรู้สึกว่าเราไม่สบายใจ พอไม่ได้สบายใจเมื่อมันใกล้ก็กะไปทักทายคุยเคลียร์ปัญหาว่าตกลงมันยังไง จะเอายังไงกันก็พูดไปเลยตรงๆ”
“เราก็ทักทายบีบแตรปกติ เขาก็เห็นเรานะเราก็คุยดีๆ จอดคุยกันไหม พอเขาไม่จอดด้วยความรีบเราก็ขับรถไปดักหน้า พอดักหน้าเสร็จก็รีบจะลงไปคุยกับเขาเกียร์มันดันไม่สุดค้างที่ตัวอาร์ก็เลยถอยมากระแทกรถโอ๋หน่อยนึง เราก็เลยเดินมาดูที่รถเขาก็ขับหนีเราไป ที่เขาให้สัมภาษณ์เรื่องเคาะกระจก ผมก็เคาะเพื่อที่จะเคลียร์เรื่องรถนี่แหละครับ”
“พอเขาขับหนีเราก็ขับตามเพราะเวลาทำงานเรายังเหลือ จนกระทั่งถึงเวลาเราทำงานก็เลยเลิกตาม เราไม่ได้หนีนะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแค่อยากเคลียร์ เขาบอกว่าผมขับหนีผมไม่ได้หนีนะครับ ผมตามเขาไปจนสุดซอยถ่ายรูปไว้ด้วยครับว่าอยู่จนสุดซอยเลียบคลองสอง ผมถ่ายไว้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่ได้หนี”
“ถ้าเขามองว่าไล่ล่ามันคงเป็นความไม่เข้าใจกันมากกว่า จุดประสงค์เราไม่ได้ไล่ล่าแค่คุยกันจะเอายังไงจบก็จบกันไปเราเป็นผู้ชายพอ ถ้าเกิดมันไม่โอเคกันก็แยกย้ายกัน”
เผยไม่ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับ “โอ๋” คืออะไร จู่ๆ ฝ่ายหญิงก็หายไป 1 เดือน
“ปัญหาที่เกิดขึ้น 1 เดือนเราไม่ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรอยู่ๆ เขาก็หายไป เราก็งงติดต่อไม่ได้ก็โทรหาเกือบทุกวันครับส่งข้อความด้วยครับตามที่เขาให้สัมภาษณ์ ก็เป็นตามธรรมดาของคนเราส่งๆ แล้วไม่ได้รับอะไรกลับมาก็มีอะไรแบบนิดหน่อย เราก็ส่งไม่ดีไปก็ขอโทษในสิ่งที่ทำไปเรายินดีรับและขอโทษ”
“1 เดือนที่มีปัญหาเราไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิด ก็ไปหาเขาที่บ้านครับ แต่ไม่ได้เจอกับเขาครับไม่ได้คุยกับเขาครับ เขาก็ล็อกบ้านล็อกประตูอยู่บนบ้านและก็เรียกยามมา เราก็ทำในสิ่งๆ หนึ่งที่ต้องการก็คือมอบสิ่งๆ หนึ่งที่ต้องการแล้วก็กลับบ้าน (มอบอะไรให้) เป็นของๆ สิ่งหนึ่งก็ให้เขาไป หลังจากนั้นเราก็ไม่เข้าไปอีกเลย บ้านเราอยู่ใกล้กันครับหมู่บ้านติดกันเลย”
“แต่เรื่องความสัมพันธ์ลึกๆ ไม่อยากพูดไม่อยากประจานหรือทำให้ใครเสียหาย ตัวเราที่ออกมาวันนี้ไม่ได้ต้องการทำให้ใครเสียหายและเราไม่ใช่คนลวงโลก มันไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่ออกมาว่าเราหลอกลวงว่าเป็นผู้จัดการดารา แต่ความจริงมันก็คือความจริงครับ อะไรก็ลบได้แต่ลบความจริงไม่ได้”
“ผมไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์ไปตีกันเอาเองว่าคืออะไร ลองไปไล่ๆ ดู สิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์ ผมว่าพี่ๆ นักข่าวน่าจะรู้ดีว่ามันคืออะไร คือทางผมไม่เสียแต่ทางเขาเสีย ผมไม่ใช่ตุ๊ดที่จะไปโจมตีให้เขาแย่ ผมแมนพอก็อยากให้เขามีงาน จบกันก็จบผมก็ทำงานของผมไป”
กับข่าวที่คนมองเป็นหนุ่มคลั่งรัก โรคจิต จีบสาวไม่ติดไปขับรถชนเขา “แซม” บอกว่าน่าจะวิเคราะห์กันได้ว่าความจริงคืออะไร
“ข่าวจีบไม่ติดมันคือข่าวแรก ข่าวที่สองมันเริ่มเปลี่ยนไป ข่าวที่สามเริ่มเปลี่ยนไป ก็น่าจะวิเคราะห์ได้ ก็เอาเป็นว่ารู้จักกันมากกว่า เอาง่ายๆ ผมไม่อยากให้ใครเสื่อมเสีย ผมพูดไปผมเป็นผู้ชายมันดูแย่นะครับ สังคมไทยไม่มีใครอุ้มชูผู้ชายนะครับ ผู้หญิงอย่างเดียวไม่ว่าผู้หญิงจะถูกจะผิด”
ไม่บอกว่าทะเลาะกันเพราะเรื่องหึงหวงหรือไม่
“อันนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นจะต้องพูดกับคนอื่น ครอบครัวของผมสอนอย่าทำร้ายใคร ผมทำงานสุจริตทุกอย่างไม่เคยทำร้ายใคร ผมมีแต่ให้ ให้ไปแล้วคุณจะสานต่อหรือว่าจบก็แล้วแต่คุณ ความจริงมันมีอยู่ ซักวันความจริงมันจะต้องเกิด”
“ความสัมพันธ์ตอนนี้ก็คือเพื่อนร่วมวงการกันต่างคนต่างทำงาน (แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ..เพื่อนสนิท ?) สนิทไหม..ก็วิเคราะห์กันเอาเองก็แล้วกัน มีการโทรไปหาที่บ้านผม ซึ่งคนปกติมันไม่มีกันอยู่แล้ว คือผมแค่ให้ช้อนพี่ไปพี่ต้องไปตักกินเอง พี่รู้อยู่แล้วว่ามันคือข้าว”
ไม่พูดแต่ความสัมพันธ์ระหว่าง “โอ๋” กับ “แซม” ทุกคนต่างรู้ว่าหมดว่าเป็นอย่างไร
“รู้หมดครับ เพื่อนผม พี่น้องผม ทุกคนรับรู้หมดแต่แค่เขาไม่พูดกัน วันนี้ผมอยากจะบอกว่าผมอยากจบ ส่วนเรื่องรถผมรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะผมพลาดเอง มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นผมก็ต้องรับผิดชอบ(ไปตามง้อเขาหรือเปล่า) พยายามเคลียร์กันให้เข้าใจมากกว่าว่า ยูเป็นอะไร แต่พอถึงจุดๆ นี้เราไม่จำเป็นต้องรู้ดีกว่า แต่ก่อนหน้านี้อยากรู้เพราะเรายังคาใจถึงได้จะตามไปเคลียร์ แต่ ณ นาทีนี้ไม่คาใจแล้วจบเพราะเหนื่อย”
“ผมหยุดมานานแล้วครับ แต่ทางนั้นเขาไม่หยุดเขาเล่นข่าวออกมาเรื่อยๆ คือเราก็ไม่รู้เขาให้สัมภาษณ์ข่าวหรือนักข่าวอาจจะไปขยี้เองก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้มันมีผลกระทบมายังหน้าที่การงานของผมชื่อเสียงของผม และน้องๆ ของผม”
ไม่หวั่นถ้าหนุ่มที่ “โอ๋” คุยอยู่จะฉุนที่มาขับรถชนโอ๋
“กลัวไหว...ผมไม่กลัวเพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด ชีวิตผมกลัวอย่างเดียว กลัวคนที่ดีกว่ามีจิตใจที่ดีกว่าผม ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเพราะผมไม่ได้ทำอะไร ถ้าเขาแค้นแทนโอ๋งั้นก็เป็นที่ตัวเขาแล้วแหละ ถ้าบางสิ่งเราไม่เอาเข้ามาในใจเรา เราก็ไม่รู้เรื่องไม่กลัวครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนๆ หนึ่งจะมาแค้นอีกคนซึ่งเขาไม่รู้จักคนๆ นั้น มันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตผมตอนนี้ก็ไม่ประมาทอยู่แล้วในทุกๆ วัน”
ไม่ติดต่อกับ “โอ๋” อีกแล้วขอจบ
“เราบอกว่าหยุดไงครับ...จบ เพราะก่อนหน้านี้เราไม่สามารถติดต่อเขาได้ ไม่ว่าข้อความหรืออะไรส่งไปก็ไม่มีอะไรตอบกลับ แล้วเราจะดันทุรังเพื่อไปติดต่อเขาทำไป มีอะไรก็คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่จำเป็นต้องเรียกคู่กรณีมาเราก็รับผิดชอบค่าเสียหายเขาไป”
“ผมทำงานหลายอย่างเหนื่อยมากแต่ผมต้องมาเสียประสาทเรื่องนี้ ทางผมยินดีจบเสมอตำรวจนัดผมเข้าไปก่อนตำรวจนัดด้วยซ้ำว่าข้อเท็จจริงมันเป็นยังไง มันเป็นอุบัติเหตุยังไงก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว สำหรับผลกระทบในชีวิตแถวบ้านผมไม่มีเลยครับมีแต่คนให้กำลังใจ ไม่มีคนเข้าใจผิดเลยครับถ้าคนที่รู้จักผมไม่มีใครระแคะระคายในสิ่งที่ผมทำ พ่อแม่ผมเขาก็ไม่ได้อะไรท่านก็รู้เรื่องอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็บอกแล้วว่าเราจบ ตอนนี้ทุกอย่างหยุด จบทุกอย่างตั้งแต่วันนั้นเลยครับ”